เพื่อนรัก

กระทู้สนทนา
บันทึกของผู้เฒ่า

เพื่อนรัก

เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๐ เพื่อนของผมคนหนึ่ง ในจำนวนสามคนที่รักกันมาก แบบเพื่อนร่วมสาบาน ได้ตายจากไปเมื่ออายุได้ประมาณ ๓๐ ปีเศษ

เราได้เขียนเรื่องสั้นถึงเขาไว้เป็นที่ระลึกขิ้อ เพื่อนรัก มีความว่า

นายออด เป็นครูโรงเรียนราษฎร์ แถวสี่พระยา อายุอ่อนกว่าเราร่วม ๕ ปี แรก ๆ ก็เรียกพี่ พอคบกันไปนานกินเหล้าแก้วเดียวกันได้ ก็เลยเลิกเรียกพี่ เขาเป็นคนมีความสามารถสูงในหลาย ๆ ด้าน มีปฏิภาณไหวพริบดีกว่าเพื่อน มีความเป็นนักเลงกล้าได้กล้าเสีย ไม่เอาเปรียบใคร แต่ก็ไม่ยอมเสียเปรียบใคร เหมือนกัน

เขาเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวกับเราอยู่นาน เคยไปเที่ยวถึงเชียงใหม่ แล้วต่อไปน้ำตกแม่กลาง สมัยที่ยังไม่มีถนนกว้างขวางอย่างเดี๋ยวนี้ เคยลงเรือทวนแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นไปลอยกระทงถึงปากเกร็ด ในสมัยที่ ยังไม่มีเรือหางยาว หรือเรือด่วนเป็นใหญ่ในแม่น้ำอย่างเดี๋ยวนี้ เคยขึ้นรถไฟไปอยุธยา แล้วอาศัยท้ายบาหลีเรือพ่วงบันทุกสินค้า กลับมาถึงกรุงเทพเช้าวันรุ่งขึ้น เคยไปช่วยงานบวชงานแต่งงานและงานศพต่างจังหวัด ด้วยกันทุกหนทุกแห่งที่มีคนชวน

และไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลใด สิ่งที่ไม่เคยขาดย่ามก็คือน้ำแข็ง ไปหาเหล้าเอาข้างหน้า เพราะกินได้ทุกชนิด ทุกยี่ห้อ ทุกเวลา และทุกสถานที่เว้นแต่ในโบสถ์เท่านั้น ที่ชอบมากก็คือ เหล้าเซี่ยงชุนป้ายแดงของ ร.ง.บ.ย.ข. น้ำแข็งนั้นเอาไว้ตบตูด ขออภัย เขาเรียกการดื่มเหล้าเพียว ๆ แล้วตามหลังด้วยน้ำเย็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ใช่คำหยาบอะไร

นายออดเป็นผู้ที่มีความสามารถมากอย่างว่า เมื่อได้ที่เข้าไปแล้วจะให้ร้องรำทำเพลงอะไรได้ทั้งนั้น ทั้งเพลงฉ่อย ลำตัด ลิเก พากย์โขน เชิดหนังตะลุง ไม่มีติดขัด คราวหนึ่งไปงานบวชที่ไหนจำไม่ได้ เขามีวงดนตรีไทย ก็ช่วยเขาบอกเนื้อเพลงนางนาค สรรเสริญเจ้าภาพเป็นกลอนสดจนได้รางวัล เราจึงจำกลอนบทนั้นมาให้เขาท่อง เอาไว้ใช้ในงานอื่นต่อไป จะได้ไม่ต้องคิดให้เปลืองแรงงาน และเสียเวลาดื่ม

เรามีความสามารถในการถ่ายภาพเท่าเทียมกัน ในสมัยที่ยังไม่มีการถ่ายเทปโทรทัศน์ หรือที่เรียกกันติดปากว่าวีดีโอ เรารับถ่ายรูปในงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร และต้องไปด้วยกันสองคน ให้คนหนึ่งนั่งโต๊ะจองเก้าอี้ไว้ คนหนึ่งไปถ่ายรูป อีกคนหนึ่งเตรียมสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนฟิล์ม หรือถ่านแฟล็ชที่ต้องการความรวดเร็ว ให้ทันเหตุการณ์ เพราะเป็นกล้องรีเฟล็กซ์เล็นส์คู่ใช้ฟิล์มสามนิ้ว ถ่ายได้ม้วนละสิบสองรูป ต้องกะให้ถูกจังหวะตามลำดับพิธี พอหมดม้วนก็รีบกลับมาเปลี่ยนฟิล์ม แล้วก็ผลัดให้อีกคนหนึ่งไปถ่าย คนที่อยู่กับโต๊ะก็ได้ดื่มแก้เหนื่อยไปพลาง ๆ

ถ้าเป็นงานในกรุงเทพ หลังจากเลิกงานแล้ว เรามักจะหาที่นั่งคุยสรุปผลกัน ตามร้านข้าวต้มที่เปิดขายตลอดรุ่ง โดยไม่ได้กินข้าวต้ม เพราะมัวแต่วิเคราะห์การทำงาน ทั้งด้านดีและข้อบกพร่อง จนหมดไปร่วมคนละแบน แล้วจึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน

คราวหนึ่งไม่ดึกนัก คือยังไม่เลยสองยาม เรานั่งกันอยู่ที่ร้านแถวบางขุนพรหม ซึ่งเจ้าของร้านรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง ประจำหน้าเขียงอยู่ที่ร้านอื่น จนเจริญเติบโตมาเป็นเถ้าแก่เอง เรานั่งโต๊ะด้านในสุดชิดผนัง คุยกันไปได้ไม่นานนักโต๊ะที่อยู่บนทางเท้าริมถนน นั่งกันอยู่สามคน ก็ลุกออกจากโต๊ะ โดยเถ้าแก่เห็นว่ายังไม่ได้คิดเงิน จึงให้ลูกน้องเดินเข้าไปเตือน แต่พูดกันอีท่าไรไม่ทราบเพราะไม่ได้คอยจ้องดู เกิดพะบู๊กันขึ้น แต่ไม่ยักใช่หนึ่งต่อสาม กลับเป็นสามต่อห้า เพราะลูกน้องเถ้าแก่วิ่งจากหลังร้านออกมาช่วยกันอีกสี่คน ฟาดกันจนโต๊ะเก้าอี้ถ้วยชามล้มระเนระนาด ลูกค้าที่อยู่ในร้านอีกสองสามโต๊ะเลยถือโอกาสหลบลูกหลง ออกจากร้านไปหมด เหลือแต่เราสองคน

เมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว เถ้าแก่ก็มาคุยเล่ารายละเอียดให้ฟัง เราก็เลยกะจะสั่งต่อมาดับความตื่นเต้นอีกสักแบน แต่นายออดบอกว่าพอเถอะ เฉ่งเงินแล้วรีบไปเสียจากที่นี่ ไม่งั้นอาจโดนลูกเกลี้ยงหรือขรุขระก็ได้ เพราะสมัยนั้นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เกลื่อนกรุงไปหมด ทั้งขวาพิฆาตซ้าย และซ้ายทลายขวา

ต่อมาอีกครั้งหนึ่ง กลับจากต่างจังหวัด ยังไม่ดึกนักตามเคย อย่างที่ครูแจ๋วเรียกว่าราตรียังเยาว์ เขาชวนไปบ้านเพื่อนของเขาชื่อนายผึ่ง ซึ่งยังไม่ค่อยสนิทนัก และรู้สึกว่าหนักเกินไปแล้วด้วย จึงขอแยกกลับบ้าน เขาเลยไปคนเดียว

พอรุ่งขึ้นเจอกันตอนเย็น เขาก็เล่าว่าเมื่อไปถึงบ้านนายผึ่ง ปรากฎว่ามีเพื่อนอีกสองคนนั่งอยู่ก่อน และล่อกันมาตั้งแต่เย็นจนได้ที่แล้ว คุยกันเสียงดังลั่นไปไกล พอเขาไปถึงคุยได้ไม่นาน เพื่อนสองคนก็ลากลับ บ้านนั้นเป็นบ้านชั้นเดียวเตี้ย ๆ เขานั่งขัดสมาธิหันหลังให้ประตูหน้าบ้าน สักครู่หนึ่งก็มีก้อนอิฐลอยละลิ่ว ผ่านประตูข้ามหัวเขาตกโครมลงบนจานกับข้าวกลางวง แตกกระจาย น้ำแกงกระเด็นเปรอะเสื้อกางเกงทั้งสองคน นายผึ่งเดาว่าเป็นฝีมือคนข้างบ้าน ที่ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้ากันอยู่ ก็ลุกขึ้นตะโกนด่าท้าทายอย่างหยาบคาย ไปทางบ้านหลังนั้น แต่ก็ไม่มีใครตอบโต้ว่ากระไร ทั้งสองจึงลงนั่งดวดต่อ พลางวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์อันน่าหวาดเสียวนั้นอยู่สองคน

อีกไม่ช้าไม่นาน ก็มีเสียงตะโกนเรียกอยู่นอกรั้วบ้าน ท้าทายให้ออกไปตีกัน ตามที่นายผึ่งได้ประกาศไว้ นายผึ่งชักหายเมา แต่นายออดชักยั้วะ มองออกไปเห็น เด็กหนุ่มสองสามคน ถือไม้ดุ้นเบ้อเริ่ม เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าบ้าน นายออดเห็นช้างเท่าหมู ก็เดินอาด ๆ ออกไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของนายผึ่ง

" แล้วเป็นยังไง "

เรารีบซัก

" ไม่เป็นไงเลย พูดกับมันสองสามคำ มันก็ทิ้งไม้ยกมือไหว้เรา "

" ฮ้า...ถึงยังงั้นเชียวเรอะ ไม่น่าเชื่อ "

" ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ "

เขาบอกด้วยเสียงธรรมดา

" ก็เราจำหน้ามันได้ เป็นเด็กที่โรงเรียนเราเอง ก็ถามมันว่าจำครูไม่ได้หรือ ก็เท่านั้นเอง จบเรื่อง "

เราถอนหายใจเฮือก

"แล้วไง ลองสรุปซิ"

" มันบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย นายผึ่งไปด่าพ่อล่อแม่มัน ตอนนั้นมันออกไปนอกบ้าน พอกลับมาก็เป็นเรื่อง "

" มันไม่ใช่คนที่เขวี้ยงก้อนอิฐเข้ามาหรอกเรอะ "

" เปล่าเลย เจ้าผึ่งโทรไปขอโทษเราที่โรงเรียนว่า เพื่อนมันเองที่ลากลับไป นึกอยากจะล้อเล่นเลยโยนก้อนอิฐเข้ามากะแค่หน้าประตู บังเอิญเมามากเลยดันตกลงกลางวงพอดี ยังกะจับวาง "

แล้วตั้งแต่บัดนั้น เราก็ไม่ได้กินเหล้ากับนายออดอีกเลย เป็นเวลานานมากแล้ว จึงคิดถึงเพื่อนรักคนนี้มาก

เพราะเขาถูกรถชนตาย ขณะที่ออกจากบ้านกำลังจะข้ามถนน เพื่อขึ้นรถเมล์เล็กไปโรงเรียนในอีกไม่นานต่อมา นั้นเอง.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่