คงมีบางคนที่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองเจอน่ะ แย่ที่สุดในชีวิต คงมีบางคนที่ล้มแล้วท้อ คงมีบางคนที่ท้อ แล้วถอดใจ มาฟังเรื่องของ จขกท แล้วคุณจะได้รู้ค่ะ ว่าทุกสิ่งที่ร้ายที่สุดที่เข้ามาในชีวิต มันไม่ได้แย่เสมอไป ถึงแม้กว่ามันจะผ่านไป มันจะนานแสนนานก็เถอะ หลังจากเล่ากระทู้ไม่จบเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากมีปัญหามรสุมชีวิตที่ถาโถม จนไม่มีกระจิตกระใจเล่าต่อไป คราวนี้ มาเล่าให้ฟังกันคร่าวๆนะคะ
>> >> เอาล่ะ เริ่มเล่าล่ะนะคะ เมื่อ11 ปีที่แล้วเราอายุ 19 ปี อยู่ในครอบครัวที่ไม่อบอุ่น มีน้องชายน่ารักหนึ่งคน พ่อกับแม่แยกทางกัน เราอาศัยอยู่กับแม่ และน้องชาย แม่เราติดเหล้า ติดการพนัน และติดยาเสพย์ติด เราใช้ชีวิตอยู่กับน้องเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะแม่ไม่ค่อยได้กลับบ้าน จนช่วงนึง ที่ทางบ้านมีปัญหา ลุงได้มาขอน้องชายไปเลี้ยงดู ส่วนเราก็ยังเลือกที่จะอยู่กับแม่ ถึงแม้ญาติทางพ่อ จะขอไห้ไปอยู่ด้วยก็ตาม แต่เราไปแล้วก็กลับมาหลังจากที่ปัญหาของแม่คลี่คลาย คือแม่ของเราโดนจับติดคุกค่ะ เพราะแอบขายยาเสพย์ติด
ขออนุญาตเล่าย่อๆในบางส่วนนะคะ เนื่องจากแม่เราเห็นเงินเป็นใหญ่ จึงบังคับเราให้เป็นเมียน้อยเสี่ย ด้วยเหตุผลว่า เค้ามีเงิน เค้าจะเลี้ยงดูเราและครอบครัวได้ เราถูกปล้ำที่บ้านด้วยการรู้เห็นเป็นใจ ของแม่ โดยที่เราไม่มีทางสู้ และไม่สามารถฟ้องใครได้ มิหนำซ้ำ ป้าและลุงของเราที่เป็นพี่พ่อ ยังมาเสียชีวิตแบบกะทันหัน เพราะอุบัติเหตุอีก เราจึงกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบแต่ก็ไม่เชิงซะทีเดียว เรามีน้องชายที่เป็นกำลังใจให้เสมอ ตั้งแต่เด็กจนโต เราสองคนรักกันมากที่สุด มากจนแทบที่จะเรียกว่า ตายแทนกันได้เลย เราเจอพ่อที่หายไปนานในงานศพลุงกับป้านี่เอง แต่พ่อเรามีครอบครัวใหม่ไปแล้ว แล้วอีกอย่าง แม่ก็ไม่ชอบให้เราไปสุงสิงกับญาติทางพ่อสักเท่าไหร่ เราจึงมีโอกาสแค่ ขอเบอร์โทรศัพท์พ่อ ซึ่งเป็นเบอร์บ้าน ที่พ่ออยู่กับครอบครัวใหม่ไว้ เพื่อที่หวังว่าจะติดต่อบ้างในเวลาที่เราคิดถึง และเพียงไม่กี่วัน เราก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้เบอร์โทรพ่อที่ให้ไว้ เรื่องเกิดจากว่า แม่พยายามที่จะให้เรานอนกับไอ้เสี่ยนั่น เป็นครั้งที่2ด้วยเหตุผลเพื่อแลกกับการเรียนต่อมหาลัยของเรา ตอนนั้นเราเพิ่งจบม.6 และกำลังจะเอ็นทรานซ์ ในเดือนหน้า ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่น้องกลับมาอยู่ที่บ้าน หลังจากลุงเสีย และน้องเรารับไม่ได้กับสิ่งที่กำลังจะเกิด เพราะเรากอดน้องร้องให้ แบบที่เรียกว่าน้ำตาแทบเป็นสายเลือดน้องจึงวางแผนให้เราหนีออกจากบ้าน เพื่อไปอยู่กับพ่อ ที่ต่างจังหวัด โดยมีความหวังเดียว คือเบอร์ที่พ่อให้ไว้ โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่ออยู่ที่ใหนของมหาชัย
เราสองคนพี่น้อง รวบรวมเงินได้ 150 บาทในตอนนั้นน้องชายแอบเอากระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าเราไว้ออกมาซ่อนในพุ่มไม้ริมถนน และให้เราหาทางแอบออกมาตัวเปล่า เพื่อที่จะขึ้นรถประจำทางไป สถานีรถไฟ เพื่อเข้ากรุงเทพ เราเดินออกมาจากบ้านได้โดยง่าย เพราะแม่ใช้ให้เราออกมาซื้อบุหรี่ครึ่งซอง พร้อมเงิน20 บาท แต่เราไม่ได้ซื้อค่ะ เราออกมาเลยพร้อมเงิน20 ของแม่ และนั่นคือการจากกันทั้งน้ำตาของเรากับน้องชายเราขึ้นรถไฟเดินทางเข้ากรุงเทพด้วยเงินติดตัวทั้งหมด 90 บาท หลังจากหักค่าตั๋วไป เด็กผู้หญิงอายุ19เดินทางเข้ากรุงเทพครั้งแรก ด้วยอาการเหม่อลอย กอดกระเป๋าร้องไห้ตลอดทาง ไม่กล้าพูดจากับใคร เพราะในสมองทั้งกลัว ทั้งสับสน ทั้งคิดถีงน้อง ห่วงแม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เรารักแม่มาก แต่หลังจากเกิดเรื่องที่โดนปล้ำเรากลายเป็นคนที่อคติกับแม่ไปเลย แต่ลึกๆในใจก็ยังห่วงแกอยู่ดี สับสนไปหมด
เราถึงกรุงเทพเวลา 6 โมงเย็น ในตอนนั้นหน้าหนาว ฟ้าก็เริ่มสลัวบ้างแล้ว สิ่งแรกที่เราทำหลังจากลงจากรถคือ รีบวิ่งไปโทรศัพท์หาพ่อ แต่เราไม่มีเหรียญเลยจำเป็นที่จะต้อง ซื้อของเพื่อแลกเหรียญ แทนที่เราจะซื้อของถูก ดันไปซื้อหนังสือเล่มนึง ที่มีตัวหนังสือเยอะๆ ในราคา20บาท เพื่อที่จะได้เอาไว้อ่านนานๆ ตอนรอพ่อมารับ เราให้แบงค์ 50 พร้อมทั้งขอเงินทอนเป็นเหรียญทั้งหมดหลังจากที่ใด้เหรียญ เรารีบโทรหาพ่อทันที แต่โทรกี่ครั้งก็ไม่มีคนรับสาย เราใจแป้วทันที โทษตัวเองที่ไม่โทรบอกพ่อก่อนว่าจะไปหา แล้วจะเอายังไงถ้าพ่อไม่รับโทรศัพท์ คิดไปก็โทรอยู่อย่างนั้น จน2ทุ่มก็มีคนรับ แต่ปลายสายคือผู้หญิง เค้าบอกว่าเค้าคือแฟนพ่อ พ่อไม่อยู่ ไปติดต่อทำร้านอาหารที่ภูเก็ต จะกลับอีก 1อาทิตย์ มีอะไรให้ฝากเค้าบอกได้ทันที เราจึงบอกให้เค้ามารับเราหน่อย เราอยู่ที่หัวลำโพง แต่เค้าปฏิเสธค่ะ ว่าคงไปไม่ได้เพราะเค้าท้องอยู่ ไม่สะดวก แล้วนี่ก็มืดค่ำแล้ว พอพูดจบเค้าก็วางหูไป โทรกลับเท่าไร เค้าก้ไม่รับสาย พอโทรบ่อยๆเข้าเค้าก็ยกหูออก คือ โทรไปเท่าไหร่ก็เหมือนสายไม่ว่างน่ะค่ะ นั่นไงเราไม่มีที่ไปแล้วไงล่ะ ด้วยเงินที่เหลือติดตัวตอนนี้ไม่ถึง 30บาท ข้าวยังไม่ได้กิน น้ำยังไม่ได้แตะ แต่เรื่องอดเนี่ย เราพอเคยชินค่ะ เพราะอดบ่อย แต่ที่สำคัญคือ เราไม่มีเงินที่พอที่จะกลับบ้านแล้วเราจะไปอยู่ไหน กรุงเทพมันใหญ่สำหรับเราเกินไปจริงๆ อย่าว่าแต่กรุงเทพเลย แค่หัวลำโพง สำหรับเราก็ใหญ่มากแล้วเรานอนร้องไห้กอดกระเป๋าตัวกลม บนเก้าอี้พักรอรถไฟ รอบข้างน่ากลัวไปหมดสำหรับเรา ตอนดีกยิ่งน่ากลัว ไหนจะหนาว ไหนจะคนแปลกหน้า ไหนจะคนเร่ร่อนที่แต่งตัวมอมๆ เหมือนคนสติไม่ดี เราร้องให้คิดถึงน้องชายที่สุด น้องจะรู้มั้ยว่าเราต้องเจออะไรบ้าง น้องคงห่วงเรา แต่ก็น่าแปลกเวลาที่เราโดดเดี่ยว ไม่มีที่พึ่งแบบนั้น คนแรกที่เรานึกถึงกลับเป็นน้อง ไม่ไช่พ่อแม่ นั่นอาจเป็นเพราะเราไม่มีความผูกพันกับเค้าทั้งสอง เท่าน้องชายก็ได้เรานอนร้องให้จนประมาณตี4-5 ไม่แน่ใจ
เนื่องจากคนเริ่มเยอะขึ้น และเราก็เริ่มหิวมากนั่นเอง แต่เราไม่ได้ทานข้าวค่ะ เราเลือกที่จะเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า และดื่มน้ำก๊อกแทน เพราะเราดื่มแทนข้าวจนชินในมื้อกลางวันตอนเรา เรียนทุกวัน เราเริ่มมีสติกลับมาบ้าง นั่งคิดหาทางกลับบ้านเพราะสมัยนั้นไม่มีรถไฟฟรีนี่นา เรานั่งไร้จุดหมายอยู่นาน ก็หยิบหนังสือที่ซื้อตอนแลกเงินขึ้นมาอ่าน หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า ชีวิตจริง เรานั่งอ่านจนหมดทุกหน้า เพื่อที่จะไห้เวลามันหมดไปโดยไร้ทางเลือก อ่านซ้ำไปซ้ำมา จนมาสะดุดตา โฆษณาในหน้าแรกๆที่บอกว่ารับสมัคร รีเซฟชั่น สาว สวย ไม่จำกัด การศึกษาเงินเดือน 10,000-30,000 บาท มีที่พัก และสวัสดิการฟรี เบิกค่ารถได้ ทันทีที่พิจรณา เราเลือกที่จะเอาเงินไม่กี่บาทของเราโทรทันที แต่โทรไปมีเพียงแม่บ้านรับสาย แล้วให้เรารอถึง6โมงเย็นค่อยโทรไหม่ เราดีใจที่จะมีงานทำ เลยไม่หิวเลยทั้งที่ไม่ได้กินอะไร มาสองวันแล้ว เรารอถึง6โมงเย็นจึงโทรไปอีกรอบ คราวนี้เจอพี่เจ้าของร้านรับสาย แกพูดจาดีมาก พร้อมทั้งให้เรานั่งรถแท็กซี่ไปทันที แล้วไปเก็บเงินที่เค้าค่ะ แกบอกว่ามันเป็นสวัสดิการของร้าน ที่รับผิดชอบค่ารถของคนที่มาสมัครงาน
***รวมเรื่องราว"30 ปีที่ผ่านไปฯ" โดยคุณ แล้วฟ้าก็ใส*** (จบในทู้เดียวค่ะ)
>> >> เอาล่ะ เริ่มเล่าล่ะนะคะ เมื่อ11 ปีที่แล้วเราอายุ 19 ปี อยู่ในครอบครัวที่ไม่อบอุ่น มีน้องชายน่ารักหนึ่งคน พ่อกับแม่แยกทางกัน เราอาศัยอยู่กับแม่ และน้องชาย แม่เราติดเหล้า ติดการพนัน และติดยาเสพย์ติด เราใช้ชีวิตอยู่กับน้องเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะแม่ไม่ค่อยได้กลับบ้าน จนช่วงนึง ที่ทางบ้านมีปัญหา ลุงได้มาขอน้องชายไปเลี้ยงดู ส่วนเราก็ยังเลือกที่จะอยู่กับแม่ ถึงแม้ญาติทางพ่อ จะขอไห้ไปอยู่ด้วยก็ตาม แต่เราไปแล้วก็กลับมาหลังจากที่ปัญหาของแม่คลี่คลาย คือแม่ของเราโดนจับติดคุกค่ะ เพราะแอบขายยาเสพย์ติด
ขออนุญาตเล่าย่อๆในบางส่วนนะคะ เนื่องจากแม่เราเห็นเงินเป็นใหญ่ จึงบังคับเราให้เป็นเมียน้อยเสี่ย ด้วยเหตุผลว่า เค้ามีเงิน เค้าจะเลี้ยงดูเราและครอบครัวได้ เราถูกปล้ำที่บ้านด้วยการรู้เห็นเป็นใจ ของแม่ โดยที่เราไม่มีทางสู้ และไม่สามารถฟ้องใครได้ มิหนำซ้ำ ป้าและลุงของเราที่เป็นพี่พ่อ ยังมาเสียชีวิตแบบกะทันหัน เพราะอุบัติเหตุอีก เราจึงกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบแต่ก็ไม่เชิงซะทีเดียว เรามีน้องชายที่เป็นกำลังใจให้เสมอ ตั้งแต่เด็กจนโต เราสองคนรักกันมากที่สุด มากจนแทบที่จะเรียกว่า ตายแทนกันได้เลย เราเจอพ่อที่หายไปนานในงานศพลุงกับป้านี่เอง แต่พ่อเรามีครอบครัวใหม่ไปแล้ว แล้วอีกอย่าง แม่ก็ไม่ชอบให้เราไปสุงสิงกับญาติทางพ่อสักเท่าไหร่ เราจึงมีโอกาสแค่ ขอเบอร์โทรศัพท์พ่อ ซึ่งเป็นเบอร์บ้าน ที่พ่ออยู่กับครอบครัวใหม่ไว้ เพื่อที่หวังว่าจะติดต่อบ้างในเวลาที่เราคิดถึง และเพียงไม่กี่วัน เราก็มีความจำเป็นที่ต้องใช้เบอร์โทรพ่อที่ให้ไว้ เรื่องเกิดจากว่า แม่พยายามที่จะให้เรานอนกับไอ้เสี่ยนั่น เป็นครั้งที่2ด้วยเหตุผลเพื่อแลกกับการเรียนต่อมหาลัยของเรา ตอนนั้นเราเพิ่งจบม.6 และกำลังจะเอ็นทรานซ์ ในเดือนหน้า ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่น้องกลับมาอยู่ที่บ้าน หลังจากลุงเสีย และน้องเรารับไม่ได้กับสิ่งที่กำลังจะเกิด เพราะเรากอดน้องร้องให้ แบบที่เรียกว่าน้ำตาแทบเป็นสายเลือดน้องจึงวางแผนให้เราหนีออกจากบ้าน เพื่อไปอยู่กับพ่อ ที่ต่างจังหวัด โดยมีความหวังเดียว คือเบอร์ที่พ่อให้ไว้ โดยที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่ออยู่ที่ใหนของมหาชัย
เราสองคนพี่น้อง รวบรวมเงินได้ 150 บาทในตอนนั้นน้องชายแอบเอากระเป๋าที่ใส่เสื้อผ้าเราไว้ออกมาซ่อนในพุ่มไม้ริมถนน และให้เราหาทางแอบออกมาตัวเปล่า เพื่อที่จะขึ้นรถประจำทางไป สถานีรถไฟ เพื่อเข้ากรุงเทพ เราเดินออกมาจากบ้านได้โดยง่าย เพราะแม่ใช้ให้เราออกมาซื้อบุหรี่ครึ่งซอง พร้อมเงิน20 บาท แต่เราไม่ได้ซื้อค่ะ เราออกมาเลยพร้อมเงิน20 ของแม่ และนั่นคือการจากกันทั้งน้ำตาของเรากับน้องชายเราขึ้นรถไฟเดินทางเข้ากรุงเทพด้วยเงินติดตัวทั้งหมด 90 บาท หลังจากหักค่าตั๋วไป เด็กผู้หญิงอายุ19เดินทางเข้ากรุงเทพครั้งแรก ด้วยอาการเหม่อลอย กอดกระเป๋าร้องไห้ตลอดทาง ไม่กล้าพูดจากับใคร เพราะในสมองทั้งกลัว ทั้งสับสน ทั้งคิดถีงน้อง ห่วงแม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เรารักแม่มาก แต่หลังจากเกิดเรื่องที่โดนปล้ำเรากลายเป็นคนที่อคติกับแม่ไปเลย แต่ลึกๆในใจก็ยังห่วงแกอยู่ดี สับสนไปหมด
เราถึงกรุงเทพเวลา 6 โมงเย็น ในตอนนั้นหน้าหนาว ฟ้าก็เริ่มสลัวบ้างแล้ว สิ่งแรกที่เราทำหลังจากลงจากรถคือ รีบวิ่งไปโทรศัพท์หาพ่อ แต่เราไม่มีเหรียญเลยจำเป็นที่จะต้อง ซื้อของเพื่อแลกเหรียญ แทนที่เราจะซื้อของถูก ดันไปซื้อหนังสือเล่มนึง ที่มีตัวหนังสือเยอะๆ ในราคา20บาท เพื่อที่จะได้เอาไว้อ่านนานๆ ตอนรอพ่อมารับ เราให้แบงค์ 50 พร้อมทั้งขอเงินทอนเป็นเหรียญทั้งหมดหลังจากที่ใด้เหรียญ เรารีบโทรหาพ่อทันที แต่โทรกี่ครั้งก็ไม่มีคนรับสาย เราใจแป้วทันที โทษตัวเองที่ไม่โทรบอกพ่อก่อนว่าจะไปหา แล้วจะเอายังไงถ้าพ่อไม่รับโทรศัพท์ คิดไปก็โทรอยู่อย่างนั้น จน2ทุ่มก็มีคนรับ แต่ปลายสายคือผู้หญิง เค้าบอกว่าเค้าคือแฟนพ่อ พ่อไม่อยู่ ไปติดต่อทำร้านอาหารที่ภูเก็ต จะกลับอีก 1อาทิตย์ มีอะไรให้ฝากเค้าบอกได้ทันที เราจึงบอกให้เค้ามารับเราหน่อย เราอยู่ที่หัวลำโพง แต่เค้าปฏิเสธค่ะ ว่าคงไปไม่ได้เพราะเค้าท้องอยู่ ไม่สะดวก แล้วนี่ก็มืดค่ำแล้ว พอพูดจบเค้าก็วางหูไป โทรกลับเท่าไร เค้าก้ไม่รับสาย พอโทรบ่อยๆเข้าเค้าก็ยกหูออก คือ โทรไปเท่าไหร่ก็เหมือนสายไม่ว่างน่ะค่ะ นั่นไงเราไม่มีที่ไปแล้วไงล่ะ ด้วยเงินที่เหลือติดตัวตอนนี้ไม่ถึง 30บาท ข้าวยังไม่ได้กิน น้ำยังไม่ได้แตะ แต่เรื่องอดเนี่ย เราพอเคยชินค่ะ เพราะอดบ่อย แต่ที่สำคัญคือ เราไม่มีเงินที่พอที่จะกลับบ้านแล้วเราจะไปอยู่ไหน กรุงเทพมันใหญ่สำหรับเราเกินไปจริงๆ อย่าว่าแต่กรุงเทพเลย แค่หัวลำโพง สำหรับเราก็ใหญ่มากแล้วเรานอนร้องไห้กอดกระเป๋าตัวกลม บนเก้าอี้พักรอรถไฟ รอบข้างน่ากลัวไปหมดสำหรับเรา ตอนดีกยิ่งน่ากลัว ไหนจะหนาว ไหนจะคนแปลกหน้า ไหนจะคนเร่ร่อนที่แต่งตัวมอมๆ เหมือนคนสติไม่ดี เราร้องให้คิดถึงน้องชายที่สุด น้องจะรู้มั้ยว่าเราต้องเจออะไรบ้าง น้องคงห่วงเรา แต่ก็น่าแปลกเวลาที่เราโดดเดี่ยว ไม่มีที่พึ่งแบบนั้น คนแรกที่เรานึกถึงกลับเป็นน้อง ไม่ไช่พ่อแม่ นั่นอาจเป็นเพราะเราไม่มีความผูกพันกับเค้าทั้งสอง เท่าน้องชายก็ได้เรานอนร้องให้จนประมาณตี4-5 ไม่แน่ใจ
เนื่องจากคนเริ่มเยอะขึ้น และเราก็เริ่มหิวมากนั่นเอง แต่เราไม่ได้ทานข้าวค่ะ เราเลือกที่จะเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า และดื่มน้ำก๊อกแทน เพราะเราดื่มแทนข้าวจนชินในมื้อกลางวันตอนเรา เรียนทุกวัน เราเริ่มมีสติกลับมาบ้าง นั่งคิดหาทางกลับบ้านเพราะสมัยนั้นไม่มีรถไฟฟรีนี่นา เรานั่งไร้จุดหมายอยู่นาน ก็หยิบหนังสือที่ซื้อตอนแลกเงินขึ้นมาอ่าน หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า ชีวิตจริง เรานั่งอ่านจนหมดทุกหน้า เพื่อที่จะไห้เวลามันหมดไปโดยไร้ทางเลือก อ่านซ้ำไปซ้ำมา จนมาสะดุดตา โฆษณาในหน้าแรกๆที่บอกว่ารับสมัคร รีเซฟชั่น สาว สวย ไม่จำกัด การศึกษาเงินเดือน 10,000-30,000 บาท มีที่พัก และสวัสดิการฟรี เบิกค่ารถได้ ทันทีที่พิจรณา เราเลือกที่จะเอาเงินไม่กี่บาทของเราโทรทันที แต่โทรไปมีเพียงแม่บ้านรับสาย แล้วให้เรารอถึง6โมงเย็นค่อยโทรไหม่ เราดีใจที่จะมีงานทำ เลยไม่หิวเลยทั้งที่ไม่ได้กินอะไร มาสองวันแล้ว เรารอถึง6โมงเย็นจึงโทรไปอีกรอบ คราวนี้เจอพี่เจ้าของร้านรับสาย แกพูดจาดีมาก พร้อมทั้งให้เรานั่งรถแท็กซี่ไปทันที แล้วไปเก็บเงินที่เค้าค่ะ แกบอกว่ามันเป็นสวัสดิการของร้าน ที่รับผิดชอบค่ารถของคนที่มาสมัครงาน