[CR] St Petersburg ในมุมที่คุณไม่เคยรู้จัก (ตอนที่4)


(ภาพที่ 1 บรรยากาศของวันที่ 9 พฤษภาคม Victory Day ภาพจาก woollywanderers.wordpress.com)

"วันนี้ยูอยากกินอะไร" เคทถามผม
"ก็ไม่รู้สินะ" ผมตอบ

จริงๆผมเองก็ไม่ได้หิวอะไรมากมายครับ (จริงๆคือไม่ค่อยมีเงินจะกินข้าวมากกว่า) ส่วนใครงบน้อยแต่อยากมาเที่ยวต่างประเทศแบบผม ถ้าอยากประหยัดแบบสุดโต่งผมแนะนำให้ถือศีลแปดหรือศีลสิบไปเลยครับ ไม่ทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้วประหยัดงบเรื่องค่าอาหารไปอีกเยอะ ไม่นอนบนที่นอนอันนุ่นนิ่มคือนอนตามข้างถนนไปซะเพื่อประหยัดค่าที่พักไปอีกแยะ เครื่องดื่มมึนเมาไม่ต้องแตะ เที่ยวด้วยได้บุญด้วยมีที่ไหน

จากนั้นเราก็ออกเดินจากพระบรมรูปพระเจ้าปีเตอร์มหาราชทรงม้าเพื่อจะไปหาอะไรกินกัน เราสองคนเดินลัดเลาะริมแม่น้ำนีวาไปเรื่อยๆ เพราะถนนหลายสายทยอยปิดไปแล้ว ฟังดูเหมือนโรแมนติกครับหากเคทสวยเหมือน Maria Sharapova

ดังนั้นในตอนนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเดินแล้วครับ ริมแม่น้ำนีวาคนก็เยอะเอามากๆครับ และดูเหมือนกับว่าทุกคนนั้นพร้อมใจที่จะไปร่วมงานพาเหรดกันที่ถนน Nevsky Prospect ในตอนเย็น

การปิดล้อมเมืองเลนินกราด นั้นเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2484/ค.ศ.1941 จนถึงวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2487/ค.ศ.1944 นับเป็นวันก็เกือบ 300วันด้วยกันครับ ความโหดร้ายของสงครามและความรุนแรงนี้มันช่างเป็นสิ่งเลวร้ายสุดๆ แต่ทุกวันนี้เราก็ยังคงทำกันอยู่และดูเหมือนว่าจะยุ่งเลวร้ายยิ่งขึ้น


(ภาพที่2 สภาพเมืองเลนินกราดระหว่างการถูกปิดล้อม en.m.wikipedia.org)

เคทบอกกับผมว่า ในช่วงเวลาแห่งการปิดล้อมเมือง ประชากรของเมืองจากที่เคยมีมากถึง 3ล้านคนประมาณ1ล้านคนได้รับการอพยพไปยังส่วนอื่นๆของประเทศไม่ว่าจะไปอยู่ในภูมิภาคยไซบีเรียหรือจะเป็นพื้นที่ๆเป็นประเทศคาซักสถานในปัจจุบันซึ่งเป็นการทยอยอพยพนะครับ

ดังนั้นยังคงเหลือประชากรอีกราวๆ 2 ล้านคนที่ตกค้างอยู่ในเมือง และระหว่างการปิดล้อมที่ยาวนานถึง 872 วัน ก็มีประชากรอีก 1.2 ล้านคนที่ต้องตายระหว่างเมืองโดนปิดล้อม ซึ่งในเวลานั้นความตายเดินทางมาหาผู้คนในเมืองได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โดนระเบิดจากทางอากาศ ขาดอาหาร ป่วยเป็นโรค และท้ายที่สุดก็หนาวตาย และเคยมีบันทึกไว้ว่าเคยมีอยู่หนึ่งวันที่เมืองโดนทิ้งระเบิดมากถึง 276ลูก และทำให้วันนั้นมีประชาชนเสียชีวิตไปประมาณ 1,000 กว่าคนด้วยกัน

พี่สาวคุณยายของเคทก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เสียชีวิตในช่วงนั้น เคทบอกว่าพี่สาวของคุณยายหิวมากและในช่วงเวลานั้นมันไม่มีอะไรกินแล้วจริงๆ ด้วยความหิวจึงไปเอาต้นหญ้าอะไรไม่รู้มาต้มกินและมันอาจจะมีพิษก็เป็นได้ นั้นคือสาเหตุที่ทำให้พี่สาวของคุณยายต้องเสียชีวิตและจากไปอย่างไม่มีวันกลับ


(ภาพที่ 3 อีกภาพสำหรับสภาพเมืองเลนินกราดระหว่างการถูกปิดล้อม ภาพจาก en.m.wikipedia.org/wiki)

"ชอบเลี้ยงแมวปะ" เคทถามผม
"ไม่อะ แต่ที่บ้านชอบมีแมวมาขออาหารกินอยู่บ่อยๆ ชอบมาร้องเหมียวๆอยู่หน้าประตูบ้าน" ผมตอบ
"ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับแมว" ผมถามเคทกลับไปบ้าง
"ในช่วงการปิดล้อม ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมือง หิวกันถึงขนาดกินแมวน้อยเป็นอาหารด้วยเช่นกัน" เคทตอบ
"เวรละ เอาจริงดิ" ผมถามเคท
"จริงแท้แน่นอน" เคทตอบด้วยสีหน้าที่ดูสงบนิ่ง

ผมก็ได้แต่หวังว่าบ่ายวันนี้เคทคงไม่พาผมไปกินเมนู แมวเหมียวน้อย Stroganoff นะครับ เพราะอาหารขึ้นชื่อจริงๆที่รัสเซียก็คือเนื้อ Stroganoff

เคทยังเล่าต่ออีกว่า รายได้ต่อเดือนในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองอยู่ที่ประมาณ 100-250รูเบิล อันนี้เป็นรายได้ต่ำสุดที่รัฐบาลคอมมิวนิสกำหนดไว้สำหรับแรงงานของภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันนี้รายได้ต่อเดือนโดยเฉลี่ยก็อยู่ที่ประมาณ 50,000 รูเบิลซึ่งคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 25,000 บาทครับ นี้ยังไม่รวมภาษีที่ต้องเสียให้แก่รัฐอีก 13% และในช่วงการปิดล้อม ที่นี้มีการขายแมวเพื่อเอาไปกินประทังชีวิตนั้นแหละ ราคาตกตัวละ 400 รูเบิล
ด้วยกัน แพงแบบสุดๆ (แต่ยังไงก็คงไม่น่าจะแพงเท่ากับที่สโมสร Manchester United ซื่อ Paul Pogba มาแน่ๆ ผมไม่ใช่แฟนแมนยูนะครับ แต่ก็ขอให้เล่นคุ้มค่าตัวด้วยเถอะ สาธุ)

ส่วนเงินเดือนในช่วงที่เป็นคอมมิวนิสต์อยู่นั้น มันก็มีระดับของการให้เงินเดือนอยู่ด้วย ถ้าเป็นคนงานของรัฐ ทำงานตามโรงงานต่างๆหรือพูดง่ายๆก็คือระดับตาสีตาสา เงินเดือนก็ประมาณ 100-200รูเบิล แต่ถ้าคุณทำงานเป็นข้าราชการหรือทหารระดับสูง เงินเดือนที่ภาครัฐจ่ายให้ก็จะมากขึ้นไปอีก อย่างเช่นระดับนายร้อยก็ประมาณ 650รูเบิล ระดับนายพันก็ประมาณ 2,000รูเบิล อันนี้เป็นข้อมูลที่ผมพอหามาได้ซึ่งอยู่ในระหว่างปี พ.ศ.2468-2483/ค.ศ.1925-1940 ทั้งหมดนี้คือสมัยของ โจเซฟ สตาลิน หรือตรงกับปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ถึง รัชกาลที่ 8 ของสยามประเทศในตอนนั้น แต่ที่ทำให้ผมตกใจมากที่สุด ก็คือเงินเดือนที่คนรัสเซียได้รับในช่วงเวลานั้น มันมากกว่าคนที่ทำงานในประเทศฝรั่งเศสในยุคสมัยเดียวกันซะอีก


(ภาพที่ 4 สามประสาน SLT แห่งสโมสรบอลเชวิคFC จากซ้าย สตาลิน เลนิน ทรอตสกี้ ลงเล่นพร้อมกันเมื่อไรก็ยิงกระจายครับ commons.m.wikimedia.org)

"คุณพระ"ผมอุทานในใจ

แต่ช้าก่อนครับ (โปรดอ่านเงื่อนไขบนฉลากก่อนดื่ม) ระดับของรายได้ที่มากกว่าคนยุโรปตะวันตกในยุคสมัยเดียวกันมันไม่อาจจะเป็นตัวชี้วัดความสุขได้นะครับ

ผมค้นพบข้อมูลว่า การที่คุณเป็นแรงงานภาครัฐในยุคสมัยของสตาลินนั้น ไม่ต่างจากที่คุณต้องวิ่งร้อยเมตรแข่งกับ ยูเซน โบลต์ (ไอ้สายฟ้าแลบ) นักวิ่งร้อยเมตรชาวจาเมกา โดยที่คุณต้องติดต้องเชือกผูกติดเอวเพื่อลากล้อรถไปด้วย และคุณต้องชนะเท่านั้น สมมุตินะคะสมมุติ (เนื้อเพลงลูกทิ้งบางเพลง) สมมุติคุณทำงานในโรงงานของภาครัฐ รัฐจะกำหนดไว้ว่าคุณต้องผลิตของชิ้นนั้นให้ได้ 1,000 ชิ้นต่อเดือน นั้นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องผลิตได้ตามยอดที่ระบุนะครับ คุณจะต้องผลิตให้ได้ถึง 1,200 ชิ้นเป็นอย่างต่ำ นั้นหมายความว่า ถ้าสตาลินยังมีชีวิตและมาซื้อสโมสรฟุตบอลสักทีมในประเทศอังกฤษ ทีมฟุตบอลนั้นของสตาลิน จะต้องชนะอย่างเดียว ห้ามแพ้ ห้ามเสมอ ส่วนนักเตะก็ห้ามป่วย ห้ามขาด ห้ามลา และ ห้ามตาย เจ้าสัวโจ (เซฟ สตาลิน) จะรับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าวและทีมก็ต้องชนะด้วยสกอร์ 3เม็ดขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ รูปเกมต้องสวยงาม และต้องเก็บคลีนชีตหรือห้ามเสียประตูด้วยนะครับ "จบปะ"

ผมเองก็ไม่รู้ว่าประชาชนในยุคสมัยของสตาลินนั้น แท้จริงแล้วเขาจะมีความสุขหรือความทุกข์กันแน่ เหตุที่ผมพูดเช่นนี้ได้ก็เพราะสื่อต่างๆที่เราได้รับฟังมานั้น มันมาจากสื่อตะวันตกเพียงฝ่ายเดียวครับ

ดังนั้นเปรียบไปก็เหมือนกับการฟังความข้างเดียว ไม่ต่างจากกรณีสงครามไทยรบพม่า ถ้าเราอ่านแค่เอกสารทางไทยอย่างเดียว ก็จะรู้แค่เพียงว่าพระมหาอุปราชาทรงสิ้นพระชนม์ในครั้งทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่ในเอกสารโบราณของทางฝั่งพม่าหลายๆชิ้น จะระบุว่าพระมหาอุปราชาทรงสิ้นพระชนม์ด้วยกระสุนปืน

"เวรละ" แล้วเราจะเชื่อใครดี

ดังนั้นผมแนะนำว่าเราไม่ต้องเชื่อใครเลยก็ได้ครับ สิ่งที่เราต้องทำคือ การรับฟังแบบเปิดใจเพราะแม้แต่ผู้ที่บันทึกประวัติศาสตร์เองก็ไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์หรือวินาทีนั้นๆ แล้วมันจะทำให้เรามีความสุขกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ซึ่งดีกว่ามานั่งเถียงกันกับเรื่องที่เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว

ดังนั้นเรื่องราวความโหดร้ายของ โจเซฟ สตาลิน ในความรับรู้ของประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย มันก็มีแค่ไม่กี่เรื่องนะครับ เช่น พวกเรามักจะรู้ว่าเขาโหดร้าย เขาควบคุมสื่อสาธารณะทุกอย่าง เขาจำกัดสิทธิเสรีภาพของชาวโซเวียต และนักวิชาการส่วนปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะลงความเห็นกันว่า สตาลิน ได้สั่งฆ่าคนไปประมาณ 20 ล้านคนด้วยกัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นั้นก็หมายความว่าโดยเฉลี่ยจะมีคนตายวันละ 1,830คน ตลอดช่วงการปกครองของสตาลิเลยนะครับ และเรามักจะให้คำจำกัดความกับผู้นำแบบนี้ว่า "เผด็จกาล" และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ยินคำๆนี้ มันมักจะเป็นแง่ลบอยู่เสมอ


(ภาพที่ 5 รวมพลดวงแตก ใครก็ตามที่สตาลินคิดว่าน่าจะเป็นภัยคุกคามต่อเขาจะถูกจับมาอยู่ในคุกทั้งหมด ภาพจาก en.m.wikipedia.org/wiki/Gulag)

แต่ในยุคสมัยเดียวกันนี้ก็ยังมีเผด็จกาลอีกคนจากค่ายคอมมิวนิสเช่นกัน ที่แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9 ของเราทรงเคยพระราชนิพนธ์แปลไว้ในชื่อ "เรื่องติโต"

ติโต คือ ฉายาที่แปลว่า "ชอบสั่ง" ชื่อเต็มจริงๆคือ โยเซิป โบรซ อดีตผู้นำของประเทศยูโกสลาเวีย (ผมมีแล้วหนึ่งเล่ม แล้วคุณละมีหรือยัง) แล้วทำไมในหลวงทรงนำเรื่องราวของผู้ที่เป็นเผด็จการมาทรงพระราชนิพนธ์แปลให้พสกนิกรของพระองค์ได้อ่านกัน ในหลวงทรงพอพระทัยในเผด็จกาลอย่างนั้นหรือครับ เปล่าเลยครับพระองค์ทรงเลือกบุคคลที่น่าเคารพและเป็นแบบอย่างที่ดีที่สามารถ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับพสกนิกรของพระองค์ได้อ่านกัน และนั้นหมายความว่าอะไรครับ นั้นหมายความว่า คนที่เราเรียกเขาว่าเผด็จกาลก็เป็นคนที่ดีได้เช่นกัน


(ภาพที่ 6 เมื่อสองตำนานมาเจอกัน (คนที่สองจากซ้าย เช กูวาร่า) และ (คนที่สามจากซ้าย โยเซิป โบรซ)

จากสวน Alexandrosky เราเดินผ่านกองบัญชาการกองทัพเรือ และเดินไปทางพิพิธภัณฑ์ Hermitage ผู้คนดูจะมามากขึ้นกว่าเดิมอีก เคทเตือนผมให้ระวังเรื่องกระเป๋าด้วยเพราะผู้คนมากมายแบบนี้ กลุ่มมิจฉาชีพชอบนัก และพวกนี้ทำงานกันเป็นทีมครับ (ทีมเวิร์คมิจฉาชีพที่นี่ไม่แพ้ที่ใดในโลกเหมือนกัน)

หลังจากนั้น เคทยังเสริมต่ออีก หนึ่งปีหลังจากการถูกปิดล้อม ไม่ว่าจะเป็น นก หมา แมว รวมไปถึงหนู มันหายไปหมดทั้งเมืองก็เพราะถูกนำไปกินประทังชีวิตนี้แหละครับ แต่ที่ดูสะเทือนใจมากที่สุด เคทบอกว่า "เนื้อมนุษย์ก็กินด้วยนะ"

ก็มันมีเอกสารที่เคทเคยอ่านเจอบ่งบอกว่า ในช่วงที่โดนปิดล้อมนั้น ฝ่ายนาซีได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในตัวเมืองบ่อยๆ ซึ่งย่อมต้องมีผู้เสียชีวิตเป็นธรรม นั้นก็หมายความว่าต้องมีการนำศพไปฝัง ซึ่งในรายงานระบุว่ามีชิ้นส่วนบางส่วนของร่างผู้เสียชีวิตที่หายไปด้วยก่อนที่ร่างผู้เสียชีวิตจะถูกฝัง

และจากการขาดแคลนอาหาร ผู้รอดชีวิตบางส่วนก็เริ่มต้นการปลูกพืชผักต่างๆเพื่อใช่เป็นอาหารประทังชีวิต กระหล่ำปลี แตงกวา ผักต่างๆที่พอจะปลูกได้ก็ปลูกและสถานที่ปลูกก็ไม่ใช่ที่ไหนไกลครับ ก็ตามสวนสาธารณะต่างๆในเมืองอย่างสวนสาธารณะ Alexandrosky หน้ามหาวิหาร St Isaac ก็เป็นที่ปลูกกระหล่ำปลีได้อย่างดี ปลูกกระหล่ำไม่พอครับ ข้างๆแปลงผักก็ยังเป็นที่ตั้งของปืนต่อสู้อากาศยานอีกต่างหาก แต่มันก็ยังไม่พอกินอยู่ดี ดังนั้นจึงทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมากจากการขาดอาหารในการปิดล้อมครั้งนั้น


(ภาพที่ 7 การเคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิตในเมืองเลนินกราด ภาพจาก Wikipedia )

เคทย้อนกลับมาที่เรื่องแมวเหมียวน้อยต่อ เคทบอกผมว่าปัจจุบันนี้ไม่ต้องกลัวนะ หนู นก หมา เราก็ไม่ได้กินพวกมันแล้ว ส่วนแมวนั้นปัจจุบันมีเยอะไม่ต้องห่วง เคทยังบอกผมอีกว่าถ้ายูอยากเลี้ยงแมว โน้นเลย ไปหาเอาได้ใต้พระราชวัง Hermitage หรือปัจจุบันนี้กลายสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ Hermitage นะแหละ

"แล้วไหงแมวดันไปอยู่ใต้พิพิธภัณฑ์ Hermitage ได้อะ"ผมถามด้วยความสงสัยและคำตอบที่ได้ ก็คือปัจจุบันใต้พิพิธภัณฑ์ Hermitage มันมีหนูอยู่เยอะเจ้าหน้าเลยปล่อยแมวเหมียวให้ไปจัดการกับหนูน้อยทั้งหลายครับ

สิ่งที่เคทเล่าให้ผมฟังเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงๆกับเมืองที่สวยงามขนาดนี้ ทุกสถานที่ๆผมเดินผ่านมันอาจจะเคยเป็นที่ใครๆหลายคนเคยสิ้นใจลงก็เป็นได้ และพอสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง เมืองเลนินกราดก็เกือบกลายสภาพเป็นเมืองล้างไปเลยครับ

ค่อยต่อตอนหน้านะครับ ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   บันทึกนักเดินทาง
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่