ศาลอาญาส่งคืนสำนวนศาลฎีกา บมจ.ทีพีไอ ฎีกาค้านการบังคับโทษปรับปั่นหุ้น 6,900 ล้าน
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2555 18:04
ศาลมีคำสั่งให้งดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลข อ.937/2549 ยื่นคัดค้านการบังคับคดีที่ศาลอาญา ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นเคยมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.50 ให้ปรับบริษัทเป็นเงิน 6,900,300,000 บาท กระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 กรณีปั่นหุ้น
โดยศาลอาญา มีคำสั่งงดอ่านคำพิพากษาฎีกากรณีดังกล่าว พร้อมให้ส่งสำนวนกลับคืนไปยังศาลฎีกา
ทั้งนี้ทีมทนายความของ บมจ. ทีพีไอ กล่าวว่า การอ่านคำพิพากษาเรื่องบังคับคดีน่าจะกระทำไม่ได้ เนื่องจากการพิจารณาคดีหลักศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยไปหมดแล้ว ดังนั้นคงต้องส่งเรื่องกลับให้ศาลฎีกาพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีของทีพีไอ ดังกล่าว เดิมศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาคดีหลัก เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.50 สั่งปรับ บมจ.ทีพีไอ ฯ จำเลยที่ 1 และบริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยที่ 3 รายละ 6.9 พันล้านบาทเศษ และให้จำคุกนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีพีไอฯ จำเลยที่ 2 และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร บจก.สเติร์น ฯ จำเลยที่ 4 คนละ 3 ปี ระหว่างนั้นได้มีการอุทธรณ์คดีทั้งในส่วนของเนื้อหาคดีหลัก และการงดบังคับคดีเรื่องค่าปรับไว้ก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเรื่องการบังคับคดีตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ต่อมา บมจ.ทีพีไอ จำเลยที่ 1 จึงยื่นฎีกาเรื่องการคัดค้านบังคับในปี 2553 แต่ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 54 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาคดีหลักเสียก่อนโดยให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่าโจทก์มีพยานรู้เห็นเพียงปากเดียว ส่วนพยานบอกเล่าบางปากให้การขัดแย้งกัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่สงสัย คือ กฏหมายเขียนไว้ชัด หลักฐานเอกสารก็เยอะแยะ ทำไมต้องยึดหลักอ้างถึงพยานบุคคล
คดีเศรษฐกิจ ไม่ใช่ คดีตบตีกัน และ คดีนี้ ถือเป็นคดีอาญา ไม่ได้ฆ่าคนตาย แต่เป็นคดีอาญาทางเศรษฐกิจ โทษจำคุก เหมือน กรณี เอกยุทธ
ฟังแล้วเหยียบไว้ ห้ามถาม ให้สงสัยได้อย่างเดียว
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2555 18:04
ศาลมีคำสั่งให้งดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีที่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลข อ.937/2549 ยื่นคัดค้านการบังคับคดีที่ศาลอาญา ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นเคยมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.50 ให้ปรับบริษัทเป็นเงิน 6,900,300,000 บาท กระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 กรณีปั่นหุ้น
โดยศาลอาญา มีคำสั่งงดอ่านคำพิพากษาฎีกากรณีดังกล่าว พร้อมให้ส่งสำนวนกลับคืนไปยังศาลฎีกา
ทั้งนี้ทีมทนายความของ บมจ. ทีพีไอ กล่าวว่า การอ่านคำพิพากษาเรื่องบังคับคดีน่าจะกระทำไม่ได้ เนื่องจากการพิจารณาคดีหลักศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยไปหมดแล้ว ดังนั้นคงต้องส่งเรื่องกลับให้ศาลฎีกาพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีของทีพีไอ ดังกล่าว เดิมศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาคดีหลัก เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.50 สั่งปรับ บมจ.ทีพีไอ ฯ จำเลยที่ 1 และบริษัท สเติร์น สจ๊วต (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยที่ 3 รายละ 6.9 พันล้านบาทเศษ และให้จำคุกนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตประธานผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.ทีพีไอฯ จำเลยที่ 2 และนายเชียรช่วง กัลยาณมิตร กรรมการบริหาร บจก.สเติร์น ฯ จำเลยที่ 4 คนละ 3 ปี ระหว่างนั้นได้มีการอุทธรณ์คดีทั้งในส่วนของเนื้อหาคดีหลัก และการงดบังคับคดีเรื่องค่าปรับไว้ก่อนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเรื่องการบังคับคดีตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ต่อมา บมจ.ทีพีไอ จำเลยที่ 1 จึงยื่นฎีกาเรื่องการคัดค้านบังคับในปี 2553 แต่ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 54 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาคดีหลักเสียก่อนโดยให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่าโจทก์มีพยานรู้เห็นเพียงปากเดียว ส่วนพยานบอกเล่าบางปากให้การขัดแย้งกัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่สงสัย คือ กฏหมายเขียนไว้ชัด หลักฐานเอกสารก็เยอะแยะ ทำไมต้องยึดหลักอ้างถึงพยานบุคคล
คดีเศรษฐกิจ ไม่ใช่ คดีตบตีกัน และ คดีนี้ ถือเป็นคดีอาญา ไม่ได้ฆ่าคนตาย แต่เป็นคดีอาญาทางเศรษฐกิจ โทษจำคุก เหมือน กรณี เอกยุทธ