การเดินทางนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากเก็บข้อมูลหลายอย่างจากที่นี่ไป ก็ขอมาแบ่งปันข้อมูลไว้ที่นี่บ้างค่ะ
เรื่องของเรื่องที่ทำให้เกิดทริปนี้ขึ้นมาเป็นเพราะว่า พอเห็นตั๋วโปรฯ ของสายการบินต่างชาติสายการบินหนึ่งเขาให้จองแบบ Multicity ซึ่งตอนแรกหนูเล็กไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย แค่เห็นราคาแล้วน้ำลายหก เลยหาข้อมูล ถามผู้รู้ ถามเพื่อนจนได้ข้อมูล ก็เลยตัดสินใจลองสักตั้ง ก็ไปถึงยุโรปในราคาค่าตั๋วเพียง 16,000 บาท เป็นใครจะไม่มือลั่นละคะ ตั๋วที่ว่านั้นคือ ขาไป เป็น กัวลาลัมเปอร์-ปารีส ส่วนขากลับเป็น เวนิส-กรุงเทพฯ เรื่องตั๋วเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปมาเลเซียนั้นไม่ใช่ปัญหาเพราะมีสายการบินโลว์คอสต์มากมายวันละหลายๆ เที่ยวบิน รอมีโปรโมชั่นเมื่อไรก็จองเมื่อนั้น อดใจรอเอาหน่อยก็พอ แค่ถือตั๋วโปรฯ ไปยุโรปไว้ก่อน
การเดินทางครั้งนี้แพลนไว้ยาวราว 15 วัน ไว้จะค่อยๆ เล่าถึงบรรยากาศระหว่างการเดินทางของพวกเราให้อ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับเอาภาพสถานที่ต่างๆ มาให้ชมค่ะ ฝีมือถ่ายภาพอาจไม่ดีนัก แต่ตั้งใจนำมาแบ่งปันค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สนใจสอบถามข้อมูลได้เลยค่ะที่ https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek
สิ่งที่ต้องทำหลังจากมือลั่น
การจองที่พักเพราะต้องใช้ในการขอวีซ่าเชงเก้น แต่ขั้นตอนก็มาวิบากตรงที่ว่า พี่ใหญ่ต้องการยื่นโดยตรงกับสถานทูตเพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียให้ตัวแทนโดยไม่จำเป็น แต่สถานทูตเขาจะรับคำขอวีซ่าเฉพาะวันจันทร์เท่านั้นโดยต้องทำการนัดหมายล่วงหน้า เมื่อเอกสารการจองต่างๆ พร้อม เอกสารส่วนตัวของสมาชิกทุกคนที่จะเดินทางร่วมกันคราวนี้พร้อม ก็โทรนัดหมายผ่านสำนักงานตัวแทน ผลปรากฏว่า พวกเราได้คิวหลังจากนั้นอีกราวเดือนครึ่ง หงอยไปตามๆ กันเลยค่ะ การทำการบ้านสะดุดกึก คือ ก็ทำไปแบบขาดความมั่นใจเล็กๆ แม้ว่าจริงๆ ก็มีแต้มต่อกันอยู่นะคะว่าพวกเราเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจและก็มีตำแหน่งหน้าที่การงานกันพอควร เรื่องเงินในบัญชีก็ไม่ได้มากมายแต่ก็ไม่ได้ถึงกับน้อยมาก แต่ก็ยอมรับว่าใจไม่ร้อยเปอร์เซนต์เท่าไรนัก
แต่เราก็ทำแผนเดินทาง จองรถเช่า จองตั๋วรถไฟ จองที่พัก ทำทุกอย่างเสมือนหนึ่งว่าได้รับวีซ่าไปแล้วประมาณ 80% เรียกว่าใจป้ำกันมากค่ะ ค่อนข้างเชื่อว่าได้แน่ (มั่นกันขนาดน้านนน) เมื่อถึงกำหนดเวลาไปยื่นขอวีซ่าและฟังผลหลังจากนั้นเพียง 1 สัปดาห์ เราก็ได้รับข่าวดีอย่างที่หวังไว้ และทำให้การทำการบ้านเข้มงวดขึ้นไปอีกราวสองเดือนก่อนการเดินทาง เพราะเราได้รับ Schengen Multiple Visa 90 วัน ค่ะ
ขอรวบรัดตัดความมาที่การเดินทางเลยแล้วกันค่ะ เราหาตั๋วโลว์คอสจากกรุงเทพฯ ไปมาเลเซีย เพื่อไปนั่งเครื่องเอทิฮัดไปยังอาบูดาบี ต่อเครื่องไปยังปารีส นั่งๆ นอนๆ ไปอย่างยาวนานเดินทางกันเป็นวันๆ จนในที่สุดก็ถึงสนามบินชาร์ล เดอ โกลส์ (Charles de Gaulle) กรุงปารีส กันจนได้ค่ะ แสนเมื่อยล้าจริงๆ แต่เพื่อราคานี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ยอมรับได้
ผ่านจากจุดตรวจคนเข้าเมืองนี้ไป เราก็จะได้เข้าสู่ประเทศฝรั่งเศสกันแล้วค่ะ
ในที่สุดการเดินทางสู่ประเทศฝรั่งเศสของเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติหลักในที่สุด สนามบินนานาชาติชาร์ลส์เดอโกล (Aéroport international Charles de Gaulle รหัส CDG) เป็นสนามบินนานาชาติหลักของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่รัวส์ซี (Roissy) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของปารีสตั้งชื่อโดยนายพลชาร์ลส์เดอโกล ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีของฝรั่งเศส (1890 - 1970) เมื่อเดินทางไปถึงเราสามารถเดินทางเชื่อมต่อกับทางรถไฟภูมิภาค RER และรถไฟความเร็วสูง TGV เดินทางไปยังปารีสและอีกหลายเมืองในฝรั่งเศส รวมไปถึงเมืองอื่นๆ ของต่างประเทศโดยตรง
จากสนามบินก่อนจะเดินทางเข้าเมือง หนูเล็กมีภารกิจที่จะต้องทำไปดูภารกิจแรกกันก่อน หนูเล็กจะต้องหาซื้อตั๋วเดินทางสำหรับใช้สำหรับการเดินทางในเมือง ตั๋วที่เราต้องการ คือ ตั๋วเที่ยวเดียวที่เรียกว่า "t+" หลังจากพิจารณาจากแผนเที่ยวปารีสของเราแล้ว คงใช้บริการรถสาธารณะไม่มากนัก เน้นเดินเที่ยวเป็นหลัก จึงเลือกซื้อตั๋วแบบนี้
"t+" ลักษณะเป็นตั๋วกระดาษ เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาท่องเที่ยวภายในกรุงปารีสเป็นเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ตั๋วนี้ใช้ได้กับทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro รถไฟ RER (ภายในโซน 1-2) และรถบัส รวมไปถึงรถบริการอีกหลายๆ จุด เช่น รถรางขึ้นไปสู่เนินเขา Montmartre หากต้องการเดินทางออกไปนอกเหนือโซน 1-2 แล้วก็ต้องซื้อตั๋วเพิ่มสำหรับโซนนั้นๆ ตั๋วหนึ่งใบสามารถต่อรถระหว่าง Metro และ RER ได้ไม่จำกัดครั้งภายใน 90 นาที ถ้าใช้บริการรถบัสก็ต่อได้ 1 ครั้ง (รถบัส-รถบัส หรือรถบัส-รถTram) แต่จะไม่สามารถใช้ต่อสายรถบัสระหว่างรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro หรือรถไฟ RER ได้
และเพื่อความสะดวกและประหยัดทั้งเงินและเวลาต่อคิว เขามีขายตั๋ว t+ เป็นชุด10 ใบ ซึ่งเรียกว่า carnet (คาร์-เน่ต์) แต่มักจะมีตามสถานีใหญ่ๆ มากกว่าและราคาก็จะถูกกว่าด้วย ดังนั้น พี่ใหญ่และหนูเล็กจึงพากันเดินทางเชื่อมจากสนามบินไปยังสถานีรถไฟไปติดต่อที่ห้องขายตั๋วจัดการซื้อ carnet เตรียมไว้สำหรับการเที่ยวเล่นในปารีสเป็นเวลา 2 วัน จัดไปทั้งสิ้น 40 ใบ สำหรับคน 5 คน จากนี้ก็จะมีบัตรเบ่งแล้ว ได้เวลาทำความรู้จักปารีสกันแล้วค่ะ
บรรยากาศภายในสนามบินและสถานีรถไฟยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการรักษาความปลอดภัย มีทหารเดินตรวจตราตามจุดต่างๆ เป็นระยะๆ ให้ความรู้สึกอุ่นใจมากกว่าจะรู้สึกเป็นอย่างอื่น ยังพาลนึกไปว่าเหมือนกำลังเดินอยู่ในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเสียด้วยซ้ำ คนในเครื่องแบบสีเขียวทำให้เราอุ่นใจดี อิอิ
เราเข้าไปซื้อ carnet ในนี้ค่ะ
ภารกิจถัดไปก็คือการหาทางเข้าเมืองด้วยขนส่งสาธารณะ หนูเล็กและพี่ใหญ่ตัดสินใจเลือกใช้บริการรถ Roissy Bus (รัวส์ซี บุส) เป็นรถบัสที่วิ่งระหว่างสนามบินชาร์ลส์เดอโกลส์ (CDG) กับ โอเปรา (Palais Garnier) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 75 นาที ค่าโดยสารคนละ 11 ยูโร สาเหตุที่เราเลือกใช้บริการ Roissy Bus ก็เพราะมีที่วางสัมภาระค่อนข้างสะดวก และเราสามารถนั่งไปลงสุดสายเพื่อไปต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานที่ที่ต้องการต่อได้ง่าย การซื้อตั๋วเดินทางสามารถซื้อผ่านตู้ได้เลย ต้องการซื้อกี่ใบใส่เงินไปให้พอหรือหากเกินเครื่องก็จะทอนมาให้
หลังจากซื้อเสร็จก็ไปนั่งรอยังจุดที่เขาจัดไว้มีหน้าจอคอมพิวเตอร์บอกเวลาให้รู้ว่ารถบัสจะมาในอีกกี่นาทีข้างหน้ามันจะสะดวกอะไรไปหมดขนาดนั้น
เมื่อได้เวลารถจะมาจอดเทียบที่ด้านหน้าอาคาร นำบัตรไปสอดเข้าเครื่องตรงคนขับรถเพื่อ validate การใช้งาน จากนั้นนำสัมภาระไปไว้ในพื่นที่ที่เขากำหนด แล้วก็ไปหาที่นั่งตามใจชอบ ไม่ต้องกังวลกับสัมภาระอีกต่อไป
แม้ว่ารถบัสนี้จะมีสองตอนแต่คนขับสามารถขับเหวี่ยงซ้าย-ขวาพองามให้เรารู้สึกพลิ้วได้ไม่น้อยไปกว่านั่งรถเก๋ง มีบริการไวไฟฟรีให้บนรถ ทำให้สามารถเช็คอินรายงานตัวกลับไปยังคนทางบ้านได้ว่า เหยียบแผ่นดินฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้วขณะที่กำลังเดินทางสู่ใจกลางกรุงปารีส
หลังจากเรานั่ง Roissy Bus มาลงยัง Opera ซึ่งเป็นป้ายสุดท้ายกันแล้ว ก็พากันทั้งลากทั้งแบกกระเป๋าเดินทางลงใช้บริการรถไฟใต้ดินที่สถานี Opera เพื่อเดินทางสู่ที่พักที่จองไว้ในย่าน des Gobelins
นิวาสถานคืนแรกของเราใจกลางเมืองน้ำหอมแห่งนี้พี่ใหญ่และหนูเล็กเลือก ที่พักเล็กๆ แคบๆ ที่เหมาะกับฐานานุรูปของพวกเราซึ่งเป็น backpacker จากเมืองไทย ออกมาไกลจากใจกลางเมืองสักนิด ซึ่งจะทำให้ราคาที่พักย่อมเยาลงมาหน่อย
Oops Hostel เป็น Hostel ที่เดินทางไปมาสะดวกเพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินสองสถานีคือ des Gobelins กับ place d'italie อยู่ที่ว่าชอบแบบเดินขึ้นเนินหรือลงเนิน มีห้องน้ำในตัว ซึ่งก็เป็นธรรมดาของที่พักในเมืองขนาดใหญ่ ที่พักจะมีขนาดเล็กแค่พอให้ได้นอนพักผ่อน มีสิ่งอำนวยความสะดวกตามสมควร ที่นี่มีบริการอาหารเช้ารวมไว้ในราคาที่พักแล้ว เป็นย่านที่ปลอดภัย ไม่มีอะไรน่ากลัว ที่นี่เข้า-ออกห้องด้วยระบบคีย์การ์ด มีไวไฟให้ใช้ฟรี สัญญาณแรงดีไม่มีตก และหากประสงค์จะปรุงอาหารรับประทานเขาจะมีพื้นที่เฉพาะให้อีกห้องหนึ่งสามารถติดต่อขอกุญแจจากพนักงานได้ บรรยากาศโดยรวมถือว่าดี แม้จะแคบไปนิด แต่เวลาส่วนใหญ่ของพวกเราคือการออกไปเที่ยว ความกว้างหรือสะดวกสบายของห้องพักจึงไม่ได้มีความหมายอะไรกับพวกเรามากนัก








เวลาและวารีไม่เคยคอยท่า เมื่อหาอะไรใส่ท้อง พักผ่อนกายาหลังการเดินทางข้ามกาลเวลามาเป็นสิบชั่วโมงกันสักพัก พวกเราทุกคนก็มีเรี่ยวแรงออกเดินทางท่องราตรีที่ยังสว่างไสวของปารีสกันได้แล้ว การมาเที่ยวเมืองนอกในช่วงเดือนนี้นับว่าได้กำไรมาก เพราะฟ้าจะสว่างไปจนกระทั่งสามทุ่มกว่า ถ้ามีเรี่ยวมีแรงก็เดินเที่ยวไปเถิด เดินไปให้พอ บางทีร้านรวงปิดแล้ว ฟ้ายังไม่มืดเอาเลย และที่หมายวันนี้จะเป็นอะไรเสียไม่ได้ ต้องรีบไปสักการะโครงเหล็กอย่างหอไอเฟลที่เขาว่ากันว่าถ้ามาถึงปารีสแล้วไม่มาชมหอไอเฟลนั่นคือคุณยังมาไม่ถึง ดังนั้น จัดไปอย่าให้เสีย ไปชมเสียเลยเพราะยามค่ำเขาก็ว่างดงาม
จากที่พักเราเลือกเดินขึ้นเนินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Place d' Italie เพราะมีรถไฟใต้ดินสาย 6 ไปถึงที่หมายที่เราต้องการได้เลยนั่นคือสถานี Trocade'ro สาเหตุที่ต้องไปที่สถานีนี้นั่นก็เพราะเมื่อโผล่ขึ้นมาจากสถานี ที่นี่จะมีลานกว้าง เป็นจุดชมวิวหอไอเฟลที่ดีที่สุดเพราะไม่มีอะไรมาบดบัง
บรรยากาศภายในสถานีรถไฟใต้ดินค่ะ
[CR] Roam around France & Italy 15 Days : เที่ยวตาม(หัว)ใจ พี่ใหญ่กับหนูเล็ก (Day1-Paris)
การเดินทางนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลังจากเก็บข้อมูลหลายอย่างจากที่นี่ไป ก็ขอมาแบ่งปันข้อมูลไว้ที่นี่บ้างค่ะ
เรื่องของเรื่องที่ทำให้เกิดทริปนี้ขึ้นมาเป็นเพราะว่า พอเห็นตั๋วโปรฯ ของสายการบินต่างชาติสายการบินหนึ่งเขาให้จองแบบ Multicity ซึ่งตอนแรกหนูเล็กไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย แค่เห็นราคาแล้วน้ำลายหก เลยหาข้อมูล ถามผู้รู้ ถามเพื่อนจนได้ข้อมูล ก็เลยตัดสินใจลองสักตั้ง ก็ไปถึงยุโรปในราคาค่าตั๋วเพียง 16,000 บาท เป็นใครจะไม่มือลั่นละคะ ตั๋วที่ว่านั้นคือ ขาไป เป็น กัวลาลัมเปอร์-ปารีส ส่วนขากลับเป็น เวนิส-กรุงเทพฯ เรื่องตั๋วเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปมาเลเซียนั้นไม่ใช่ปัญหาเพราะมีสายการบินโลว์คอสต์มากมายวันละหลายๆ เที่ยวบิน รอมีโปรโมชั่นเมื่อไรก็จองเมื่อนั้น อดใจรอเอาหน่อยก็พอ แค่ถือตั๋วโปรฯ ไปยุโรปไว้ก่อน
การเดินทางครั้งนี้แพลนไว้ยาวราว 15 วัน ไว้จะค่อยๆ เล่าถึงบรรยากาศระหว่างการเดินทางของพวกเราให้อ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับเอาภาพสถานที่ต่างๆ มาให้ชมค่ะ ฝีมือถ่ายภาพอาจไม่ดีนัก แต่ตั้งใจนำมาแบ่งปันค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สิ่งที่ต้องทำหลังจากมือลั่น
การจองที่พักเพราะต้องใช้ในการขอวีซ่าเชงเก้น แต่ขั้นตอนก็มาวิบากตรงที่ว่า พี่ใหญ่ต้องการยื่นโดยตรงกับสถานทูตเพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียให้ตัวแทนโดยไม่จำเป็น แต่สถานทูตเขาจะรับคำขอวีซ่าเฉพาะวันจันทร์เท่านั้นโดยต้องทำการนัดหมายล่วงหน้า เมื่อเอกสารการจองต่างๆ พร้อม เอกสารส่วนตัวของสมาชิกทุกคนที่จะเดินทางร่วมกันคราวนี้พร้อม ก็โทรนัดหมายผ่านสำนักงานตัวแทน ผลปรากฏว่า พวกเราได้คิวหลังจากนั้นอีกราวเดือนครึ่ง หงอยไปตามๆ กันเลยค่ะ การทำการบ้านสะดุดกึก คือ ก็ทำไปแบบขาดความมั่นใจเล็กๆ แม้ว่าจริงๆ ก็มีแต้มต่อกันอยู่นะคะว่าพวกเราเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจและก็มีตำแหน่งหน้าที่การงานกันพอควร เรื่องเงินในบัญชีก็ไม่ได้มากมายแต่ก็ไม่ได้ถึงกับน้อยมาก แต่ก็ยอมรับว่าใจไม่ร้อยเปอร์เซนต์เท่าไรนัก
แต่เราก็ทำแผนเดินทาง จองรถเช่า จองตั๋วรถไฟ จองที่พัก ทำทุกอย่างเสมือนหนึ่งว่าได้รับวีซ่าไปแล้วประมาณ 80% เรียกว่าใจป้ำกันมากค่ะ ค่อนข้างเชื่อว่าได้แน่ (มั่นกันขนาดน้านนน) เมื่อถึงกำหนดเวลาไปยื่นขอวีซ่าและฟังผลหลังจากนั้นเพียง 1 สัปดาห์ เราก็ได้รับข่าวดีอย่างที่หวังไว้ และทำให้การทำการบ้านเข้มงวดขึ้นไปอีกราวสองเดือนก่อนการเดินทาง เพราะเราได้รับ Schengen Multiple Visa 90 วัน ค่ะ
ขอรวบรัดตัดความมาที่การเดินทางเลยแล้วกันค่ะ เราหาตั๋วโลว์คอสจากกรุงเทพฯ ไปมาเลเซีย เพื่อไปนั่งเครื่องเอทิฮัดไปยังอาบูดาบี ต่อเครื่องไปยังปารีส นั่งๆ นอนๆ ไปอย่างยาวนานเดินทางกันเป็นวันๆ จนในที่สุดก็ถึงสนามบินชาร์ล เดอ โกลส์ (Charles de Gaulle) กรุงปารีส กันจนได้ค่ะ แสนเมื่อยล้าจริงๆ แต่เพื่อราคานี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ยอมรับได้
ในที่สุดการเดินทางสู่ประเทศฝรั่งเศสของเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติหลักในที่สุด สนามบินนานาชาติชาร์ลส์เดอโกล (Aéroport international Charles de Gaulle รหัส CDG) เป็นสนามบินนานาชาติหลักของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่รัวส์ซี (Roissy) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของปารีสตั้งชื่อโดยนายพลชาร์ลส์เดอโกล ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีของฝรั่งเศส (1890 - 1970) เมื่อเดินทางไปถึงเราสามารถเดินทางเชื่อมต่อกับทางรถไฟภูมิภาค RER และรถไฟความเร็วสูง TGV เดินทางไปยังปารีสและอีกหลายเมืองในฝรั่งเศส รวมไปถึงเมืองอื่นๆ ของต่างประเทศโดยตรง
จากสนามบินก่อนจะเดินทางเข้าเมือง หนูเล็กมีภารกิจที่จะต้องทำไปดูภารกิจแรกกันก่อน หนูเล็กจะต้องหาซื้อตั๋วเดินทางสำหรับใช้สำหรับการเดินทางในเมือง ตั๋วที่เราต้องการ คือ ตั๋วเที่ยวเดียวที่เรียกว่า "t+" หลังจากพิจารณาจากแผนเที่ยวปารีสของเราแล้ว คงใช้บริการรถสาธารณะไม่มากนัก เน้นเดินเที่ยวเป็นหลัก จึงเลือกซื้อตั๋วแบบนี้
"t+" ลักษณะเป็นตั๋วกระดาษ เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาท่องเที่ยวภายในกรุงปารีสเป็นเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ตั๋วนี้ใช้ได้กับทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro รถไฟ RER (ภายในโซน 1-2) และรถบัส รวมไปถึงรถบริการอีกหลายๆ จุด เช่น รถรางขึ้นไปสู่เนินเขา Montmartre หากต้องการเดินทางออกไปนอกเหนือโซน 1-2 แล้วก็ต้องซื้อตั๋วเพิ่มสำหรับโซนนั้นๆ ตั๋วหนึ่งใบสามารถต่อรถระหว่าง Metro และ RER ได้ไม่จำกัดครั้งภายใน 90 นาที ถ้าใช้บริการรถบัสก็ต่อได้ 1 ครั้ง (รถบัส-รถบัส หรือรถบัส-รถTram) แต่จะไม่สามารถใช้ต่อสายรถบัสระหว่างรถไฟฟ้าใต้ดิน Metro หรือรถไฟ RER ได้
และเพื่อความสะดวกและประหยัดทั้งเงินและเวลาต่อคิว เขามีขายตั๋ว t+ เป็นชุด10 ใบ ซึ่งเรียกว่า carnet (คาร์-เน่ต์) แต่มักจะมีตามสถานีใหญ่ๆ มากกว่าและราคาก็จะถูกกว่าด้วย ดังนั้น พี่ใหญ่และหนูเล็กจึงพากันเดินทางเชื่อมจากสนามบินไปยังสถานีรถไฟไปติดต่อที่ห้องขายตั๋วจัดการซื้อ carnet เตรียมไว้สำหรับการเที่ยวเล่นในปารีสเป็นเวลา 2 วัน จัดไปทั้งสิ้น 40 ใบ สำหรับคน 5 คน จากนี้ก็จะมีบัตรเบ่งแล้ว ได้เวลาทำความรู้จักปารีสกันแล้วค่ะ
บรรยากาศภายในสนามบินและสถานีรถไฟยังเต็มไปด้วยบรรยากาศของการรักษาความปลอดภัย มีทหารเดินตรวจตราตามจุดต่างๆ เป็นระยะๆ ให้ความรู้สึกอุ่นใจมากกว่าจะรู้สึกเป็นอย่างอื่น ยังพาลนึกไปว่าเหมือนกำลังเดินอยู่ในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเสียด้วยซ้ำ คนในเครื่องแบบสีเขียวทำให้เราอุ่นใจดี อิอิ
ภารกิจถัดไปก็คือการหาทางเข้าเมืองด้วยขนส่งสาธารณะ หนูเล็กและพี่ใหญ่ตัดสินใจเลือกใช้บริการรถ Roissy Bus (รัวส์ซี บุส) เป็นรถบัสที่วิ่งระหว่างสนามบินชาร์ลส์เดอโกลส์ (CDG) กับ โอเปรา (Palais Garnier) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 75 นาที ค่าโดยสารคนละ 11 ยูโร สาเหตุที่เราเลือกใช้บริการ Roissy Bus ก็เพราะมีที่วางสัมภาระค่อนข้างสะดวก และเราสามารถนั่งไปลงสุดสายเพื่อไปต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานที่ที่ต้องการต่อได้ง่าย การซื้อตั๋วเดินทางสามารถซื้อผ่านตู้ได้เลย ต้องการซื้อกี่ใบใส่เงินไปให้พอหรือหากเกินเครื่องก็จะทอนมาให้
หลังจากซื้อเสร็จก็ไปนั่งรอยังจุดที่เขาจัดไว้มีหน้าจอคอมพิวเตอร์บอกเวลาให้รู้ว่ารถบัสจะมาในอีกกี่นาทีข้างหน้ามันจะสะดวกอะไรไปหมดขนาดนั้น
เมื่อได้เวลารถจะมาจอดเทียบที่ด้านหน้าอาคาร นำบัตรไปสอดเข้าเครื่องตรงคนขับรถเพื่อ validate การใช้งาน จากนั้นนำสัมภาระไปไว้ในพื่นที่ที่เขากำหนด แล้วก็ไปหาที่นั่งตามใจชอบ ไม่ต้องกังวลกับสัมภาระอีกต่อไป
แม้ว่ารถบัสนี้จะมีสองตอนแต่คนขับสามารถขับเหวี่ยงซ้าย-ขวาพองามให้เรารู้สึกพลิ้วได้ไม่น้อยไปกว่านั่งรถเก๋ง มีบริการไวไฟฟรีให้บนรถ ทำให้สามารถเช็คอินรายงานตัวกลับไปยังคนทางบ้านได้ว่า เหยียบแผ่นดินฝรั่งเศสเป็นที่เรียบร้อยแล้วขณะที่กำลังเดินทางสู่ใจกลางกรุงปารีส
หลังจากเรานั่ง Roissy Bus มาลงยัง Opera ซึ่งเป็นป้ายสุดท้ายกันแล้ว ก็พากันทั้งลากทั้งแบกกระเป๋าเดินทางลงใช้บริการรถไฟใต้ดินที่สถานี Opera เพื่อเดินทางสู่ที่พักที่จองไว้ในย่าน des Gobelins
นิวาสถานคืนแรกของเราใจกลางเมืองน้ำหอมแห่งนี้พี่ใหญ่และหนูเล็กเลือก ที่พักเล็กๆ แคบๆ ที่เหมาะกับฐานานุรูปของพวกเราซึ่งเป็น backpacker จากเมืองไทย ออกมาไกลจากใจกลางเมืองสักนิด ซึ่งจะทำให้ราคาที่พักย่อมเยาลงมาหน่อย
Oops Hostel เป็น Hostel ที่เดินทางไปมาสะดวกเพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินสองสถานีคือ des Gobelins กับ place d'italie อยู่ที่ว่าชอบแบบเดินขึ้นเนินหรือลงเนิน มีห้องน้ำในตัว ซึ่งก็เป็นธรรมดาของที่พักในเมืองขนาดใหญ่ ที่พักจะมีขนาดเล็กแค่พอให้ได้นอนพักผ่อน มีสิ่งอำนวยความสะดวกตามสมควร ที่นี่มีบริการอาหารเช้ารวมไว้ในราคาที่พักแล้ว เป็นย่านที่ปลอดภัย ไม่มีอะไรน่ากลัว ที่นี่เข้า-ออกห้องด้วยระบบคีย์การ์ด มีไวไฟให้ใช้ฟรี สัญญาณแรงดีไม่มีตก และหากประสงค์จะปรุงอาหารรับประทานเขาจะมีพื้นที่เฉพาะให้อีกห้องหนึ่งสามารถติดต่อขอกุญแจจากพนักงานได้ บรรยากาศโดยรวมถือว่าดี แม้จะแคบไปนิด แต่เวลาส่วนใหญ่ของพวกเราคือการออกไปเที่ยว ความกว้างหรือสะดวกสบายของห้องพักจึงไม่ได้มีความหมายอะไรกับพวกเรามากนัก
เวลาและวารีไม่เคยคอยท่า เมื่อหาอะไรใส่ท้อง พักผ่อนกายาหลังการเดินทางข้ามกาลเวลามาเป็นสิบชั่วโมงกันสักพัก พวกเราทุกคนก็มีเรี่ยวแรงออกเดินทางท่องราตรีที่ยังสว่างไสวของปารีสกันได้แล้ว การมาเที่ยวเมืองนอกในช่วงเดือนนี้นับว่าได้กำไรมาก เพราะฟ้าจะสว่างไปจนกระทั่งสามทุ่มกว่า ถ้ามีเรี่ยวมีแรงก็เดินเที่ยวไปเถิด เดินไปให้พอ บางทีร้านรวงปิดแล้ว ฟ้ายังไม่มืดเอาเลย และที่หมายวันนี้จะเป็นอะไรเสียไม่ได้ ต้องรีบไปสักการะโครงเหล็กอย่างหอไอเฟลที่เขาว่ากันว่าถ้ามาถึงปารีสแล้วไม่มาชมหอไอเฟลนั่นคือคุณยังมาไม่ถึง ดังนั้น จัดไปอย่าให้เสีย ไปชมเสียเลยเพราะยามค่ำเขาก็ว่างดงาม
จากที่พักเราเลือกเดินขึ้นเนินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Place d' Italie เพราะมีรถไฟใต้ดินสาย 6 ไปถึงที่หมายที่เราต้องการได้เลยนั่นคือสถานี Trocade'ro สาเหตุที่ต้องไปที่สถานีนี้นั่นก็เพราะเมื่อโผล่ขึ้นมาจากสถานี ที่นี่จะมีลานกว้าง เป็นจุดชมวิวหอไอเฟลที่ดีที่สุดเพราะไม่มีอะไรมาบดบัง