แชร์ประสบการณ์ เรียน Executive MBA เรียนไปทำไม เรียนแล้วได้อะไรมั่ง (เทอมสองแล้วนะยู)



      มากันยาวๆครับอีกหนึ่งกระทู้ครับ แชร์เรื่องราวๆดีเพื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับคนอื่นที่สนใจอยากเรียนตรงนี้ได้  

     จุดเริ่มต้นของการตั้งกระทู้นี้คือ ก่อนที่ผมจะสมัครเรียน Executive MBA พยายามหาข้อมูลหลายที่ แต่ว่าข้อมูลมีน้อยมาก ตอนนี้ตัวเองได้มาเรียนแล้วเลยอยากจะตั้งกระทู้นี้ไว้เผื่อจะได้เป็นประโยชน์ของเพื่อนๆพี่ๆน้องๆรุ่นหลังๆได้ครับ

     สำหรับเพื่อนๆไม่ได้อ่านกระทู้เทอมแรก ติดตามที่กระทู้พันทิพย์นี้ ตามลิ้งนี้ได้เลยครับ
     http://pantip.com/topic/34992068

     เทอมที่สองผ่านไป สำหรับการเรียน Executive MBA ครับ เทอมนี้รุ่นพี่หลายคนบอกว่ายังไม่หนักมากเป็นแค่เผาหลอก คือถ้าเผาจริงนี่เทอมที่สาม แต่เทอมที่เผาหลอกเนี่ยแหละครับ เล่นผมกินไม่ได้นอนไม่หลับมาเป็นเดือน ทั้งที่เทอมนี้งานกลุ่มไม่ได้เยอะ ส่วนใหญ่เป็นpaperส่งเป็นครั้งๆไป ไม่ได้เป็นงานที่โปรเจ็คใหญ่โต

     เทอมนี้เรียนอีกสามวิชา เป็นของยากและแสลงหมดเลย แต่ผมอาศัยเพื่อนเก่งและน้ำใจงามช่วยติวช่วยสอนให้ก็เลยรอดมันมาได้ สามวิชาที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง ลองมาดูกันครับ

วิชาแรก วิชาเศรษฐศาสตร์ หรือวิชา ECON
     ECON ป็นรากฐานสำคัญของหลักการตลาดทั้งหมด เป็นวิชาหลักที่ต้องเรียนเป็นตัวแรกๆครับก่อนที่จะมาเรียนการตลาดครับ เศรษฐศาสตร์แบ่งเป็นสองหัวข้อหลักๆคือ มหภาค เรียกกันสั้นๆว่า Macro(Macroeconomics) และ จุลภาคหรือเรียกกันสั้นๆว่า Micro Microeconomics) ซึ่งตัวหลังสำคัญมากๆสำหรับธุรกิจ และหลายคนบอกว่ายากกว่าตัวแรก

     Macro จะเรียนพวก GDP เรื่องการขยายตัวของเศรษฐกิจ เราฟังข่าว อาจจะเข้าใจว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นเรื่องดี แต่ถ้าประเทศต้องก่อหนี้เพื่อการขยายตัวอาจจะไม่ดีแล้วก็ได้ (โตบนกองหนี้) ซึ่งจะช่วยให้เรามองผลกระทบกับธุรกิจที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับภูมิภาค ว่ามันกระทบกับธุรกิจเรายังไง

     อย่าคิดว่า Macro เป็นเรื่องไกลตัวนะครับ ยกตัวอย่าง ขายกล้วยทอด ก็เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมัน ราคาพืชผลเกษตร ถุงกระดาษ ค่าแรงวินมอเตอร์ไซค์ ทำนองนี้ ทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันไปหมด

     ส่วน Micro จะเกี่ยวกับพวก Demand/Supply การตั้งราคาต่างๆ ซึ่งใช้กับ Marketing ทั้งนั้น ที่สำคัญคือเรื่องของต้นทุนซึ่งสำคัญมากสำหรับคนที่ทำธุรกิจ การเรียนวิชานี้ไม่ได้สอนว่าถ้าอยากลดต้นทุนต้องลดเท่าไหร่ แต่จะสอนว่าถ้าต้องการลดต้นทุนมีวิธีการอะไรบ้างที่เราเลือกใช้ได้ ถ้าเปรียบง่ายๆนะครับ

     Micro ศึกษาว่าต้นไม้แต่ละต้นเป็นไง
     Macro ก็คือการศึกษาว่าภาพรวมของป่าเป็นยังไง

      ถ้าเราเป็นผู้บริหารเราต้องเข้าใจ ทำได้ วิเคราะห์ได้ และประเมินสถาณการณ์ได้ ต้องรู้จักเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆได้ ไม่งั้นเดี๋ยววิกฤตจะมาเยือนเป็นระยะครับ

     วิชานี้เรียนกับอาจารย์สองคน แต่ละท่านเก่งมาก สามารถยกเคสต่างๆมาแชร์ให้คิดได้ เพราะจากเคยงงๆเวลาราคาทอง ราคาน้ำมัน มันขึ้นมันลง หรือว่าเวลาที่ผู้ว่าแบงค์ชาติออกมาประกาศเกี่ยวกับค่าเงิน เราสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า อะไรบ้างที่มันจะตามมา

     การเรียนECON จะทำให้เราเข้าใจโครงสร้างของเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น เช่น ถ้าเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น เราสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ทันที ซึ่งสามารถวางแผนหรือรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตนั้นได้ครับ

วิชาที่สอง วิชาบัญชีบริหารหรือ Managerial Accounting
     บัญชีที่เรียนเทอมแรก คือบัญชีที่นำข้อมูลทั้งหมดทั้งปีมาทำรายงานเพื่อส่งให้คนภายนอกดูเช่นสรรพกร ผู้ถือหุ้น คือเอาข้อมูลในอดีตมาสรุป แต่บัญชีที่เรียนเทอมนี้จะแตกต่างกันสิ้นเชิง คือเอาข้อมูลในอดีตมาวางแผนในอนาคต เพื่อดูว่าจะต้องลงทุนแบบไหน ใช้เงินกู้หรือเงินกู การทำงบประมาณหรือMaster Budget เพื่อบริหารกิจการทั้งหมด จึงเป็นที่มาของคำว่า บัญชีบริหารครับ

     หัวใจของบัญชีบริหารมีสองอย่างที่ผมคิดว่าเป็นหลักสำคัญคือต้นทุนของเงิน (Cost of Capital) และ งบลงทุน (Capital Budgeting)

     ข้อแรก ต้นทุนของเงินทุน (Cost of Capital) เป็นหลักสำคัญของการดำเนินและขยายกิจการ ว่าจะต้องใช้ "เงินกู้" หรือ "เงินกู" เพราะต้นทุนของเงินทุน จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกิจการ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ถ้าตัดสินใจผิด กิจการจะลำบาก เงินสดไม่พอ ถ้าเงินสดไม่พอสมมุติว่าต้องกู้ เราจะคำนวณได้ว่าจะต้องกู้เท่าไหร่ และคืนเมื่อไหร่ เพื่อที่จะส่งเสริมกับเสถียรภาพของกิจการมากที่สุด

     ข้อที่สอง งบลงทุน (Capital Budgeting) จะสำคัญอยู่ที่ การเลือกลงทุนในProjectไหน ที่จะได้ผลตอบแทนสูงสุดและเสี่ยงน้อยที่สุด บางครั้งเราต้องตัดสินใจลงทุนในProjectบางอันที่ที่ผลตอบแทนระหว่างทางไม่เท่ากัน แต่ปลายทางได้เท่ากัน วิชานี้จะสอนเรื่องของ NPV (Net Present Value) และ NFV (Net Future Value) เพื่อเอามาคำนวณว่า เราควรจะลงทุนในธุรกิจไหนดีกว่า

     ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆนะครับครับ สมมุติว่ามีเงินลงทุน100ล้านบาท

     ลงทุนโปรเจ็ค A คืนกำไรปีแรก20ล้าน ปีที่สอง30ล้าน ปีที่สาม10ล้าน
     ลงทุนโปรเจ็ค B คืนกำไรปีแรก10ล้าน ปีที่สอง25ล้าน ปีที่สาม25ล้าน

     ทั้งสองโปรเจ็คได้กำไรในระยะเวลาสามปีเท่ากันคือ 60ล้าน ถามว่าจะลงทุนตัวไหนดี

     ถ้าไม่ได้เรียนวิชานี้มาก็คงบอกว่าลงอันไหนก็ได้นิ ยังไงก็ได้กำไรเท่ากัน แต่วิชานี้จะสอนให้เราคำนวณว่าจริงๆแล้วทั้งสองProject นี้ผลตอบแทนมันไม่เท่ากันนะ  

     อาจารย์ที่สอนวิชานี้สอนเก่งและสอนสนุกมาก เพราะทำให้คนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับวิชาบัญชีอย่างผมรู้สึกสนุกกับการเรียน และรู้สึกว่ามันนำไปใช้ได้จริงในงานที่ต้องทำได้ครับ

วิชาที่สาม การตัดสินใจทางธุรกิจหรือ Decision Making in Business
     Decision Making in Business เป็นการเรียนการตัดสินใจที่มีเหตุผลภายใต้กรอบข้อจำกัด หรือปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนเกินไป ปัญหาที่เราไม่สามารถใช้ประสบการณ์หรือมีข้อมูลน้อย แต่มีความจำเป็นจะต้องตัดสินใจ

     ถ้าเราเป็นผู้บริหารสิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (strategic decision) ซึ่งเป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางที่ถูกต้องเพื่อใช้ทรัพยากรที่จำเป็นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การที่กำหนดไว้

     การเรียนจะสอนเรื่องระบบของความคิดหรือ Step of Thinking เวลาที่เราต้องสินใจเรื่องต่างๆ เราจะรู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหนก่อน วิชานี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งการตลาด การผลิต และเรื่องของการลงทุนครับ

     ผมยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆแบบนี้ครับ

     สมมุติว่าเราเป็น Managing Director ต้องบริหารกิจการให้มีกำไรสูงสุดต้องทำยังไง ผู้ถือหุ้นบอกว่าปีนี้ต้องการกำไร500ล้าน ถ้าเราไม่ได้เรียนวิชานี้ก็คิดว่าคงต้องขายเยอะๆ ลดต้นทุนให้มากที่สุด ขายเยอะเอาไว้ก่อน

     แต่ในโลกความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ เพราะสักพัก ฝ่ายขายจะมาบอกว่า ต้องการสินค้าทุกรุ่นรวมกัน เดือนละ10000ชิ้น ทั้งที่ความเป็นจริงโรงงานผลิตได้แค่เดือนละ5000 ฝ่ายจัดซื้อก็จะมาบอกอีกว่าถ้าจะสั่งของมาทำ มีระยะเวลาการสั่ง2เดือนนะ เอาเร็วกว่านี้ต้องเสียตังค์เพิ่ม ฝ่ายบุคคลมาบอกว่าเดือนหน้าโรงงานหยุดสงกรานต์5วันนะ ฝ่ายซ่อมบำรุงบอกว่าเครื่องจักรเสียไปตัวหนึ่ง ต้องรอของมาเปลี่ยนสองอาทิตยย์

     สิ่งที่เหล่านี้เป็นปัญหาที่ต้องหาวิธีการที่ดีที่สุดให้ได้ครับ ความต้องการของผู้ถือหุ้นที่อยากได้กำไรเยอะๆเราเรียกว่า Objective Function ส่วนปัญหาทั้งหมดที่ร่ายมาร้อยแปดพันเก้าเราเรียกว่าข้อจำกัดหรือ Constrain เป็นสิ่งที่เราต้องรู้และรวบรวมมาให้ได้มากที่สุด

    เมื่อได้ Constrain มาจนหมดแล้วก็มาตั้งสมการทางคณิตศาสตร์และก็ใช้ซอฟแวร์เข้าช่วย เมื่อทำจนครบขั้นตอนแล้ว เราสามารถคำนวณได้ว่า เราต้องผลิตอย่างละเท่าไหร่ เมื่อไหร่ วันไหนบ้าง

     ถ้าสรุปสั้นๆ หัวใจของวิชา DM ก็ขั้นตอนหลักๆสองอย่างดังนี้ครับ
     1. ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องนำข้อมูลอะไรบ้างมาวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุ เช่น ยอดขายย้อนหลัง, ต้นทุนสินค้าแต่ละชนิด ระยะเวลาการผลิตที่มีอยู่ โน่นนี่นั่น บลาๆๆๆๆๆ
     2.แล้วก็เอาปัญหาทั้งหมดมาวิเคราะห์และคำนวณ เพื่อตัดสินใจเลือกทางเลือกต่าง ๆ (Decision Making) ประมวลผลดูว่า ในสถานการณ์เช่นนี้มีทางเลือกใดบ้าง

     ถึงแม้อาจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งหมดแต่อย่างน้อยมันเป็นโมเดลทางความคิดและการตัดสินใจให้เราได้ครับ

เกร็ดเล็กๆน้อยๆจากการเรียน Executive MBA มาแล้วสองเทอม
     การมาเรียนในอายุค่อนข้างเยอะ แถมต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย สอนให้ผมรู้ว่าอย่ามาเรียนแค่เอาเกรดหรือใบประกาศ แต่ให้มาหาเพื่อนมาเอา Connection ใหม่ๆ เพราะประสบการณ์ที่เพื่อนแต่ละคนแชร์ในชั้นเรียนมันมีคุณค่ามากมายมหาศาลชนิดที่ว่าไปหาที่ไหนไม่ได้แล้ว

      ความรู้และประสบการณ์ที่ได้มีส่วนช่วยให้เรานำเอาไปพัฒนาองค์กรครับ เพราะองค์กรที่ดีต้องมีการพัฒนา แต่พัฒนาก็ต้องพัฒนาให้เป็น ถ้าจะพัฒนาควรพัฒนาแบบ Continual ปรับปรุงตามลำดับชั้น คือไปช้าๆทีละขั้น ทีละstep ไปพร้อมๆกันแบบขั้นบันได แต่เอาเข้าจริงบางองค์กรดันไปพัฒนาแบบ Continuous ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเหมือนกับกราฟชัน คือถูลู่ถูกังไปข้างหน้าเรื่อยๆไม่ดูหน้าดูหลัง ถ้าปรับต่อเนื่องเร็วไป บางทีอาจจะพังเพราะคนเราเก่งและเข้าใจไม่เท่ากัน

      ยกตัวอย่าง บางบริษัทไม่มีแผนก HR(Human Resource)แล้ว ฝ่ายบุคคลสมัยใหม่จะเรียกแผนกตัวเองว่า HC(Human Capital) เพราะเขาถือว่าคนไม่ใช่ทรัพยากรแต่เป็นต้นทุน เพราะทรัพยากรใช้มาหมดไป แต่คนใช้ไม่หมดและมีต้นทุนหรือมูลค่าในอนาคต เพราะฉะนั้นบริษัทที่ดีต้องลงทุนเรื่องคนให้มาก ส่งเรียน อบรม ดูงาน อะไรก็ว่ากันไป

      การเรียนMBAเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการทำงานสายบริหาร มีบางคนอาจจะแย้งว่าไม่เรียนMBAก็ทำงานสายบริหารได้ อันนี้ผมไม่เถียงครับเพราะคนเราอาจจะมีแนวคิดที่แตกต่างกันได้

     ประโยชน์ของการเรียน Executive MBA ด้วยการเรียนกับคนอายุเยอะๆ ความรู้ไม่ได้มาจากตำราและอาจารย์เพียงอย่างเดียวครับ บางครั้งสิ่งที่เพื่อนพูดออกมาในชั้นเรียนเวลามีเคสต้องแชร์กัน มันทำให้เราตกผลึกทางความคิดได้

     สุดท้ายนี้ ผมหวังว่า เพื่อนๆพี่ๆน้องๆคงจะได้อะไรจากสิ่งที่ผมอชร์ตรงนี้ได้ เพื่อจะได้วางแผนว่าจะเรียนหลักสูตรนี้ดีไหม เพราะใช้จ่ายตลอดหลักสูตรก็ไม่ใช่น้อย หวังว่าข้อมูลตรงนี้คงเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่