...บันทึกมากมายของเหล่านักเดินทาง ผู้เคยสัมผัสภูเขาไฟมักกล่าวถึง ภูเขาไฟโบรโม่ ณ อินโดนิเซีย ที่ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดั่งลมหายใจของเทพเจ้า และสิ่งมหัศจรรย์คู่กันคือเปลวเพลิงสีฟ้าที่ยังลุกโชน เชื้อเชิญเหล่าผู้กล้าให้ไปสัมผัส .......อะ แฮ่ม..น้อมรับคำเชิญ
5 วันกับการใช้ชีวิตกับคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่กลายเป็นความสนุกและเสียงหัวเราะในทุกช่วงเวลา

การเดินทางคร่าวที่เราวางแผนกันไว้ แต่พอถึงเวลาจริงกับผิดแผนไปหลายอย่างด้วยหลายๆ ปัจจัย ทำให้ทริปของเราเปลี่ยนไปตามนี้
วันที่ 1 มิ.ย. 59 : ออกเดินทางช่วงบ่าย มุ่งสู่ สนามบินสุราบายา เอเจ้นมารับที่สนามบินแล้วเดินทางไปโบรโม่ทันที
วันที่ 2 มิ.ย. 59 : ไปชมวิวที่ยอด Penajakarn ตามด้วยขึ้นไปบนปล่องภูเขาไฟโบรโม่ จากนั้นลงไปทุ่งหญ้าสะวันนา, whisper sand และเดินทางสู่ Kawah Ijen
วันที่ 3 มิ.ย. 59 : Trekking เพื่อไปดู Blue flame และ ทะเลสาป จากนั้นเดินทางต่อไปที่เมือง Malang
วันที่ 4 มิ.ย. 59 : ล่องแก่ง ที่ Kasembon แทนการไปเที่ยวชมน้ำตก เดินทางกลับไปดื่มด่ำบรรยากาศ อาหารพื้นเมืองที่ สุราบายา
วันที่ 5 มิ.ย. 59 : เก็บกระเป๋าเดินทางกลับประเทศไทย
Agency
หลังจากต่อรองกับเอเจ้นสองสามเจ้า หวยมาออกที่ อารีฟ ในราคา 1,700,000 RP ไม่รวมอาหาร ซึ่งตอนหลังมาเปรียบเทียบกับเพื่อนที่ไปอีกกลุ่มแล้ว
คิดว่าไม่เลือกอาหารจะเหมาะกว่า เพราะเราสามารถเลือกร้าน เลือกสไตล์การกินได้ อยากกินหรูกินดีบ้างก็ได้ แต่ถ้าเรารวมค่าหารไปด้วย เอเจ้นจะพยายามพาไปกินที่ไม่ค่อยดีนัก
Booking flight
เนื่องจากจองล่วงหน้าจึงได้ตั๋วถูก ไปกลับ ในราคา 3770 บาท
BKK -> SUB [ Air Asia ] 15.50 - 19.50
SUB -> BKK [ Air Asia ] 11.10 - 15.10
การเตรียมตัวก่อนเดินทางและสิ่งที่จำเป็น
1) เป้ 2 ใบ เป้ใหญ่ฝากเก็บไว้ในรถได้ ส่วนเป้เล็กไว้พกน้ำ พกของตอนเดินขึ้นเขา
2) รองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะ
3) เสื้อผ้า พกตามสะดวก เพราะไม่ได้แบกขึ้นเขาด้วย อย่าลืมผ้าเช็ดตัว เพราะโรงแรมไม่มีให้
4) เสื้อกันหนาว คาวาอิเจี้ยนตอนกลางคืนหนาวยะเยือก
5) เสื้อกันฝน พกติดเผื่อไว้
6) หมวกกันแดด กันหนาว
7) ผ้าบัฟ
8) แว่นตา ถ้าเป็นทรงสปอร์ตหน่อยก็ดี เพราะโบรโม่ ฝุ่นดิน ฝุ่นทรายเยอะ
9) น้ำตาเทียม หรือชุดล้างตา ไว้ใช้เวลาแสบตาจากควัน
10) ถุงมือ ถุงเท้า
11) ไฟฉายคาดหัว หรือ แบบพกพา เพราะต้องเดินขึ้นคาวา อิเจี้ยนในช่วงดึก
12) ครีมกันแดด
13) ยาสามัญทั่วไป ยานวดสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เดินป่า เดินเขา ยาแก้เมารถสำหรับคนที่เมารถได้ง่าย
14) กล้องถ่ายรูป ทางช้างเผือกชัดมากนะ เตรียมพวกอุปกรณ์ทำความสะอาดไปให้พร้อมได้ใช้แน่ๆ หลังจากไปโบรโม่
15) Power bank จัดเต็มมาเลย เพราะใช้เวลาอยู่แต่ในรถ
16) ปลั๊กต่อแบบกลม ปลั๊กพ่วง
17) หน้ากากกันควัน ซื้อแบบอันละ สองร้อยกว่าบาทก็พอละ
18) หมอนรองคอ อย่างที่บอกเวลาส่วนใหญ่อยู่ในรถ จะได้หลับสบายๆ
19) Trekking pole ตัวช่วยสำหรับการเดินขึ้นลง แต่ไม่มีก็ได้เพราะทางไม่ได้เลวร้ายมากนัก
20) ประกันต่างประเทศ
21) แลกเงิน Rp หรือ USD ก็ได้
หลังจากเคลียร์งานเสร็จเส้นยาแดงผ่าแปดก่อนขึ้นเครื่อง ก็โยนภาระทุกอย่างไว้ ณ เมืองไทย ทะยานสู่ท้องฟ้าอันไกลโพ้นนน
.
.
.
เมื่อมาถึงสนามบินสุราบายา ทางเอเจ้น ก็ได้ส่งคนขับรถมารับเราที่สนามบิน ซึ่งคนนี้กลายเป็นทั้งคนขับรถ ทั้งไกด์ของเราตลอดทั้งทริปนี้
พวกเรามากันทั้งหมด 11 ชีวิตด้วยกัน ซึ่งเอเจ้นก็จัดรถตู้ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มากพอสำหรับเราทั้งหมด แต่น่าเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดเพราะชะล่าใจ ว่าจะถ่ายวันสุดท้ายก่อนกลับ แต่ดันเกิดการงองแงงระหว่างทริป ทำให้ต้องพรากจากกันก่อนเวลา
ภารกิจแรกคือไปซื้อ Sim card สำหรับแชร์เนตไว้เล่นกัน กว่าจะคุยกันรู้เรื่องเพราะดันไปร้าน Local ดีที่มีคนแถวนั้นพอพูดอังกฤษได้มาช่วยอธิบาย เลยจัดเนตซิม 5GB ในราคา 65,000 rp ซื้อติดไว้ก็ดีครับ เพราะไวไฟตามโรงแรมมันกากมากกก ระหว่างเรานั่งรถในแต่ละวันก็สามารถเล่นเนตแก้เซ็งได้
พี่ยาน ไกด์ของเรา ถามพวกเราว่าอยากกินอะไรกันดี มื้อแรก ก็ต้องอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อที่นี่อยู่แล้ว ไก่สะเต๊ะ นั่นเอง แต่ด้วยความที่ร้านในย่านนี้ปิดก่อนสี่ทุ่ม ทำให้พี่ยาน ต้องพาไปร้านข้างทาง สภาพก็อย่างที่เห็น แต่ร้านนี้เด็ดตรงมี แพะสะเต๊ะ อร่อยชุ่มช่ำมากก
สั่งกันไปร้อยกว่าไม้ คนทำก็มีอยู่คนเดียว เลยหมดเวลาไปกับการรอคอย ทำได้เพียงจ้องมองอาหารของอีกร้านที่วางอยู่ตรงหน้า
กินกันอิ่มพอประมาณ ก็มู่งสู่โบรโม่กันเล้ยยยย หลับๆ ตื่นๆ กันในรถ จนมาถึงที่ ซึ่งเราต้องมาเปลี่ยนไปนั่งรถJeep กันที่นี่ เนื่องจากเรามากัน 11 คนทำให้ต้องแบ่งเป็นสองทีม เพราะเราจะแยกกันไปดูจุดชมวิวคันละจุด
Penajakarn 1 และ 2 ซึ่งจุดหนึ่งจะเป็นวิวที่คนส่วนใหญ่ไปกัน ส่วนจุดที่สองต้องเดินทางปีนป่ายเขาประมาณหนึ่งกิโล เพื่อนบางคนที่เคยมาแล้วอยากไปที่นี่กัน ส่วนตัวผมนั้นมาครั้งแรกก็ต้องไปจุดหนึ่งอยู่แล้วละ
ขับรถซิ่งๆ ขึ้นเขากัน รถJeep ต่อแถวกันเป็นสาย แซงหยอกล้อกันเป็นระยะ หรือ เขม่นกันจริงๆ ก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็จี้ เดี๋ยวก็เปิดไฟสูงใส่ ถ้าเป็นเมืองไทยคงลงจากรถมาโชว์แม่ไม้มวยไทยเป็นแน่แท้
เมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดทางรถ หาที่จอดเรียบร้อยคนขับรถนัดหมายให้เรากลับมาก่อน หกโมง เช้าเพื่อจะไปที่อื่นต่อ บริเวณนั้นก็จะมีร้านค้าที่ขายชาร้อน กาแฟ ขนมปังปิ้งต่างๆ ไว้คลายหนาว เพราะอากาศค่อนข้างเย็นถึงขนาดพูดออกมาเป็นไอได้
เดินไปได้ยังไม่ทันเหนื่อยก็มาถึงซะแระ เป็นลานกว้างพอประมาณจุดได้สักสองสามร้อยคน ผู้คนเริ่มมาจับจองตำแหน่งเพื่อถ่ายรูปในตอนเช้า พวกเราก็ส่งสมาชิกไปครอบครองพื้นที่ริมรั้วซะเลย คนจะเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใกล้ถึงรุ่งเช้า
แม้จะมาสถานที่ท่องเที่ยว แต่ชาวอินโด ก็ไม่ลืมที่จะละหมาด
ดวงดาวเต็มท้องฟ้ากับจุดชมวิวจุดที่สอง เพื่อนถ่ายมาอวด เพราะจุดแรกไม่สามารถถ่ายได้เนื่องจากคนเยอะทำให้แสงจากไฟฉาย อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด
แสงแรกเริ่มพาดผ่านเส้นขอบฟ้า ผู้คนต่างลุกฮือ เข้าไปรุมลั่นชัตเตอร์
ควันจากปล่องโบรโม่เมื่อถูกกระทบจากแสงแดดยามเช้า ดูงดงามจริงๆ
ชาวบ้านออกมาทำมาหากิน
ถึงเวลานัดหมาย เรากลับมาที่รถกันและไต่ลงเขาไปปากปล่องโบรโม่กันพร้อมกับวิวสวยๆ ข้างทาง
ถึงด้านล่างแล้วว นี่คือรถของเรา สีแดงสวยสดเชียว ฟ้าเปิด แสงแดดก็เป็นใจเหลือเกิน

อลังการมาก
ไม่ช้านานเราก็มาถึงทางเดินสู่ปากปล่องโบรโม่ ส่วนตัวผมแอบรำคาญนิดนึงระหว่างทางเดิน เพราะจะมีแต่คนมาถามขี่ม้ามั้ยตลอดทางเดิน บวกกับที่ผมเรียกมันว่า "ฝนดิน" เกิดจากการที่โบรโม่ยังมีการประทุเบาๆ เป็นระยะ ทำให้ดินเล็กๆ น้อยๆ พุ่งออกมาจากปากปล่องขยายเป็นวงกว้าง ตกลงเหมือนฝน
เดินผ่านมา สองกิโล เห็นจะได้ก็มาถึงบันไดที่พาดขึ้นไปบนปากปล่อง
โอ้วว นี่หรือโบรโม่ มันดูอลังการ ควันออกมาเป็นระยะๆ
สิ่งที่น่ากลัวคือ เสียงคำรามของมันนี่ละ เหมือนมันพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ฟู่ ฟู่ ฟู่

ผมเดินเลาะขอบปล่องไปเรื่อยๆ เส้นทางก็ดูหวาดเสียวอยู่นะ เพราะเป็นทางแคบๆ เอียงๆ

เดินมาได้สักระยะ เพื่อนๆของผมก็เริ่มทยอยลงกันละ ไม่มีใครอยากไปจุดสูงสุดด้านบนนั้น แต่ผมแล้ว มาทั้งทีต้องไปให้สุด ลุยๆ
พอมาถึงจุดสูงสุด ที่ซึ่งไม่มีทางเดินต่อไปแล้ว เหมือนเทพเจ้าโบรโม่จะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี คำรามเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับพ่นควันออกมามหาศาล ต่อหน้าต่อตาผมในระยะโฟกัสไม่กี่เมตร
ณ จุดๆ นั้น อยู่คนเดียว ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปเท่าไร ก็บอกตัวเอง จะไม่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นแน่ จ้ำเท้าเดินลงมาเลย ไม่สนใจทางแคบอีกแล้ว ยิ่งระยะใกล้มาก ก็ต้องอดทนกับ ฝนดิน ที่พุ่งมาในระยะประชิดมันเข้าหน้า เข้าตา เข้าหู ติดไปยันหนังหัว คือสภาพ ณ ตอนนั้นแทบไม่มีที่ว่างของความสะอาด
ภาพจากเพื่อนๆที่ถ่ายจากระยะไกล เพราะลงไปก่อนผม

ถ่ายติดผมด้วยนะ ต้องซูม แปดดด รอบ กว่าจะมองเห็น ฮ่า ฮ่า

ต่อจากนั้นเราไปแวะอีกสองที่ คือ ทุ่งหญ้าสะวันนา

และ Whisper sand
มุ่งสู่ คาวาอิเจี้ยนในสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำ เราไม่ได้แวะน้ำตก Madakaripura เพราะว่าฝนมันตกเลยปิดไม่ให้เข้า
แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า สิ่งที่เรากลัวคือ พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนตกตลอด แต่พอเรามาถึงฝนก็หยุดเพื่อให้เราทักทายและร่ำลา ลาก่อน....โบรโม่
[CR] Bromo - Kawah Ijen - Kasembon ภูเขาไฟคำราม ตามล่าเปลวเพลิงสีฟ้า เฮฮาล่องแก่ง
5 วันกับการใช้ชีวิตกับคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่กลายเป็นความสนุกและเสียงหัวเราะในทุกช่วงเวลา
การเดินทางคร่าวที่เราวางแผนกันไว้ แต่พอถึงเวลาจริงกับผิดแผนไปหลายอย่างด้วยหลายๆ ปัจจัย ทำให้ทริปของเราเปลี่ยนไปตามนี้
วันที่ 1 มิ.ย. 59 : ออกเดินทางช่วงบ่าย มุ่งสู่ สนามบินสุราบายา เอเจ้นมารับที่สนามบินแล้วเดินทางไปโบรโม่ทันที
วันที่ 2 มิ.ย. 59 : ไปชมวิวที่ยอด Penajakarn ตามด้วยขึ้นไปบนปล่องภูเขาไฟโบรโม่ จากนั้นลงไปทุ่งหญ้าสะวันนา, whisper sand และเดินทางสู่ Kawah Ijen
วันที่ 3 มิ.ย. 59 : Trekking เพื่อไปดู Blue flame และ ทะเลสาป จากนั้นเดินทางต่อไปที่เมือง Malang
วันที่ 4 มิ.ย. 59 : ล่องแก่ง ที่ Kasembon แทนการไปเที่ยวชมน้ำตก เดินทางกลับไปดื่มด่ำบรรยากาศ อาหารพื้นเมืองที่ สุราบายา
วันที่ 5 มิ.ย. 59 : เก็บกระเป๋าเดินทางกลับประเทศไทย
Agency
หลังจากต่อรองกับเอเจ้นสองสามเจ้า หวยมาออกที่ อารีฟ ในราคา 1,700,000 RP ไม่รวมอาหาร ซึ่งตอนหลังมาเปรียบเทียบกับเพื่อนที่ไปอีกกลุ่มแล้ว
คิดว่าไม่เลือกอาหารจะเหมาะกว่า เพราะเราสามารถเลือกร้าน เลือกสไตล์การกินได้ อยากกินหรูกินดีบ้างก็ได้ แต่ถ้าเรารวมค่าหารไปด้วย เอเจ้นจะพยายามพาไปกินที่ไม่ค่อยดีนัก
Booking flight
เนื่องจากจองล่วงหน้าจึงได้ตั๋วถูก ไปกลับ ในราคา 3770 บาท
BKK -> SUB [ Air Asia ] 15.50 - 19.50
SUB -> BKK [ Air Asia ] 11.10 - 15.10
การเตรียมตัวก่อนเดินทางและสิ่งที่จำเป็น
1) เป้ 2 ใบ เป้ใหญ่ฝากเก็บไว้ในรถได้ ส่วนเป้เล็กไว้พกน้ำ พกของตอนเดินขึ้นเขา
2) รองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะ
3) เสื้อผ้า พกตามสะดวก เพราะไม่ได้แบกขึ้นเขาด้วย อย่าลืมผ้าเช็ดตัว เพราะโรงแรมไม่มีให้
4) เสื้อกันหนาว คาวาอิเจี้ยนตอนกลางคืนหนาวยะเยือก
5) เสื้อกันฝน พกติดเผื่อไว้
6) หมวกกันแดด กันหนาว
7) ผ้าบัฟ
8) แว่นตา ถ้าเป็นทรงสปอร์ตหน่อยก็ดี เพราะโบรโม่ ฝุ่นดิน ฝุ่นทรายเยอะ
9) น้ำตาเทียม หรือชุดล้างตา ไว้ใช้เวลาแสบตาจากควัน
10) ถุงมือ ถุงเท้า
11) ไฟฉายคาดหัว หรือ แบบพกพา เพราะต้องเดินขึ้นคาวา อิเจี้ยนในช่วงดึก
12) ครีมกันแดด
13) ยาสามัญทั่วไป ยานวดสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เดินป่า เดินเขา ยาแก้เมารถสำหรับคนที่เมารถได้ง่าย
14) กล้องถ่ายรูป ทางช้างเผือกชัดมากนะ เตรียมพวกอุปกรณ์ทำความสะอาดไปให้พร้อมได้ใช้แน่ๆ หลังจากไปโบรโม่
15) Power bank จัดเต็มมาเลย เพราะใช้เวลาอยู่แต่ในรถ
16) ปลั๊กต่อแบบกลม ปลั๊กพ่วง
17) หน้ากากกันควัน ซื้อแบบอันละ สองร้อยกว่าบาทก็พอละ
18) หมอนรองคอ อย่างที่บอกเวลาส่วนใหญ่อยู่ในรถ จะได้หลับสบายๆ
19) Trekking pole ตัวช่วยสำหรับการเดินขึ้นลง แต่ไม่มีก็ได้เพราะทางไม่ได้เลวร้ายมากนัก
20) ประกันต่างประเทศ
21) แลกเงิน Rp หรือ USD ก็ได้
หลังจากเคลียร์งานเสร็จเส้นยาแดงผ่าแปดก่อนขึ้นเครื่อง ก็โยนภาระทุกอย่างไว้ ณ เมืองไทย ทะยานสู่ท้องฟ้าอันไกลโพ้นนน
.
.
.
เมื่อมาถึงสนามบินสุราบายา ทางเอเจ้น ก็ได้ส่งคนขับรถมารับเราที่สนามบิน ซึ่งคนนี้กลายเป็นทั้งคนขับรถ ทั้งไกด์ของเราตลอดทั้งทริปนี้
พวกเรามากันทั้งหมด 11 ชีวิตด้วยกัน ซึ่งเอเจ้นก็จัดรถตู้ขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่มากพอสำหรับเราทั้งหมด แต่น่าเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดเพราะชะล่าใจ ว่าจะถ่ายวันสุดท้ายก่อนกลับ แต่ดันเกิดการงองแงงระหว่างทริป ทำให้ต้องพรากจากกันก่อนเวลา
ภารกิจแรกคือไปซื้อ Sim card สำหรับแชร์เนตไว้เล่นกัน กว่าจะคุยกันรู้เรื่องเพราะดันไปร้าน Local ดีที่มีคนแถวนั้นพอพูดอังกฤษได้มาช่วยอธิบาย เลยจัดเนตซิม 5GB ในราคา 65,000 rp ซื้อติดไว้ก็ดีครับ เพราะไวไฟตามโรงแรมมันกากมากกก ระหว่างเรานั่งรถในแต่ละวันก็สามารถเล่นเนตแก้เซ็งได้
พี่ยาน ไกด์ของเรา ถามพวกเราว่าอยากกินอะไรกันดี มื้อแรก ก็ต้องอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อที่นี่อยู่แล้ว ไก่สะเต๊ะ นั่นเอง แต่ด้วยความที่ร้านในย่านนี้ปิดก่อนสี่ทุ่ม ทำให้พี่ยาน ต้องพาไปร้านข้างทาง สภาพก็อย่างที่เห็น แต่ร้านนี้เด็ดตรงมี แพะสะเต๊ะ อร่อยชุ่มช่ำมากก
สั่งกันไปร้อยกว่าไม้ คนทำก็มีอยู่คนเดียว เลยหมดเวลาไปกับการรอคอย ทำได้เพียงจ้องมองอาหารของอีกร้านที่วางอยู่ตรงหน้า
กินกันอิ่มพอประมาณ ก็มู่งสู่โบรโม่กันเล้ยยยย หลับๆ ตื่นๆ กันในรถ จนมาถึงที่ ซึ่งเราต้องมาเปลี่ยนไปนั่งรถJeep กันที่นี่ เนื่องจากเรามากัน 11 คนทำให้ต้องแบ่งเป็นสองทีม เพราะเราจะแยกกันไปดูจุดชมวิวคันละจุด
Penajakarn 1 และ 2 ซึ่งจุดหนึ่งจะเป็นวิวที่คนส่วนใหญ่ไปกัน ส่วนจุดที่สองต้องเดินทางปีนป่ายเขาประมาณหนึ่งกิโล เพื่อนบางคนที่เคยมาแล้วอยากไปที่นี่กัน ส่วนตัวผมนั้นมาครั้งแรกก็ต้องไปจุดหนึ่งอยู่แล้วละ
ขับรถซิ่งๆ ขึ้นเขากัน รถJeep ต่อแถวกันเป็นสาย แซงหยอกล้อกันเป็นระยะ หรือ เขม่นกันจริงๆ ก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็จี้ เดี๋ยวก็เปิดไฟสูงใส่ ถ้าเป็นเมืองไทยคงลงจากรถมาโชว์แม่ไม้มวยไทยเป็นแน่แท้
เมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดทางรถ หาที่จอดเรียบร้อยคนขับรถนัดหมายให้เรากลับมาก่อน หกโมง เช้าเพื่อจะไปที่อื่นต่อ บริเวณนั้นก็จะมีร้านค้าที่ขายชาร้อน กาแฟ ขนมปังปิ้งต่างๆ ไว้คลายหนาว เพราะอากาศค่อนข้างเย็นถึงขนาดพูดออกมาเป็นไอได้
เดินไปได้ยังไม่ทันเหนื่อยก็มาถึงซะแระ เป็นลานกว้างพอประมาณจุดได้สักสองสามร้อยคน ผู้คนเริ่มมาจับจองตำแหน่งเพื่อถ่ายรูปในตอนเช้า พวกเราก็ส่งสมาชิกไปครอบครองพื้นที่ริมรั้วซะเลย คนจะเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใกล้ถึงรุ่งเช้า
แม้จะมาสถานที่ท่องเที่ยว แต่ชาวอินโด ก็ไม่ลืมที่จะละหมาด
ดวงดาวเต็มท้องฟ้ากับจุดชมวิวจุดที่สอง เพื่อนถ่ายมาอวด เพราะจุดแรกไม่สามารถถ่ายได้เนื่องจากคนเยอะทำให้แสงจากไฟฉาย อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมด
แสงแรกเริ่มพาดผ่านเส้นขอบฟ้า ผู้คนต่างลุกฮือ เข้าไปรุมลั่นชัตเตอร์
ควันจากปล่องโบรโม่เมื่อถูกกระทบจากแสงแดดยามเช้า ดูงดงามจริงๆ
ชาวบ้านออกมาทำมาหากิน
ถึงเวลานัดหมาย เรากลับมาที่รถกันและไต่ลงเขาไปปากปล่องโบรโม่กันพร้อมกับวิวสวยๆ ข้างทาง
ถึงด้านล่างแล้วว นี่คือรถของเรา สีแดงสวยสดเชียว ฟ้าเปิด แสงแดดก็เป็นใจเหลือเกิน
อลังการมาก
ไม่ช้านานเราก็มาถึงทางเดินสู่ปากปล่องโบรโม่ ส่วนตัวผมแอบรำคาญนิดนึงระหว่างทางเดิน เพราะจะมีแต่คนมาถามขี่ม้ามั้ยตลอดทางเดิน บวกกับที่ผมเรียกมันว่า "ฝนดิน" เกิดจากการที่โบรโม่ยังมีการประทุเบาๆ เป็นระยะ ทำให้ดินเล็กๆ น้อยๆ พุ่งออกมาจากปากปล่องขยายเป็นวงกว้าง ตกลงเหมือนฝน
เดินผ่านมา สองกิโล เห็นจะได้ก็มาถึงบันไดที่พาดขึ้นไปบนปากปล่อง
โอ้วว นี่หรือโบรโม่ มันดูอลังการ ควันออกมาเป็นระยะๆ
สิ่งที่น่ากลัวคือ เสียงคำรามของมันนี่ละ เหมือนมันพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ฟู่ ฟู่ ฟู่
ผมเดินเลาะขอบปล่องไปเรื่อยๆ เส้นทางก็ดูหวาดเสียวอยู่นะ เพราะเป็นทางแคบๆ เอียงๆ
เดินมาได้สักระยะ เพื่อนๆของผมก็เริ่มทยอยลงกันละ ไม่มีใครอยากไปจุดสูงสุดด้านบนนั้น แต่ผมแล้ว มาทั้งทีต้องไปให้สุด ลุยๆ
พอมาถึงจุดสูงสุด ที่ซึ่งไม่มีทางเดินต่อไปแล้ว เหมือนเทพเจ้าโบรโม่จะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี คำรามเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับพ่นควันออกมามหาศาล ต่อหน้าต่อตาผมในระยะโฟกัสไม่กี่เมตร
ณ จุดๆ นั้น อยู่คนเดียว ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปเท่าไร ก็บอกตัวเอง จะไม่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เป็นแน่ จ้ำเท้าเดินลงมาเลย ไม่สนใจทางแคบอีกแล้ว ยิ่งระยะใกล้มาก ก็ต้องอดทนกับ ฝนดิน ที่พุ่งมาในระยะประชิดมันเข้าหน้า เข้าตา เข้าหู ติดไปยันหนังหัว คือสภาพ ณ ตอนนั้นแทบไม่มีที่ว่างของความสะอาด
ภาพจากเพื่อนๆที่ถ่ายจากระยะไกล เพราะลงไปก่อนผม
ถ่ายติดผมด้วยนะ ต้องซูม แปดดด รอบ กว่าจะมองเห็น ฮ่า ฮ่า
ต่อจากนั้นเราไปแวะอีกสองที่ คือ ทุ่งหญ้าสะวันนา
และ Whisper sand
มุ่งสู่ คาวาอิเจี้ยนในสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำ เราไม่ได้แวะน้ำตก Madakaripura เพราะว่าฝนมันตกเลยปิดไม่ให้เข้า
แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า สิ่งที่เรากลัวคือ พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนตกตลอด แต่พอเรามาถึงฝนก็หยุดเพื่อให้เราทักทายและร่ำลา ลาก่อน....โบรโม่