
เป็นเรื่องของเพื่อนเราเองนะคะ เป็นอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้รถเสียหาย ต้องใช้เวลาซ่อม 2 เดือน
ใช้รถทำงานไม่ได้ อาจต้องผิดสัญญางานและโดนปรับเงินกับงานที่ทำอยู่
ผ่อนรถก็ยังไม่หมด เพื่อนเรารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม เส้นสายก็ไม่มี เครียดมาก โทรมาปรึกษาหาทางออก
แต่เราเองไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้ จึงอาสา มาขอคำปรึกษาและคำแนะนำจากเพื่อนๆผู้มีประสบการณ์ที่ห้องนี้ค่ะ
-------------------------------
เหตุเกิดที่ จ.นครนายก
คู่กรณีขับรถบัสของหน่วยงานราชการออกมาใช้ในเวลานอกราชการ (วันรัฐธรรมนูญ) ซึ่งเป็นรถโดยสารของนักศึกษาแพทย์ มศว.
ได้ขับมาชนมอเตอร์ไซด์ที่ขับขี่อยู่บนถนน และชนต่อเนื่องมาถึงท้ายรถปิกอัพของเพื่อนเรา ที่จอดอยู่เฉยๆชิดไหล่ทาง เพื่อรับโทรศัพท์
เคราะห์ดีที่คนขับมอเตอร์ไซด์หลุดออกไปก่อน ไม่งั้นคงถูกอัดก็อปปี้อยู่ท้ายปิกอัพแน่ๆ
รถปิกอัพถูกชนท้ายเสียหายตามรูป ผู้ขับขี่ทุกคนปลอดภัย ส่วนผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์บาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาล
เมื่อไปถึงโรงพัก สิ่งที่ตำรวจควรต้องทำคือ นำเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์มาให้คู่กรณีเป่า แต่ยังไม่ทันได้ทำการตรวจวัด
ก็ได้มีโทรศัพท์จากใครคนหนึ่ง โทรเข้ามาคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็บอกว่า เครื่องวัดแอลกอฮอร์เสียหมดทุกตัว จึงไม่ได้ทำการวัดแอลกอฮอร์
เพื่อนเราเล่าว่า ไม่ต้องวัดแอลกอฮอร์ก็รู้ว่าดื่มเหล้า ยืนอยู่ใกล้ก็ได้กลิ่นเหล้า ได้พูดคุยสนทนาด้วยก็ได้กลิ่นแอลกอฮอร์พ่นออกมาจากปาก
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เขียนลงบันทึกประจำวันรายละเอียดของรถ ชื่อเจ้าของรถทั้งสามคนไว้เป็นหลักฐาน และได้นัดเจรจาค่าเสียหายอีกสองวันถัดไป
เพื่อนเราหวังใจไว้ว่า ตำรวจนี่ล่ะที่จะเป็นที่พึ่ง ที่ปรึกษา ที่จะแนะนำในการเรียกร้องสิทธิ์ค่าเสียหายที่ควรจะเป็นให้ได้
แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อถึงเวลานัด คู่กรณีได้นำนิติกรของ มศว.มาด้วย คู่กรณีและนิติกร มศว.ได้เข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในห้อง
( เพื่อนเราสังเกตุเห็นว่า นิติกร มศว. รู้จักและสนิทกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพิเศษ คล้ายกับเป็นเพื่อนกัน )
โดยที่ผู้เสียหายทั้งผู้ขับปิกอัพและผู้ขับมอเตอร์ไซด์นั่งอยู่นอกห้องไม่ได้เข้าร่วมสนทนาใดๆเลย
เมื่อคู่กรณีและ นิติกร มศว. ออกมาจากห้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ลงบันทึกประจำวัน ว่าคู่กรณีขับขี่โดยประมาท และให้เสียค่าปรับ 500 บ. โดยไม่ได้แจ้งข้อหาเมาแล้วขับใดๆ แล้วให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเซ็นรับทราบ
สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเขียนลงในบันทึกประจำวันอ่านยากมาก ผู้เสียหายจึงได้ถามว่านี่อ่านว่าอะไร ทำไมอ่านไม่ออก
เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับตะคอกตะวาดใส่ผู้เสียหายว่า " ก็เขียนได้แค่นี้แหละ สันดานอย่างผมก็ได้แค่เนี้ยแหล่ะ " น้ำเสียงราวกับว่าผู้เสียหายเป็นผู้กระทำผิดซะเอง
นิติกร มศว.พูดว่า เรื่องรถให้ประกันชั้น 3 ดำเนินการ จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยคู่กรณีไม่ได้พูดถึงการชดใช้ค่าเสียหายอะไรเลย
กรณีอย่างนี้อยากถามเพื่อนๆชาวรัชดาว่า ผู้เสียหายต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปจึงจะเรียกร้องค่าเสียหายได้คะ
.
คู่กรณีเส้นใหญ่ เมาแล้วขับ ตำรวจเข้าข้างผู้กระทำผิด
เป็นเรื่องของเพื่อนเราเองนะคะ เป็นอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้รถเสียหาย ต้องใช้เวลาซ่อม 2 เดือน
ใช้รถทำงานไม่ได้ อาจต้องผิดสัญญางานและโดนปรับเงินกับงานที่ทำอยู่
ผ่อนรถก็ยังไม่หมด เพื่อนเรารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม เส้นสายก็ไม่มี เครียดมาก โทรมาปรึกษาหาทางออก
แต่เราเองไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้ จึงอาสา มาขอคำปรึกษาและคำแนะนำจากเพื่อนๆผู้มีประสบการณ์ที่ห้องนี้ค่ะ
-------------------------------
เหตุเกิดที่ จ.นครนายก
คู่กรณีขับรถบัสของหน่วยงานราชการออกมาใช้ในเวลานอกราชการ (วันรัฐธรรมนูญ) ซึ่งเป็นรถโดยสารของนักศึกษาแพทย์ มศว.
ได้ขับมาชนมอเตอร์ไซด์ที่ขับขี่อยู่บนถนน และชนต่อเนื่องมาถึงท้ายรถปิกอัพของเพื่อนเรา ที่จอดอยู่เฉยๆชิดไหล่ทาง เพื่อรับโทรศัพท์
เคราะห์ดีที่คนขับมอเตอร์ไซด์หลุดออกไปก่อน ไม่งั้นคงถูกอัดก็อปปี้อยู่ท้ายปิกอัพแน่ๆ
รถปิกอัพถูกชนท้ายเสียหายตามรูป ผู้ขับขี่ทุกคนปลอดภัย ส่วนผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์บาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาล
เมื่อไปถึงโรงพัก สิ่งที่ตำรวจควรต้องทำคือ นำเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์มาให้คู่กรณีเป่า แต่ยังไม่ทันได้ทำการตรวจวัด
ก็ได้มีโทรศัพท์จากใครคนหนึ่ง โทรเข้ามาคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็บอกว่า เครื่องวัดแอลกอฮอร์เสียหมดทุกตัว จึงไม่ได้ทำการวัดแอลกอฮอร์
เพื่อนเราเล่าว่า ไม่ต้องวัดแอลกอฮอร์ก็รู้ว่าดื่มเหล้า ยืนอยู่ใกล้ก็ได้กลิ่นเหล้า ได้พูดคุยสนทนาด้วยก็ได้กลิ่นแอลกอฮอร์พ่นออกมาจากปาก
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เขียนลงบันทึกประจำวันรายละเอียดของรถ ชื่อเจ้าของรถทั้งสามคนไว้เป็นหลักฐาน และได้นัดเจรจาค่าเสียหายอีกสองวันถัดไป
เพื่อนเราหวังใจไว้ว่า ตำรวจนี่ล่ะที่จะเป็นที่พึ่ง ที่ปรึกษา ที่จะแนะนำในการเรียกร้องสิทธิ์ค่าเสียหายที่ควรจะเป็นให้ได้
แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อถึงเวลานัด คู่กรณีได้นำนิติกรของ มศว.มาด้วย คู่กรณีและนิติกร มศว.ได้เข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในห้อง
( เพื่อนเราสังเกตุเห็นว่า นิติกร มศว. รู้จักและสนิทกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพิเศษ คล้ายกับเป็นเพื่อนกัน )
โดยที่ผู้เสียหายทั้งผู้ขับปิกอัพและผู้ขับมอเตอร์ไซด์นั่งอยู่นอกห้องไม่ได้เข้าร่วมสนทนาใดๆเลย
เมื่อคู่กรณีและ นิติกร มศว. ออกมาจากห้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ลงบันทึกประจำวัน ว่าคู่กรณีขับขี่โดยประมาท และให้เสียค่าปรับ 500 บ. โดยไม่ได้แจ้งข้อหาเมาแล้วขับใดๆ แล้วให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเซ็นรับทราบ
สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเขียนลงในบันทึกประจำวันอ่านยากมาก ผู้เสียหายจึงได้ถามว่านี่อ่านว่าอะไร ทำไมอ่านไม่ออก
เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับตะคอกตะวาดใส่ผู้เสียหายว่า " ก็เขียนได้แค่นี้แหละ สันดานอย่างผมก็ได้แค่เนี้ยแหล่ะ " น้ำเสียงราวกับว่าผู้เสียหายเป็นผู้กระทำผิดซะเอง
นิติกร มศว.พูดว่า เรื่องรถให้ประกันชั้น 3 ดำเนินการ จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน โดยคู่กรณีไม่ได้พูดถึงการชดใช้ค่าเสียหายอะไรเลย
กรณีอย่างนี้อยากถามเพื่อนๆชาวรัชดาว่า ผู้เสียหายต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปจึงจะเรียกร้องค่าเสียหายได้คะ
.