อย. ตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้ยาพาราเซตามอลของผู้บริโภค บังคับการแสดงข้อความคำเตือน
บนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ป้องกันการเกิดพิษต่อตับและใช้ยาเกินขนาด พร้อมแนะวิธีการใช้ยาพาราเซตามอล
อย่างปลอดภัย
นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากข้อมูลการใช้
ยาพาราเซตามอลของคนไทยพบว่า ส่วนใหญ่มักใช้ยาพาราเซตามอลเกินกว่าปริมาณที่กำหนด เนื่องจากมองว่าเป็น
ยาพื้นฐาน มีความปลอดภัย และเข้าใจว่าสามารถรักษาได้ทุกอาการปวด ซึ่งในความเป็นจริง ยาพาราเซตามอล
มีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้ เท่านั้น และไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน ๆ เพราะอาจจะนำไปสู่การเกิดพิษต่อตับ จนนำไปสู่ภาวะ
ตับวาย และเสียชีวิตในที่สุด ในเรื่องนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตระหนักถึงความปลอดภัย
ของผู้บริโภคในการใช้ยาพาราเซตามอล จึงได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาที่ต้องแจ้งคำเตือนการใช้ยาไว้
ในฉลากและเอกสารกำกับยา โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยาที่มีส่วนประกอบของพาราเซตามอล ทั้งที่เป็นยาสามัญ และ
ยาสามัญประจำบ้าน ต้องมีข้อความคำเตือนบลาก ได้แก่ 1) ถ้าใช้ยานี้เกินขนาดที่ระบุไว้บนฉลากหรือเอกสาร
กำกับยา จะทำให้เป็นพิษต่อตับได้ และไม่ควรใช้ยานี้ติดต่อกันเกิน 5 วัน, และ 2) ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต
ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ ทั้งนี้ ยาพาราเซตามอลที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน สามารถหาซื้อได้
ตามร้านค้าทั่วไป อย. จึงมีมาตรการกำหนดให้ฉลากยาระบุวิธีใช้ยาอย่างเคร่งครัด คือ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด
ไม่เกินวันละ 4 ครั้ง และต้องมีขนาดบรรจุเป็นแผงละ 4 และ 10 เม็ดเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคใช้ยา
เกินขนาดที่ระบุไว้ข้างต้น
เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า อย่างไรก็ตาม จากการที่องค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา
(USFDA) ออกประกาศให้บริษัทยาที่ผลิตยาแก้ปวดสูตรที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ในกลุ่ม
ยาแก้ปวดที่ใช้ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด ซึ่งเป็นยาที่ใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิก
ปรับลดปริมาณยาพาราเซตามอลลงจากเดิม จากขนาดยา 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด เป็น 325 มิลลิกรัมต่อเม็ด รวมทั้ง
กำ หนดให้ระบุข้อความบนฉลากยาถึงผลข้างเคียงา ยามีผลทำ ให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรงได้ นั้น
เป็นการลดความเสี่ยงของผู้บริโภคในการที่จะได้รับปริมาณยาพาราเซตามอลเกินขนาด และลดความเสี่ยงที่จะเกิด
พิษต่อตับลง ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ขอให้ผู้บริโภคใช้ยาอย่างระมัดระวัง ควรอ่านฉลากและเอกสาร
กำกับยาอย่างถ้วนถี่ และปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ไม่ควรรับประทานยาเกินกว่าปริมาณที่
ระบุไว้โดยเฉพาะยาพาราเซตามอลไม่ควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด (เม็ดละ 500 มิลลิกรัม) และหากมี
ความผิดปกติหรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร บวมบริเวณท้อง กดเจ็บบริเวณตับ
ขอให้พบแพทย์โดยด่วน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
ที่มา: กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค วันที่ 20 พฤศจิกายน 2555
อย. ห่วงคนไทยใช้ยาพาราเซตามอลพร่ำเพรื่อ
บนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ป้องกันการเกิดพิษต่อตับและใช้ยาเกินขนาด พร้อมแนะวิธีการใช้ยาพาราเซตามอล
อย่างปลอดภัย
นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากข้อมูลการใช้
ยาพาราเซตามอลของคนไทยพบว่า ส่วนใหญ่มักใช้ยาพาราเซตามอลเกินกว่าปริมาณที่กำหนด เนื่องจากมองว่าเป็น
ยาพื้นฐาน มีความปลอดภัย และเข้าใจว่าสามารถรักษาได้ทุกอาการปวด ซึ่งในความเป็นจริง ยาพาราเซตามอล
มีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้ เท่านั้น และไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน ๆ เพราะอาจจะนำไปสู่การเกิดพิษต่อตับ จนนำไปสู่ภาวะ
ตับวาย และเสียชีวิตในที่สุด ในเรื่องนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตระหนักถึงความปลอดภัย
ของผู้บริโภคในการใช้ยาพาราเซตามอล จึงได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาที่ต้องแจ้งคำเตือนการใช้ยาไว้
ในฉลากและเอกสารกำกับยา โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยาที่มีส่วนประกอบของพาราเซตามอล ทั้งที่เป็นยาสามัญ และ
ยาสามัญประจำบ้าน ต้องมีข้อความคำเตือนบลาก ได้แก่ 1) ถ้าใช้ยานี้เกินขนาดที่ระบุไว้บนฉลากหรือเอกสาร
กำกับยา จะทำให้เป็นพิษต่อตับได้ และไม่ควรใช้ยานี้ติดต่อกันเกิน 5 วัน, และ 2) ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต
ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ ทั้งนี้ ยาพาราเซตามอลที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน สามารถหาซื้อได้
ตามร้านค้าทั่วไป อย. จึงมีมาตรการกำหนดให้ฉลากยาระบุวิธีใช้ยาอย่างเคร่งครัด คือ รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด
ไม่เกินวันละ 4 ครั้ง และต้องมีขนาดบรรจุเป็นแผงละ 4 และ 10 เม็ดเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคใช้ยา
เกินขนาดที่ระบุไว้ข้างต้น
เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า อย่างไรก็ตาม จากการที่องค์การอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา
(USFDA) ออกประกาศให้บริษัทยาที่ผลิตยาแก้ปวดสูตรที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ในกลุ่ม
ยาแก้ปวดที่ใช้ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด ซึ่งเป็นยาที่ใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิก
ปรับลดปริมาณยาพาราเซตามอลลงจากเดิม จากขนาดยา 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด เป็น 325 มิลลิกรัมต่อเม็ด รวมทั้ง
กำ หนดให้ระบุข้อความบนฉลากยาถึงผลข้างเคียงา ยามีผลทำ ให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรงได้ นั้น
เป็นการลดความเสี่ยงของผู้บริโภคในการที่จะได้รับปริมาณยาพาราเซตามอลเกินขนาด และลดความเสี่ยงที่จะเกิด
พิษต่อตับลง ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ขอให้ผู้บริโภคใช้ยาอย่างระมัดระวัง ควรอ่านฉลากและเอกสาร
กำกับยาอย่างถ้วนถี่ และปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ไม่ควรรับประทานยาเกินกว่าปริมาณที่
ระบุไว้โดยเฉพาะยาพาราเซตามอลไม่ควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด (เม็ดละ 500 มิลลิกรัม) และหากมี
ความผิดปกติหรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร บวมบริเวณท้อง กดเจ็บบริเวณตับ
ขอให้พบแพทย์โดยด่วน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
ที่มา: กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค วันที่ 20 พฤศจิกายน 2555