เ ร า จ่ า ย เ งิ น เ พื่ อ ซื้ อ ก า ร เ ด ิ น ท า ง เ เ ล ะ ไ ด้ เ งิ น ท อ น เ ป็ น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์
...................................................................................................................................
หลากคนไปเที่ยวเพราะเบื่อชีวิต หลายคนไปเที่ยวเพราะเบื่อรัก หลายคนไปเที่ยวเพราะเบื่องาน หลายคนไปเที่ยวเพราะเบื่อเรียนแต่ผมเชื่อว่าทุกๆคน ที่ไปมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เอาความเบื่อไปโยนทิ้ง รวมถึงการไปของผมในครั้งนี้เช่นกัน.
สำหรับการเดินทาง ผมเน้นวิธีประหยัดเหมือนกับทุกครั้ง ทำทุกทางที่ประหยัดตังค์แม้กระทั่งตั๋วเครื่องบินผมยังจองช่วงโปรโมชันข้ามปีฮ่าๆ เพราะผมคิดเสมอว่าจะเดินทางแบบใหนก็ได้ จะราคาเท่าไหร่ก็ตาม ขอแค่มันถึงจุดหมายแล้วเราสบายใจ ขออย่างเดี่ยว ขอให้ได้เที่ยวแบบมีตังค์ติดตัว ประหยัดได้ก็ประหยัดครับ..
กระทู้กากๆที่ผ่านมา
เกาะเต่า
http://pantip.com/topic/33822909
เกาะแสมรสาร
http://pantip.com/topic/34095875
หัวหิน
http://pantip.com/topic/35171636
ถ้าพูดถึงที่พักบนเขื่อนเชียวหลาน หลายคนคงติดภาพแพ 500 ไร่ ที่เป็นเหมือนจุดเด่นประจำเขื่อน เพราะเป็นที่พักที่สวยและเพียบพร้อม แต่ราคาสูงเกินที่พวกเราจะเอื้อมถึง ฮ่าๆ แต่แพอื่นก็สวยเหมือนกัน เพราะทุกแพในเขื่อนเชี่ยวหลาน สวยแตกต่างกันออกไป บางแพสวยที่ตัวแพ บางแพ สวยที่วิว และแพที่เราพักนี่ก็เช่นกัน ที่พักหลักร้อย วิวหลักหมื่น.....
01/11/59
การเที่ยวย่อมมีอุปสรรคทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน สมาชิกเราจาก 8 คน เเต่พอถึงวันจริงต่างคนต่างมีหน้าที่เเตกต่างกันไป เลยเหลือสมาชิกสุทธิแค่ 5 คน ไม่เป็นไรเพื่อนคนที่ไม่ไปเราก็ทำเหมือนเพื่อนไปด้วยได้เหมือนกัน
13.30 เราถึงสุราษธานี
แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเราแยกกันสองไฟรท์ เอาเเล้วไง สามคนเเรกถึงสนามบินก่อน อีกสองคนถึงรอบ 15.30 ไม่เป็นไรไม่ถือเป็นอุปสรรคของเราอยู่แล้ว เพราะเราตั้งใจจะไปถึงแพตอนเย็น เราได้เหมารถตู้ไว้ เลยใช้เวลาให้คุ้ม หาเที่ยวสถานที่ไกล้ๆ หากินข้าว ค่าเวลารอ
รูปนี้ถ่ายที่สนามบิน ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยนะครับว่าพวกเราสามารถเปลี่ยนทุกที่ให้เป็นที่ถ่ายรูป..
พอถึงเวลาเราก็เดินทางไปยังท่าเรือ ของเขื่อน ระยะทางประมาณ 65 กิโล ใช้เวลา ราวๆ 1 ชม. พอถึงเขื่อน พี่กบ(พี่คนขับรถตู้) ก็ไปติดต่อเรือให้ โดยตกลงราคาที่ วันละ 2000 บาท(ค้างคืน) สองคืน 3000
นี่ครับคนขับเรือของเรา ชื่อพี่กั้ง ใจดี เป็นกันเองมาก แวะให้เราทุกที่ ที่พวกเราอยากถ่ายรูป
พอนั่งเรือไป เราก็ได้ทำหน่าที่หลักของทุกคน นั่นคือ ตั้งค่ากล้องถ่ายรูป ของแต่ละคน ฮ่าๆ
เสียงการสนทนาที่ตื่นเต้นกับธรรมชาติแข่งกับเสียงเรือจนแยกแทบไม่ออกว่าอันไหนเสียงดังกว่ากัน
นั่งเรือไปเรื่อยๆ ประมาน 30 นาที เราก็ถึงแพของเรา นั่นคือ แพนางไพร แพนางไพรเป็นแพรของรัฐ ซึ่งมี่เจ้าหน้าที่ดูแล อยากบอกว่าพี่ๆดูแลดีมาก ค่าที่พัก คืนละ 300 บาท + อาหารเช้า 100 อาหารเที่ยงง200 อาหารเย็น 200
รวมๆเเล้ว 800 บาทต่อคน/ต่อคืน ถือว่าคุ้มมากครับ
*** แพนางไพรมีสัญญาณโทรศัพท์แล้วนะครับ เครือข่าย AIS เต็มสี่ขีดเลยละ
พอถึงแพ ก็แยกย้ายเก็บของเข้าที่พัก พอเปิดหน้าต่างเท่านั้นแหละ โอ้โห ที่พักหลักร้อย วิวหลักหมื่นจริงๆ บวกกับเราพักหลังสุดท้าย วิวยิ่งไม่ต้องพูดถึง จนลืมความเหน็ดเหนื่อยของการเดินทางไปเลยทีเดียว และโชคดีของพวกเราคือ วันที่พวกเราเข้าพัก นักท่องเที่ยวน้องมากกกกกก
เนื่องจากเรามาถึงค่ำ วันแรก เลยอดเล่นน้ำ เพราะเขาเปิดให้เล่นน้ำ เวลา06.00-18.00 แต่ไม่เป็นไรครับ นั่งเอาขาจุ่มน้ำก็ได้ฮ่าๆ
แสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบภูเขา ตกกระทบกับพื้นผิวน้ำ ผมบอกเลยว่าเป็นแสงที่สวยมาก
นั่งชมวิวไป จิบเบียร์ไป อยากบอกว่าเป็นอะไรที่ดีต่อความรู้สึกมาก ขนาดเบียร์ไม่เย็นและไม่ใส่น้ำแข็ง เรายังสามารถกินได้ ฮ่าๆ บรรยากาศมันพาไปจริงๆ
นั่งเล่น ถ่ายรูปเล่นจนพอใจก็ได้เวลาไปอาบน้ำ กินข้าว ก่อนที่ไฟจะดับลง ที่นี่เครื่องปั่นไฟ จะปิดลงประมานเวลา 22.00-00.00 เเล้วเเต่วันเพราะฉะนั้นเราต้องรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ และที่ขาดไม่ได้ คือการชาตแบต มือถือ
นี่คืออาหารเย็นของเรา ทุกอย่างเติมได้ ยกเว้นปลา เเละก็คือพระเอกของหารซ๊ด้วย
หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ออกมานั่งขาหย่อนน้ำ แกล้งปลา และที่สำคัญคือการรอดูดาว เวลาผ่านไปชั่วโมงเเล้วชั่วโมงเล่า หมดเบียร์ป๋องแล้วป๋องเล่า เราก็ยังไม่เห็นดาว ฮ่าๆธรรมดาครับ ความซวยเยือนทุกครั้งที่มาเที่ยว ฟ้าปิด มิหนำซ้ำฝน แยกครับแยกย้ายเข้านอน ฝนแปดแดดสี่สมคำล่ำลือจริงๆ
02/11/59
บรรยากาศยามเช้าหน้าที่พัก หลังสุดท้ายนั่นแหละครับ ที่พักเรา
7 โมงเช้าตะเกียกตะกายรีบตื่นขึ้นมาดูหมอก ดูแสงแรกกัน
เพราะถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเขื่อนเชี่ยวหลาน และก็ไม่ผิดหวังครับ เพราะคุ้มค่ากับการตื่นเช้า มันสวยมากจริงๆ
เก็บกดจากเมื่อวานที่ไม่สามารถลงเล่นน้ำได้ วันนี้เลยเอาให้คุ้มซ๊เลย ไม่รอช้า ลงเล่นตั้งเเต่เช้าตรู่เลยที่เดียว
น้ำที่นี่ใสและสวยแบบไม่ต้องปรุงเเต่งเพิ่มก็ยังได้
ความโชคร้ายยังมีความโชคดีแฝงอยู่ พวกเราโชคดีที่ได้เที่ยวแบบไม่มีใครวุ่นวายในแพ ถือว่าแพโซนนั้นมีเเต่พวกเราก็ว่าได้
พี่ๆเจ้าหน้าที่ นอกจากจะคอยดูแล้ว ยังเป็นตากล้องให้พวกเราอีกด้วยนะ มีออกแบบท่าให้ด้วย
และที่ขาดไม่ได้ คือปลาหน้าที่พัก บอกเลยว่าเยอะมาก ที่แพมีข้าวโพดดิบจำหน่าย เพื่อเป็นอาหารปลา ถุงละ 10 บาท
จะมองจากข้างบนหรือใต้น้ำก้สามารถเห็นปลาได้ชัดเจน
ทีแรกก็กะเอาปลาด้วยนั่นแหละ แต่ปลาหนีก่อน พอจะได้รูปคู่ปลา ปลาก็ดันเด่นกว่าซ๊งั้น
และอีกหนึ่งกิจกรรมที่ถือว่า เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องห้ามพลาด นั่นคือพายเรือ ผมก้ไม่รอช้าครับ แต่เคยแต่พายเรือหางยาว เลยให้พี่เจ้าหน้าทีพาพายก่อนหนึ่งรอบ เเต่เอาเข้าจริงก็คล้ายๆกันครับ เลยไม่รอช้าเลย ลุย
ตอนถ่ายรูปนี้ รู้สึกเวิ้งว้างมากครับ เพราะพายออกมาไกลจากที่พักเหมือนกัน พอถ่ายรูปนี้เสร็จ เลยพายกลับไปรับเพื่อน อีกลำ คราวนี้ลำละสองคนเลยทีเดียว
สนุกกับการเล่นน้ำ พายเรือเสร็จ ก็ได้เวลาอาบน้ำแต่งตัว มุ่งหน้า สู้ถ้ำปะการัง ซึ่งพี่กั้งนัดพวกเราไว้ 9 โมงเช้า ฮ่าๆ ตรงเวลาซ๊ที่ไหนละ
เสียงเรือมุ่งหน้าสู่ถ่ำประการัง ระหว่างทาง ตามเคยครับ จอดถ่ายรูปครับ ทุกๆที่ที่ผ่านต้องได้รูปเดี่ยวอย่างน้อยคนละ 5 รูปเป็นอย่างต่ำ มีใครยอมใครที่ไหนละ
ระหว่างทางเราจะผ่านแพเอกชนด้วย แพนี้ไม่มั่นใจว่าชื่อแพอะไรเหมือนกัน บอกเเล้วว่าแต่ละแพสวยกันทุกแพ เเต่สวยกันคนละแบบ
ใช้เวลาประมาน 30 นาที ก็ถึงทางขึ้นถ้ำทุกคนต่างเก็บของสัมภาระของตัวเอง
ที่สำคัญขาดไม่ได้เลย คือเสื้อกันฝน ซึ่งเป็นผมเองนี่แหละที่ไม่ได้เอาไปด้วย ไม่ใช่ลืมนะ เเต่พี่กั้งหลอกว่าฝนไม่ตกหรอก คนซื่อไง เลยเชื่อพี่กั้ง เป็นไงละ ได้ซื้ออีกตัวเลยฮ่าๆแต่ขอบอกก่อนเลยว่า ไม่ใช่ขี่เรือแล้วถึงปากถ้ำเลยนะ เพราะก่อนจะเข้าไป เราต้องเดินครับ เดินครับเดิน ทางชันซ๊ด้วยหึมมมมม ก่อนจะไปเหนื่อย เลยขอถ่ายรูปกลุ่มไว้เป็นที่ละทึกกันซ๊หน่อย
ทำใจกันพอเเล้วก็ได้เวลาลุย เสียค่าเข้าด้วยนะ คนละ 20 บาทมีไม้ค้ำไว้บริการแต่ทุกคนถือไปแล้วต้องถือกลับมาด้วย
ทางเดินจะเปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลา บางช่วงมีทางน้ำไหล เพราะฉะนั้นรองเท้าที่เหมาะสมควรเป็นรองเท้าผ้าใบ เพื่อกันลื่น
ทางเดินก็จะประมานนี้ครับ มีรถเจ้าหน้าที่ผ่านด้วยนะครับ อยากบอกว่าต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะตัวเลยละ กว่าจะขับได้ เพราะเท่าที่ผมยืนดู สะบัดซ้ายขวาอยู่หลายรอบ
เดินมาสักพักใหญ่ ระยะทางประมาน 1.5-2 กิโล ก็ถึงอีกท่าเรือหนึ่ง ใช้ข้ามไปยังถ่ำ เห็นเขาว่ากันว่าเป็นทะเลสาบ
พอเก็บของสัมภาระกันเสร็จ ก้ได้เวลาลงแพ แพจะเป็นแพไม้ไพ่ แล้วสิ่งที่ผมคิดไว้ก็เกิดขึ้น ฝนครับฝน ตั้งเค้ามาไม่ได้เกรงใจแดดของเขาลูกตะกี้เลยยย วิ่งสิครับวิ่งไปซื้อเสื้อกันฝน ฮ่าๆพี่กั้งนะพี่กั้ง โกหกกันได้ลงคอ
นั่งแพไปเรื่อยๆไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงถำท่ามกลางฝนปรอยๆ
ถ่ายรูปกับฝนกันสักหน่อย ก่อนจะเข้าไปในถ้ำ ฝนแปดแดดสี่ สมคำล่ำลือจริงๆ
[CR] เขื่อนรัชชประภา 3 วันกับแบงค์พัน 3 ใบ (ไม่รวมค่าเบียร์)
...................................................................................................................................
หลากคนไปเที่ยวเพราะเบื่อชีวิต หลายคนไปเที่ยวเพราะเบื่อรัก หลายคนไปเที่ยวเพราะเบื่องาน หลายคนไปเที่ยวเพราะเบื่อเรียนแต่ผมเชื่อว่าทุกๆคน ที่ไปมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ เอาความเบื่อไปโยนทิ้ง รวมถึงการไปของผมในครั้งนี้เช่นกัน.
สำหรับการเดินทาง ผมเน้นวิธีประหยัดเหมือนกับทุกครั้ง ทำทุกทางที่ประหยัดตังค์แม้กระทั่งตั๋วเครื่องบินผมยังจองช่วงโปรโมชันข้ามปีฮ่าๆ เพราะผมคิดเสมอว่าจะเดินทางแบบใหนก็ได้ จะราคาเท่าไหร่ก็ตาม ขอแค่มันถึงจุดหมายแล้วเราสบายใจ ขออย่างเดี่ยว ขอให้ได้เที่ยวแบบมีตังค์ติดตัว ประหยัดได้ก็ประหยัดครับ..
กระทู้กากๆที่ผ่านมา
เกาะเต่า http://pantip.com/topic/33822909
เกาะแสมรสาร http://pantip.com/topic/34095875
หัวหิน http://pantip.com/topic/35171636
ถ้าพูดถึงที่พักบนเขื่อนเชียวหลาน หลายคนคงติดภาพแพ 500 ไร่ ที่เป็นเหมือนจุดเด่นประจำเขื่อน เพราะเป็นที่พักที่สวยและเพียบพร้อม แต่ราคาสูงเกินที่พวกเราจะเอื้อมถึง ฮ่าๆ แต่แพอื่นก็สวยเหมือนกัน เพราะทุกแพในเขื่อนเชี่ยวหลาน สวยแตกต่างกันออกไป บางแพสวยที่ตัวแพ บางแพ สวยที่วิว และแพที่เราพักนี่ก็เช่นกัน ที่พักหลักร้อย วิวหลักหมื่น.....
01/11/59
การเที่ยวย่อมมีอุปสรรคทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน สมาชิกเราจาก 8 คน เเต่พอถึงวันจริงต่างคนต่างมีหน้าที่เเตกต่างกันไป เลยเหลือสมาชิกสุทธิแค่ 5 คน ไม่เป็นไรเพื่อนคนที่ไม่ไปเราก็ทำเหมือนเพื่อนไปด้วยได้เหมือนกัน
13.30 เราถึงสุราษธานี
แต่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเราแยกกันสองไฟรท์ เอาเเล้วไง สามคนเเรกถึงสนามบินก่อน อีกสองคนถึงรอบ 15.30 ไม่เป็นไรไม่ถือเป็นอุปสรรคของเราอยู่แล้ว เพราะเราตั้งใจจะไปถึงแพตอนเย็น เราได้เหมารถตู้ไว้ เลยใช้เวลาให้คุ้ม หาเที่ยวสถานที่ไกล้ๆ หากินข้าว ค่าเวลารอ
รูปนี้ถ่ายที่สนามบิน ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยนะครับว่าพวกเราสามารถเปลี่ยนทุกที่ให้เป็นที่ถ่ายรูป..
พอถึงเวลาเราก็เดินทางไปยังท่าเรือ ของเขื่อน ระยะทางประมาณ 65 กิโล ใช้เวลา ราวๆ 1 ชม. พอถึงเขื่อน พี่กบ(พี่คนขับรถตู้) ก็ไปติดต่อเรือให้ โดยตกลงราคาที่ วันละ 2000 บาท(ค้างคืน) สองคืน 3000
นี่ครับคนขับเรือของเรา ชื่อพี่กั้ง ใจดี เป็นกันเองมาก แวะให้เราทุกที่ ที่พวกเราอยากถ่ายรูป
พอนั่งเรือไป เราก็ได้ทำหน่าที่หลักของทุกคน นั่นคือ ตั้งค่ากล้องถ่ายรูป ของแต่ละคน ฮ่าๆ
เสียงการสนทนาที่ตื่นเต้นกับธรรมชาติแข่งกับเสียงเรือจนแยกแทบไม่ออกว่าอันไหนเสียงดังกว่ากัน
นั่งเรือไปเรื่อยๆ ประมาน 30 นาที เราก็ถึงแพของเรา นั่นคือ แพนางไพร แพนางไพรเป็นแพรของรัฐ ซึ่งมี่เจ้าหน้าที่ดูแล อยากบอกว่าพี่ๆดูแลดีมาก ค่าที่พัก คืนละ 300 บาท + อาหารเช้า 100 อาหารเที่ยงง200 อาหารเย็น 200
รวมๆเเล้ว 800 บาทต่อคน/ต่อคืน ถือว่าคุ้มมากครับ
*** แพนางไพรมีสัญญาณโทรศัพท์แล้วนะครับ เครือข่าย AIS เต็มสี่ขีดเลยละ
พอถึงแพ ก็แยกย้ายเก็บของเข้าที่พัก พอเปิดหน้าต่างเท่านั้นแหละ โอ้โห ที่พักหลักร้อย วิวหลักหมื่นจริงๆ บวกกับเราพักหลังสุดท้าย วิวยิ่งไม่ต้องพูดถึง จนลืมความเหน็ดเหนื่อยของการเดินทางไปเลยทีเดียว และโชคดีของพวกเราคือ วันที่พวกเราเข้าพัก นักท่องเที่ยวน้องมากกกกกก
เนื่องจากเรามาถึงค่ำ วันแรก เลยอดเล่นน้ำ เพราะเขาเปิดให้เล่นน้ำ เวลา06.00-18.00 แต่ไม่เป็นไรครับ นั่งเอาขาจุ่มน้ำก็ได้ฮ่าๆ
แสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบภูเขา ตกกระทบกับพื้นผิวน้ำ ผมบอกเลยว่าเป็นแสงที่สวยมาก
นั่งชมวิวไป จิบเบียร์ไป อยากบอกว่าเป็นอะไรที่ดีต่อความรู้สึกมาก ขนาดเบียร์ไม่เย็นและไม่ใส่น้ำแข็ง เรายังสามารถกินได้ ฮ่าๆ บรรยากาศมันพาไปจริงๆ
นั่งเล่น ถ่ายรูปเล่นจนพอใจก็ได้เวลาไปอาบน้ำ กินข้าว ก่อนที่ไฟจะดับลง ที่นี่เครื่องปั่นไฟ จะปิดลงประมานเวลา 22.00-00.00 เเล้วเเต่วันเพราะฉะนั้นเราต้องรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ และที่ขาดไม่ได้ คือการชาตแบต มือถือ
นี่คืออาหารเย็นของเรา ทุกอย่างเติมได้ ยกเว้นปลา เเละก็คือพระเอกของหารซ๊ด้วย
หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ออกมานั่งขาหย่อนน้ำ แกล้งปลา และที่สำคัญคือการรอดูดาว เวลาผ่านไปชั่วโมงเเล้วชั่วโมงเล่า หมดเบียร์ป๋องแล้วป๋องเล่า เราก็ยังไม่เห็นดาว ฮ่าๆธรรมดาครับ ความซวยเยือนทุกครั้งที่มาเที่ยว ฟ้าปิด มิหนำซ้ำฝน แยกครับแยกย้ายเข้านอน ฝนแปดแดดสี่สมคำล่ำลือจริงๆ
02/11/59
บรรยากาศยามเช้าหน้าที่พัก หลังสุดท้ายนั่นแหละครับ ที่พักเรา
7 โมงเช้าตะเกียกตะกายรีบตื่นขึ้นมาดูหมอก ดูแสงแรกกัน
เพราะถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเขื่อนเชี่ยวหลาน และก็ไม่ผิดหวังครับ เพราะคุ้มค่ากับการตื่นเช้า มันสวยมากจริงๆ
เก็บกดจากเมื่อวานที่ไม่สามารถลงเล่นน้ำได้ วันนี้เลยเอาให้คุ้มซ๊เลย ไม่รอช้า ลงเล่นตั้งเเต่เช้าตรู่เลยที่เดียว
น้ำที่นี่ใสและสวยแบบไม่ต้องปรุงเเต่งเพิ่มก็ยังได้
ความโชคร้ายยังมีความโชคดีแฝงอยู่ พวกเราโชคดีที่ได้เที่ยวแบบไม่มีใครวุ่นวายในแพ ถือว่าแพโซนนั้นมีเเต่พวกเราก็ว่าได้
พี่ๆเจ้าหน้าที่ นอกจากจะคอยดูแล้ว ยังเป็นตากล้องให้พวกเราอีกด้วยนะ มีออกแบบท่าให้ด้วย
และที่ขาดไม่ได้ คือปลาหน้าที่พัก บอกเลยว่าเยอะมาก ที่แพมีข้าวโพดดิบจำหน่าย เพื่อเป็นอาหารปลา ถุงละ 10 บาท
จะมองจากข้างบนหรือใต้น้ำก้สามารถเห็นปลาได้ชัดเจน
ทีแรกก็กะเอาปลาด้วยนั่นแหละ แต่ปลาหนีก่อน พอจะได้รูปคู่ปลา ปลาก็ดันเด่นกว่าซ๊งั้น
และอีกหนึ่งกิจกรรมที่ถือว่า เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องห้ามพลาด นั่นคือพายเรือ ผมก้ไม่รอช้าครับ แต่เคยแต่พายเรือหางยาว เลยให้พี่เจ้าหน้าทีพาพายก่อนหนึ่งรอบ เเต่เอาเข้าจริงก็คล้ายๆกันครับ เลยไม่รอช้าเลย ลุย
ตอนถ่ายรูปนี้ รู้สึกเวิ้งว้างมากครับ เพราะพายออกมาไกลจากที่พักเหมือนกัน พอถ่ายรูปนี้เสร็จ เลยพายกลับไปรับเพื่อน อีกลำ คราวนี้ลำละสองคนเลยทีเดียว
สนุกกับการเล่นน้ำ พายเรือเสร็จ ก็ได้เวลาอาบน้ำแต่งตัว มุ่งหน้า สู้ถ้ำปะการัง ซึ่งพี่กั้งนัดพวกเราไว้ 9 โมงเช้า ฮ่าๆ ตรงเวลาซ๊ที่ไหนละ
เสียงเรือมุ่งหน้าสู่ถ่ำประการัง ระหว่างทาง ตามเคยครับ จอดถ่ายรูปครับ ทุกๆที่ที่ผ่านต้องได้รูปเดี่ยวอย่างน้อยคนละ 5 รูปเป็นอย่างต่ำ มีใครยอมใครที่ไหนละ
ระหว่างทางเราจะผ่านแพเอกชนด้วย แพนี้ไม่มั่นใจว่าชื่อแพอะไรเหมือนกัน บอกเเล้วว่าแต่ละแพสวยกันทุกแพ เเต่สวยกันคนละแบบ
ใช้เวลาประมาน 30 นาที ก็ถึงทางขึ้นถ้ำทุกคนต่างเก็บของสัมภาระของตัวเอง
ที่สำคัญขาดไม่ได้เลย คือเสื้อกันฝน ซึ่งเป็นผมเองนี่แหละที่ไม่ได้เอาไปด้วย ไม่ใช่ลืมนะ เเต่พี่กั้งหลอกว่าฝนไม่ตกหรอก คนซื่อไง เลยเชื่อพี่กั้ง เป็นไงละ ได้ซื้ออีกตัวเลยฮ่าๆแต่ขอบอกก่อนเลยว่า ไม่ใช่ขี่เรือแล้วถึงปากถ้ำเลยนะ เพราะก่อนจะเข้าไป เราต้องเดินครับ เดินครับเดิน ทางชันซ๊ด้วยหึมมมมม ก่อนจะไปเหนื่อย เลยขอถ่ายรูปกลุ่มไว้เป็นที่ละทึกกันซ๊หน่อย
ทำใจกันพอเเล้วก็ได้เวลาลุย เสียค่าเข้าด้วยนะ คนละ 20 บาทมีไม้ค้ำไว้บริการแต่ทุกคนถือไปแล้วต้องถือกลับมาด้วย
ทางเดินจะเปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลา บางช่วงมีทางน้ำไหล เพราะฉะนั้นรองเท้าที่เหมาะสมควรเป็นรองเท้าผ้าใบ เพื่อกันลื่น
ทางเดินก็จะประมานนี้ครับ มีรถเจ้าหน้าที่ผ่านด้วยนะครับ อยากบอกว่าต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะตัวเลยละ กว่าจะขับได้ เพราะเท่าที่ผมยืนดู สะบัดซ้ายขวาอยู่หลายรอบ
เดินมาสักพักใหญ่ ระยะทางประมาน 1.5-2 กิโล ก็ถึงอีกท่าเรือหนึ่ง ใช้ข้ามไปยังถ่ำ เห็นเขาว่ากันว่าเป็นทะเลสาบ
พอเก็บของสัมภาระกันเสร็จ ก้ได้เวลาลงแพ แพจะเป็นแพไม้ไพ่ แล้วสิ่งที่ผมคิดไว้ก็เกิดขึ้น ฝนครับฝน ตั้งเค้ามาไม่ได้เกรงใจแดดของเขาลูกตะกี้เลยยย วิ่งสิครับวิ่งไปซื้อเสื้อกันฝน ฮ่าๆพี่กั้งนะพี่กั้ง โกหกกันได้ลงคอ
นั่งแพไปเรื่อยๆไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงถำท่ามกลางฝนปรอยๆ
ถ่ายรูปกับฝนกันสักหน่อย ก่อนจะเข้าไปในถ้ำ ฝนแปดแดดสี่ สมคำล่ำลือจริงๆ