Alone In Germany: Day2 Konigswinter-Koblenz-Heidelberg

สืบเนื่องจากกระทู้เดิม http://pantip.com/topic/35181455 ก็เข้าสู่การเดินทางคนเดียว Day2 กันครับ
Day 2


เนื่องจาก ต้องการเก็บความประทับใจที่ปราสาท Drachenberg และปราสาท เปิด 11 โมง เช้านี้ผมตื่นสายๆ เดินเล่นในเมือง และก็เลือกที่จะไม่ขึ้นรถราง หากแต่เดินเท้าขึ้นเขาแทน บอกได้เลยว่า เหนื่อย!!! คือเขามันชัน มัน..จุกพูดไม่ออก แต่ก็ยังมีโอกาสชมดอกไม้สวยๆระหว่างทาง มีจุดได้นั่งพัก นั่งชมวิว ... นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์สัตว์เลื้อยคลาน ด้วยครับ




ใช้เวลาเดินประมาณ 1ชม. ผมก็มาถึงปราสาท Drachenberg (ผมเดินๆเล่นๆ นั่งพักมาเรื่อยๆนะครับมีคนแก่ๆกว่าผมเยอะก็เดินขึ้นเหมือนกัน แต่ถ้าผมแนะนำว่าจะต้องไป drachenfelด้วย ผมแนะนำไปรถรางนะครับ แต่ผมเสียเงินเมื่อวานแล้วเลยเดินเอาบรรยากาศ แต่ก็เหงื่อตกเหมือนกัน )


Schloss Drachenburg คฤหาสน์ส่วนตัวที่สร้างในแบบปราสาทถูกสร้างปลายปีศตวรรษที่19บนเขาdrachenfels ในเมืองkonigswinter ทำให้สามารถมองเห็นบรรยากาศทั้งเมืองรวมถึงเวิ้งแม่น้ำrhine ภายในสามารถถ่ายรูปได้นะครับ เนื่องจากเป็นคฤหาสน์ ข้างนอกดูเป็นปราสาทชวนฝัน วันที่ผมไปน่าจะมีงานแต่งงานด้วยครับ มีคนร้องเพลงประสานเสียง จัดดอกไม้ค่อนข้างสวยงาม  ภายในตกแต่งได้สวยงามมาก  ไม่รู้สึกเสียดายเลยที่รอชมปราสาท 11โมง






"Talking Chair" คือเก้าอี้ด้านบน ถูกออกแบบเพื่อใช้สำหรับคุยกันเป็นการส่วนตัวโดยเมื่อนั่งแล้ว ผู้สนทนาจะหันหน้าเข้าหากัน สบตากัน จับไม้จับมือกันได้ครับ
เนื่องจากผมใช้เวลาใน Schloss Drachenburg ค่อนข้างมาก ผมตัดสินใจตัดการล่องเรือเลียบแม่น้ำไรน์ทิ้ง
ผมซื้อตั๋ว ไปไฮเดลแบรก Heidelberg โดยตั้งใจแวะผ่านเมือง Koblenz ก่อนสัก 3 ชม.นะครับ

สำหรับคนที่ยังไม่ทราบ เราสามารถซื้อตั๋วที่ตู้ DB Bahn โดย สามารถเลือกจุดแวะได้ครับ ซื้อจุดที่เดินทางกับจุดสุดท้ายและสามารถกำหนด จุดแวะได้ครับว่าจะแวะที่ไหนกี่ชั่วโมง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ ผมเองก็กำหนดระยะเวลาเที่ยวรายวันจากตู้ DB Bahn นอกจากนี้ยังสามารถ print out ตารางรถหรือเที่ยวรถต่างๆออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วครับ


Klobenz เมืองที่มีป้อมปราการใหญ่ เดิมใช้สังเกตการณ์ เพื่อป้องกันข้าศึกที่มาทางแม่น้ำไรน์ วิวจากป้อม มองไปเห็นทั้งเมืองkoblenz และแม่น้ำสองสายคือแม่น้ำ rhine และMoselle การบรรจบกันของแม่น้ำทั้ง 2 ก่อให้เกิดสีที่แตกต่าง จึงมองเห็นเป็นแม่น้ำสองสี



ผมเลือกนั่งกระเช้าชมแม่น้ำสองสีขึ้นไปบนป้อมปราการ ซึ่งในขณะนั้นมีจัดงาน ผู้คนแต่งตัวแบบโบราณซื้อขายผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์เขาสัตว์ตลอดจนการละเล่นดนตรีพื้นบ้านได้อย่างประทับใจ ผมใช้เวลาที่นี่อยู่พอควรเนื่องจากผู้คนแต่งตัวกันราวกับในหนัง Game of throne แถมยังมีกิจกรรมสอนยิงธนู หรือมีขนมโบราณให้ทาน แต่ผมไม่ได้ทานหรอกครับ ผมว่าขนมโบราณคล้ายๆบานเราคือมีแป้งเป็นหลัก คลุกกับน้ำตาล







นอกจากนี้ยังมีการจัดสัตว์สตาฟสไตล์ซาฟารีให้ชมด้วยครับแวะชมพอสังเขป ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเพราะรวมกับตั๋วกระเช้าและตั๋วเข้าชมป้อมปราการ




หลังใช้เวลา 3 ชม. ผมว่ากำลังพอดีผมตรงกลับมายังสถานีรถ แวะถ่ายรูปกับโบสถ์ ในเมือง

และเดินทางมายัง Heidelberg



Heidelberg  ถือเป็นเมืองเก่าแก่ เป็นที่กำเนิดมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในเยอรมัน นอกจากนี้ ยังเป็นเมืองที่สวยและโรแมนติกระดับต้นๆ ของเยอรมันเลยทีเดียว เพื่อนผมผมบอกยังไง ก็ต้องมาเที่ยวที่นี่ให้ได้  
ทาง UNESCO ได้ประกาศให้ Heidelberg Castle และ Alstadt หรือเขตเมืองเก่าเป็นมรดกโลกด้วยครับ

โชคดีมากที่ผมได้โรงแรมนอนอยู่กลาง Marketplatz และใกล้จุดขึ้นรถรางไปชมปราสาท ผมมาถึงสถานีรถ ที่ Heidelberg Hbf ได้ประมาณ ทุ่มครึ่ง... ปัญหาก็เกิดเพราะผมต้องนั่งรถไปยังเขตเมืองเก่า ที่ผมจะพัก แต่ผมกลับไม่สามารถรู้ได้ว่าผมจะนั่งรถบัสไหน ผมนั่งรถไปท่ารถโดยถามคนแถวนั้นเอา ผมว่าคนเยอรมันให้ความช่วยเหลือและมีน้ำใจพอควรเลยครับ หากแต่ผมก็นั่งรถผิด ผมเลือกลงจุดที่ใกล้แม่น้ำ nectar และลากกระเป๋าเข้าไปเขตเมืองเก่า บอกเลยครับ เหนื่อยโฮก เพราะถนนหนทางฟุตบาท ไม่ได้เป็นใจกับการลากกระเป๋าเลยครับ ผมมาถึงโรงแรม เชคอินน์ ล้างหน้าและพร้อมที่จะดื่มด่ำยามค่ำคืนอันโรแมนติก แม้กายผมแทบจะแหลกสลาย


สภาพเมืองไฮเดลแบรกนั้นพลุกพล่าน มีนักท่องเที่ยวผู้คนนั่งทานอาหารดื่มคุยกันอยากคับคั่ง  ไม่มีร้านไหนไม่มีคน มีร้านอาหารให้เลือกมากมาย แต่ผมเองเลือกร้านBig Pommes ผมจำได้ว่าอ่านไรวีวิวเพื่อนพันทิปนี่ล่ะครับว่าร้านนี้อร่อย


สำหรับ Big Pommes นั้นหมายถึง มันฝรั่งทอด และนั่นก็คือ เฟรนช์ฟรายนั่นแหละครับ เนื่องจากเป็นคนชอบกินเฟรนช์ฟรายมากจึงเลือกที่จะตามรอยเพื่อนพันทิป โดยเดินไปทานร้านนี้เลือกแบบ Toppingทุกแบบ มันกรอบอร่อย นุ่มใน จนไขมันจากแฟรนช์ฟรายช่วยสมานร่างผมที่กำลักจะแตกสลายจากการลากกระเป๋ากลับมา พร้อมแคลอรี่ที่เกินพอดี


ท่ามกลางเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน เพียงแค่ผมเดินมายังสะพานโบราณ  Alte Brucke กลับรู้สึกเงียบสงบได้อย่างน่าประหลาด ผืนน้ำที่ไหลเอื่อยภายใต้สะพาน สะท้อนภาพสะพาน รวมที่ปราสาทเบื้องหลังได้อย่างงดงามยิ่งนัก ผมเดินเล่นมาตีนสะพาน มาสะดุดกับรูปลิงโลหะทองเหลือง และจานกระจกซึ่งเชื่อว่าหากสัมผัสกระจก จะได้กลับมาอีก รออะไรล่ะคับผมนี่ลูบแล้วลูบอีก






นอกจากนี้ยังมีโบสถ์ Heiliggeistkirche ที่เป็นเอกลักษณ์กลางเมืองเก่า
และร้านอาหารเก่าแก่ที่ใครไปใครมาต้องมาถ่ายรูปด้วยความที่มีเอกลักษณ์ของร้านนั่นเอง




และแล้วก็จบวันที่ 2 ครับ ผมเข้านอน นอนนวดขา เอายาแก้ปวดที่ติดมาทานสักหน่อย เพื่อให้มีแรงสำหรับการท่องเที่ยวปราสาท Heidelberg ในวันถัดไป

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่