จาก คำร้องขอให้พิจารณา ถึงความขัดแย้งกับ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จากประมวลกฎหมายอาญา ภาค ๒ ความผิด ลักษณะ ๑ ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หมวด ๑ ความผิดต่อองศ์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองศ์ มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
โดยศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 2 บัญญัติว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ซึ่งมาตรา 8 ได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองสถานะพระมหากษัตริย์ ว่าอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ ขณะที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้กำหนดลักษณะความผิดและอัตราโทษ ที่รองรับและสอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญไว้ เพื่อให้รัฐได้ใช้บังคับเพื่อการดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นการบัญญัติกฎหมายที่ไว้ใช้ทั่วไป ไม่ได้กำหนดไว้ใช้กับบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นการเฉพาะ ขณะที่ มาตรา 29 และ มาตรา 45 ของ รัฐธรรมนูญ ฯ แม้บัญญัติให้สิทธิเสรีภาพบุคคลการแสดงความคิดเห็น ตีพิมพ์ แต่การกระทำนั้นก็จะต้องไม่กระทบสิทธิอื่นตามที่รัฐธรรมนูญ ฯ หรือ กฎหมายอื่นบัญญัติไว้เช่นกัน ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีคำวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
จากคำวินิจฉัย จะตั้งข้อสังเกตุได้ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มิได้ยกประเด็นให้เหตุผลว่า “บัญญัติรับรองและคุ้มครองสถานะพระมหากษัตริย์ ว่าอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้” ตาม รธน.๕๐ หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ มาตรา ๘” เป็นลักษณะ “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอณาจักร” (ความผิดโดยการกระทำ) ด้วย การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (ความผิดโดยการแสดงออก) ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเที่ยบกับ ลักษณะความผิด ในหมวด ๒ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ในหมวด ๓ ความผิดต่อความมั่นคงภายนอกราชอาณาจักร และหมวดที่ ๔ ความผิดต่อความสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน ความผิดที่เกี่ยวกับการล่วงละเมิด สิทธิอื่นๆ ในลักษณะเช่นเดียวกัน คือ “ความผิดโดยการแสดงออก” ก็มีบทบัญญัติกฏหมาย และวิธิพิจารณาคดีอาญา อย่างชัดเจนอยู่แล้วครับ
กฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ เป็นข้อกำหนด ให้อำนาจศาล เพื่อพิจารณาลงอาญา กับผู้กระทำผิด ตามลักษณะความผิด ตามบทบัญญัติกฎหมายอาญา ที่แยกตามพฤติกรรม ระหว่าง “การกระทำ” กับ “การแสดงออก” ฉนั้นการยื่นเพื่อให้พิจารณา ข้อขัดแย้งระหว่าง ม.๑๑๒ กับ รธน.๕๐ มิน่าจะหมายถึง เฉพาะ มาตรา แต่จำต้องพิจารณา รวมถึง หมวดลักษณะความผิด (ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร) เพราะมีผลให้กับ วิธีพิจารณาคดีความอาญา ที่แตกต่างกันออกไป และก็น่าจะเป็นที่มาของ ถึงข้อแย้งที่ยื่นคำร้อง เพื่อให้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาครับ
ในเมื่อ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำเอาเฉพาะแต่ บทบัญญัติใน ม.๑๑๒ มาเป็นประเด็นพิจารณา ถึงความขัดแย้ง อันก็น่าจะหมายถึงว่า มีการให้เหตุผลอ้างอิงถึง ลักษณะความผิด จากเนื้อหา อันหมายถึง ลักษณะ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” ที่แตกต่างไปจาก ลักษณะ ๑๑ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง หมวด ๒ และ ๓ ที่ไม่สามารถ จัดให้อยู่ในลักษณะความผิด และวิธียื่นคำร้อง และพิจารณาคดีอาญา ในลักษณะเดียวกันได้ อย่างกรณี “ผังล้มเจ้า” ของ ศอฉ. เป็นการยื่นคำร้องให้พิจารณาคดีอาญา ม.๑๑๒ โดยไม่มีมูลความจริง แต่ด้วย การแอบอ้างสถาบัน ไปละเมิดสิทธิอันชอบธรรมของผู้อื่น อันผู้ให้การการแอบอ้างสถาบัน ก็น่าจะ เป็นผู้กระทำความผิดตาม ม.๑๑๒ เช่นกัน หรือการพิจารณาตีความ และการสมยอมรับสารภาพในคดี อากง ที่ยังไม่มีความชัดเจนถึงการกระทำผิดของจำเลย นั่นเอง ครับ
ข้อสังเกตุเช่นนี้ จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติ การพิจารณาคดี ของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (อันตามปรกติ เท่าที่ระบุให้สิทธิอำนาจใน รธน.๕๐ คือ ๑ ปีหลังจากการแต่งตั้ง) เพื่อเป็นสิทธิอันชอบธรรม และให้ผลการพิจารณา มีผลบังคับและยินยอมเชื่อมั่น รวมทั้งตรวจสอบได้ตาม บทบัญญัติของ รธน. แต่คงจะลำบากใจกับบางคน ที่ต้องยินยอมน้อมรับคำพิจารณา ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่สามารถคล้อยตาม ตามลักษณะการให้เหตุผล การพิจารณา ที่ขาดการตรวจทาน วิธีพิจารณา ของ ศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่สามารถใช้อิสสระการตีความ ที่ตรวจสอบไม่ได้ นอกจากยอมรับเป็นพิธีเท่านั้น อย่างเช่น รธน. ม.๖๘ เป็นต้น ครับ
ข้อสังเกตุ ถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กับ คำวินิจฉัย มาตรา ๑๑๒
โดยศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 2 บัญญัติว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ซึ่งมาตรา 8 ได้บัญญัติรับรองและคุ้มครองสถานะพระมหากษัตริย์ ว่าอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ ขณะที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้กำหนดลักษณะความผิดและอัตราโทษ ที่รองรับและสอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญไว้ เพื่อให้รัฐได้ใช้บังคับเพื่อการดูแลความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นการบัญญัติกฎหมายที่ไว้ใช้ทั่วไป ไม่ได้กำหนดไว้ใช้กับบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นการเฉพาะ ขณะที่ มาตรา 29 และ มาตรา 45 ของ รัฐธรรมนูญ ฯ แม้บัญญัติให้สิทธิเสรีภาพบุคคลการแสดงความคิดเห็น ตีพิมพ์ แต่การกระทำนั้นก็จะต้องไม่กระทบสิทธิอื่นตามที่รัฐธรรมนูญ ฯ หรือ กฎหมายอื่นบัญญัติไว้เช่นกัน ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีคำวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
จากคำวินิจฉัย จะตั้งข้อสังเกตุได้ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มิได้ยกประเด็นให้เหตุผลว่า “บัญญัติรับรองและคุ้มครองสถานะพระมหากษัตริย์ ว่าอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้” ตาม รธน.๕๐ หมวด ๒ พระมหากษัตริย์ มาตรา ๘” เป็นลักษณะ “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอณาจักร” (ความผิดโดยการกระทำ) ด้วย การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย (ความผิดโดยการแสดงออก) ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเที่ยบกับ ลักษณะความผิด ในหมวด ๒ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ในหมวด ๓ ความผิดต่อความมั่นคงภายนอกราชอาณาจักร และหมวดที่ ๔ ความผิดต่อความสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน ความผิดที่เกี่ยวกับการล่วงละเมิด สิทธิอื่นๆ ในลักษณะเช่นเดียวกัน คือ “ความผิดโดยการแสดงออก” ก็มีบทบัญญัติกฏหมาย และวิธิพิจารณาคดีอาญา อย่างชัดเจนอยู่แล้วครับ
กฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ เป็นข้อกำหนด ให้อำนาจศาล เพื่อพิจารณาลงอาญา กับผู้กระทำผิด ตามลักษณะความผิด ตามบทบัญญัติกฎหมายอาญา ที่แยกตามพฤติกรรม ระหว่าง “การกระทำ” กับ “การแสดงออก” ฉนั้นการยื่นเพื่อให้พิจารณา ข้อขัดแย้งระหว่าง ม.๑๑๒ กับ รธน.๕๐ มิน่าจะหมายถึง เฉพาะ มาตรา แต่จำต้องพิจารณา รวมถึง หมวดลักษณะความผิด (ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร) เพราะมีผลให้กับ วิธีพิจารณาคดีความอาญา ที่แตกต่างกันออกไป และก็น่าจะเป็นที่มาของ ถึงข้อแย้งที่ยื่นคำร้อง เพื่อให้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาครับ
ในเมื่อ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นำเอาเฉพาะแต่ บทบัญญัติใน ม.๑๑๒ มาเป็นประเด็นพิจารณา ถึงความขัดแย้ง อันก็น่าจะหมายถึงว่า มีการให้เหตุผลอ้างอิงถึง ลักษณะความผิด จากเนื้อหา อันหมายถึง ลักษณะ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” ที่แตกต่างไปจาก ลักษณะ ๑๑ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง หมวด ๒ และ ๓ ที่ไม่สามารถ จัดให้อยู่ในลักษณะความผิด และวิธียื่นคำร้อง และพิจารณาคดีอาญา ในลักษณะเดียวกันได้ อย่างกรณี “ผังล้มเจ้า” ของ ศอฉ. เป็นการยื่นคำร้องให้พิจารณาคดีอาญา ม.๑๑๒ โดยไม่มีมูลความจริง แต่ด้วย การแอบอ้างสถาบัน ไปละเมิดสิทธิอันชอบธรรมของผู้อื่น อันผู้ให้การการแอบอ้างสถาบัน ก็น่าจะ เป็นผู้กระทำความผิดตาม ม.๑๑๒ เช่นกัน หรือการพิจารณาตีความ และการสมยอมรับสารภาพในคดี อากง ที่ยังไม่มีความชัดเจนถึงการกระทำผิดของจำเลย นั่นเอง ครับ
ข้อสังเกตุเช่นนี้ จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีบทบัญญัติ การพิจารณาคดี ของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (อันตามปรกติ เท่าที่ระบุให้สิทธิอำนาจใน รธน.๕๐ คือ ๑ ปีหลังจากการแต่งตั้ง) เพื่อเป็นสิทธิอันชอบธรรม และให้ผลการพิจารณา มีผลบังคับและยินยอมเชื่อมั่น รวมทั้งตรวจสอบได้ตาม บทบัญญัติของ รธน. แต่คงจะลำบากใจกับบางคน ที่ต้องยินยอมน้อมรับคำพิจารณา ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่สามารถคล้อยตาม ตามลักษณะการให้เหตุผล การพิจารณา ที่ขาดการตรวจทาน วิธีพิจารณา ของ ศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่สามารถใช้อิสสระการตีความ ที่ตรวจสอบไม่ได้ นอกจากยอมรับเป็นพิธีเท่านั้น อย่างเช่น รธน. ม.๖๘ เป็นต้น ครับ