วันที่ 19 ธ.ค. 2555 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) เป็นประธานการประชุมระบบหลักประกันสุขภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) แนวทางการดำเนินการคุ้มครองความมั่นคงสิทธิด้านการรักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการ โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สมาพันธ์ปลัดเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคม ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย สมาคมข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่น และผู้แทนอปท.
นพ.ประดิษฐ กล่าวภายหลังการประชุมว่า 'พนักงานอปท.มีประมาณ 5 แสนคน ซึ่งที่ผ่านมา อปท.จะมีปัญหาในเรื่องการรับสิทธิด้านการรักษาพยาบาล บางที่ได้รับงบประมาณน้อย การจะจ่ายค่ารักษาให้ข้าราชการท้องถิ่นจึงน้อยตาม โดยจากสถิติการคำนวณค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลย้อนหลัง 3 ปีพบว่ามีประมาณ 5,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของค่าใช้จ่ายที่อปท.ได้รับปีละ 5 แสนล้านบาท จากการคำนวณดังกล่าว จึงมีการหารือร่วมกันทั้งผู้แทน อปท. และในส่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และสธ.ถึงการให้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล ในหลักการขั้นต้นจะมีการตั้งกองทุนกลางการรักษาพยาบาล โดยจะหักเงินจากงบประมาณเงินอุดหนุนอปท.ที่มีอยู่ประมาณ 500,000 ล้านบาท ไว้ก่อนกระจายลงไปท้องถิ่นตามหลักการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ซึ่งจะหักประมาณร้อยละ 1 จึงอาจได้งบประมาณ 5,000 - 6,500 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับการประมาณการ
'เงินก้อนนี้จะแยกตั้งแต่ต้นทาง คือ ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และตั้งเป็นกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสปสช. เป็นผู้บริหารกลางแทน คล้ายๆเคลียร์ริ่งเฮาส์ (Clearinghouse) ส่วนสิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาลนั้น อยู่ระหว่างหารือว่าจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งต้องไม่แตกต่างจากสิทธิสวัสดิการข้าราชการ เบื้องต้นมีข้อเสนอว่า อาจใช้สิทธิการรักษาในรูปแบบ 30 บาทพลัส(Plus) โดยจะมีสิทธิต่างๆเพิ่มเติม เรื่องนี้คาดว่าจะชัดเจนในเดือนมกราคม 2556 และจะจัดทำข้อตกลงสร้างความเข้าใจเบื้องต้น หรือ เอ็มโอยู (MOU) ร่วมกันต่อไป' นพ.ประดิษฐ กล่าว
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า 'จากนี้จะเป็นการหารือเรื่องสิทธิประโยชน์กับระบบการทำงาน หากเป็นระบบแบบปลายเปิดมีข้อพึงระวัง ค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้น เหมือนระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการพลเรือน ที่ไม่ต้องสำรองจ่ายเงิน สามารถรักษาที่โรงพยาบาลรัฐได้ทุกแห่ง ซึ่งแต่ละฝ่ายต้องนำไปพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง และหากเลือกใช้ระบบปลายเปิด ต้องยอมรับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตหากเป็นระบบแบบปลายปิด ก็จะมีการออกแบบให้ได้สิทธิประโยชน์ที่ไม่ด้อยกว่ากัน แต่ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน'
ด้านนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ปัจจุบัน อปท.มีอยู่ 7,900 แห่งทั่วประเทศ มีพนักงานท้องถิ่นประมาณ 537,692 คน รวมพ่อแม่ คู่สมรส และบุตร การดูแลให้ได้รับสิทธิประโยชน์จะต้องครอบคลุมทั้งหมด โดยรูปแบบการให้สิทธิ 30 บาทพลัสนั้น เป็นเพียงข้อเสนอ โดยคำว่าพลัส คือ การบวกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม อาจเป็นพวกค่าห้องพิศษ ค่าพยาบาลพิเศษ รวมทั้งสิทธิการรักษาต่างๆ เช่น กรณีการรักษาผู้มีบุตรยาก ซึ่งระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคทั่วไปนั้นไม่มี ตรงนี้ก็จะเพิ่มเติม และจะรวมในเรื่องสิทธิการรักษาแต่ละแห่ง โดยจะต้องพิจารณาว่าจะได้รักษาหลักๆ ที่ใดบ้าง กี่แห่ง เป็นต้น ซึ่งรูปแบบ 30 บาทพลัสจะรวมพ่อแม่ คู่สมรส และบุตรด้วย
'กรณีนี้ยังต้องหารือว่าอปท.ทั่วประเทศต้องการรูปแบบใด ในส่วนการบริหารนั้น สปสช.จะเป็นผู้บริหารกลาง รับหน้าที่ดูแลกองทุนดังกล่าว ซึ่งจะแยกออกจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรียกว่าจากนี้ไป สปสช.จะมีหน้าที่ดูแล 2 กองทุน ซึ่งจะมีการคิดค่าบริหารเพิ่มเติมอีกร้อยละ 1.5 ต่อปีโดยจะตั้งเป็นคณะกรรมการบริหารกองทุนขึ้นเฉพาะ ทั้งนี้ ปัจจุบันงบรายหัวของข้าราชการทั้งผู้ป่วยในและนอกรวมประมาณ 12,000 บาทต่อคน แต่กรณีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 9,900 บาทต่อคน' นพ.วินัยกล่าว
นาย เชื้อ ฮั่นจินดา ประธานสมาพันธ์ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า 'เห็นด้วยที่ควรมีกองทุนรักษาพยาบาลที่ไม่ต่ำกว่าสิทธิข้าราชการ เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินเอง ส่วนเรื่อง 30 บาทพลัส ไม่เห็นด้วย เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก และจำเป็นต้องหารืออีก เพราะรูปแบบดังกล่าวเป็นเพียงการรักษาพื้นฐาน เหมือนอยู่กับสปสช. และเชื่อว่าต้องมีการจำกัดสิทธิไม่ครอบคลุมหมด จึงขอให้สิทธิรักษาพยาบาลเหมือนข้าราชการดีที่สุด'
คมชัดลึก
สธ. เตรียมเสนอ 30บาทพลัส ให้พนง.ท้องถิ่น
นพ.ประดิษฐ กล่าวภายหลังการประชุมว่า 'พนักงานอปท.มีประมาณ 5 แสนคน ซึ่งที่ผ่านมา อปท.จะมีปัญหาในเรื่องการรับสิทธิด้านการรักษาพยาบาล บางที่ได้รับงบประมาณน้อย การจะจ่ายค่ารักษาให้ข้าราชการท้องถิ่นจึงน้อยตาม โดยจากสถิติการคำนวณค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลย้อนหลัง 3 ปีพบว่ามีประมาณ 5,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 ของค่าใช้จ่ายที่อปท.ได้รับปีละ 5 แสนล้านบาท จากการคำนวณดังกล่าว จึงมีการหารือร่วมกันทั้งผู้แทน อปท. และในส่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) และสธ.ถึงการให้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล ในหลักการขั้นต้นจะมีการตั้งกองทุนกลางการรักษาพยาบาล โดยจะหักเงินจากงบประมาณเงินอุดหนุนอปท.ที่มีอยู่ประมาณ 500,000 ล้านบาท ไว้ก่อนกระจายลงไปท้องถิ่นตามหลักการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ซึ่งจะหักประมาณร้อยละ 1 จึงอาจได้งบประมาณ 5,000 - 6,500 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับการประมาณการ
'เงินก้อนนี้จะแยกตั้งแต่ต้นทาง คือ ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และตั้งเป็นกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสปสช. เป็นผู้บริหารกลางแทน คล้ายๆเคลียร์ริ่งเฮาส์ (Clearinghouse) ส่วนสิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาลนั้น อยู่ระหว่างหารือว่าจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งต้องไม่แตกต่างจากสิทธิสวัสดิการข้าราชการ เบื้องต้นมีข้อเสนอว่า อาจใช้สิทธิการรักษาในรูปแบบ 30 บาทพลัส(Plus) โดยจะมีสิทธิต่างๆเพิ่มเติม เรื่องนี้คาดว่าจะชัดเจนในเดือนมกราคม 2556 และจะจัดทำข้อตกลงสร้างความเข้าใจเบื้องต้น หรือ เอ็มโอยู (MOU) ร่วมกันต่อไป' นพ.ประดิษฐ กล่าว
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า 'จากนี้จะเป็นการหารือเรื่องสิทธิประโยชน์กับระบบการทำงาน หากเป็นระบบแบบปลายเปิดมีข้อพึงระวัง ค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้น เหมือนระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการพลเรือน ที่ไม่ต้องสำรองจ่ายเงิน สามารถรักษาที่โรงพยาบาลรัฐได้ทุกแห่ง ซึ่งแต่ละฝ่ายต้องนำไปพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง และหากเลือกใช้ระบบปลายเปิด ต้องยอมรับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตหากเป็นระบบแบบปลายปิด ก็จะมีการออกแบบให้ได้สิทธิประโยชน์ที่ไม่ด้อยกว่ากัน แต่ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ชัดเจน'
ด้านนพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ปัจจุบัน อปท.มีอยู่ 7,900 แห่งทั่วประเทศ มีพนักงานท้องถิ่นประมาณ 537,692 คน รวมพ่อแม่ คู่สมรส และบุตร การดูแลให้ได้รับสิทธิประโยชน์จะต้องครอบคลุมทั้งหมด โดยรูปแบบการให้สิทธิ 30 บาทพลัสนั้น เป็นเพียงข้อเสนอ โดยคำว่าพลัส คือ การบวกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม อาจเป็นพวกค่าห้องพิศษ ค่าพยาบาลพิเศษ รวมทั้งสิทธิการรักษาต่างๆ เช่น กรณีการรักษาผู้มีบุตรยาก ซึ่งระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคทั่วไปนั้นไม่มี ตรงนี้ก็จะเพิ่มเติม และจะรวมในเรื่องสิทธิการรักษาแต่ละแห่ง โดยจะต้องพิจารณาว่าจะได้รักษาหลักๆ ที่ใดบ้าง กี่แห่ง เป็นต้น ซึ่งรูปแบบ 30 บาทพลัสจะรวมพ่อแม่ คู่สมรส และบุตรด้วย
'กรณีนี้ยังต้องหารือว่าอปท.ทั่วประเทศต้องการรูปแบบใด ในส่วนการบริหารนั้น สปสช.จะเป็นผู้บริหารกลาง รับหน้าที่ดูแลกองทุนดังกล่าว ซึ่งจะแยกออกจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรียกว่าจากนี้ไป สปสช.จะมีหน้าที่ดูแล 2 กองทุน ซึ่งจะมีการคิดค่าบริหารเพิ่มเติมอีกร้อยละ 1.5 ต่อปีโดยจะตั้งเป็นคณะกรรมการบริหารกองทุนขึ้นเฉพาะ ทั้งนี้ ปัจจุบันงบรายหัวของข้าราชการทั้งผู้ป่วยในและนอกรวมประมาณ 12,000 บาทต่อคน แต่กรณีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 9,900 บาทต่อคน' นพ.วินัยกล่าว
นาย เชื้อ ฮั่นจินดา ประธานสมาพันธ์ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า 'เห็นด้วยที่ควรมีกองทุนรักษาพยาบาลที่ไม่ต่ำกว่าสิทธิข้าราชการ เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินเอง ส่วนเรื่อง 30 บาทพลัส ไม่เห็นด้วย เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก และจำเป็นต้องหารืออีก เพราะรูปแบบดังกล่าวเป็นเพียงการรักษาพื้นฐาน เหมือนอยู่กับสปสช. และเชื่อว่าต้องมีการจำกัดสิทธิไม่ครอบคลุมหมด จึงขอให้สิทธิรักษาพยาบาลเหมือนข้าราชการดีที่สุด'
คมชัดลึก