
หายไป 2 สัปดาห์ ติดทริปที่น่าน และติดหวัดงอมแงม มาเริ่มกันเลยครับ กับ จ.น่าน ...
ก่อนหน้านี้ผมรู้จัก จ.น่าน น้อยมาก จะนึกถึงก็แต่เพียง "พระธาตุแช่แห้ง" สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และไม่นานมานี้ชื่อ "น่าน" ก็กลับมาวนเวียนในหัวผมอีกครั้ง ในฐานะเมืองท่องเที่ยวในแบบฉบับสโลว์ไลฟ์ และแล้วความอยากเที่ยวก็เกิดขึ้น
หลังจากลางานเตรียมไปน่าน 5 วัน 4 คืน ก็มีคนรอบข้างฟีดข้อมูลให้เป็นระยะ “พี่ต้องไปถ่ายรูปที่วัดพระธาตุเขาน้อยนะ องค์พระใหญ่สวยมาก” “อย่าลืมไปร้านขนมหวานป้านิ่มนะ” “แนะนำร้านอาหารปุ้ม 3” “ไปช่วงนี้ดอกชมพูภูคากำลังบานพอดีเลย” และอีกหลายคำแนะนำ หลังรวบรวมข้อมูลก็ออกมาเป็นแผนการเดินทาง คร่าวๆ ดังนี้
วันที่ 1 : ลงสนามบิน เช่ารถขับไป อ. ท่าวังผา และ อ.ปัว ไปเที่ยวชมวัดเก่า และไปพักโฮมสเตย์
วันที่ 2 : ไปอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ดูดอกชมพูภูคา และไปพักที่ อ.บ่อเกลือ
วันที่ 3 : เที่ยวชมบ่อเกลือ และไปที่ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา จากนั้นเข้าเมืองน่าน
วันที่ 4 : เที่ยวชมวัดในเมืองน่าน และหอศิลป์ริมน่าน
วันที่ 5 : เที่ยวชมวัดในเมืองน่าน และเดินทางกลับ
สรุปรวมๆ ของทริปนี้ อารมณ์เหมือนไปไหว้พระ 9 วัด

แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่ลืมที่จะแทรกความชิลใส่เข้าไปด้วย ... มาเริ่มกันเลยดีกว่าเจ้า
ออกเดินทางจากดอนเมืองด้วยสายการบินนกแอร์ เครื่องใบพัดลำกระทัดรัดดีถึงสนามบินน่านนคร เวลา 10 โมงเศษ สนามบินดูตกแต่งใหม่สวยงามดี

รับกระเป๋าเสร็จไปรับรถเช่าที่จอดพร้อมหน้าสนามบิน เป็นโตโยต้าวีออส ผมควักการ์มิน GPS นำทาง และ CD ของ Norah Jones ไว้เปิดฟังเพลินๆ ในรถด้วย (คิดว่าวัยรุ่นหลายคนไม่รู้จัก 555) จากนั้นขับตรงขึ้นไปที่ อ.ท่าวังผา ระยะทาง 40 กม. เพื่อไปจุดหมายแรกที่ “ร้านอาหารกิ่งโพธิ์” ระหว่างทางได้สวนกับขบวนเสด็จของสมเด็จพระเทพฯ ผมชะลอและจอดรถไหล่ทาง นับเป็นเรื่องที่ดีประเดิมทริปวันแรกของผมจริงๆ
ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงก็มาถึงร้านกิ่งโพธิ์ ได้นั่งกินบรรยากาศริมน้ำ ชมวิวกันแบบสบายหูสบายตา ผมสั่งเมนูเด็ดที่เจ้าของร้านนำเสนอคือปลาทับทิมทอดยำสมุนไพร และอีกหลายเมนูที่ลองสั่งมา สรุปความอร่อยผมให้คะแนนกลางๆ รสชาติยังไม่จัดจ้านโดนใจผมเท่าไรนัก “แหม ก็รสชาติของคนเหนือนะเจ้า” อันนี้ผมคิดเอง ไม่มีใครพูด

ข้อดีของการมาทานร้านนี้อีกอย่างก็คือ ใกล้กับ “วัดหนองบัว” ที่เที่ยวแรกของทริปนี้เพียงแค่ 350 เมตรเท่านั้น เหยียบคันเร่งไปหน่อยเดียวก็ถึงแล้วครับ ย่างก้าวเข้าวัดจะได้ยินเสียงสะล้อ ซอ ซึง จากวงดนตรีคุณลุง ช่างสร้างบรรยากาศในการทัศนาจรชมความงามสถาปัตย์แบบล้านนา

ด้านในมีภาพเขียนฝาผนังนิทานธรรม “จันทคาธชาดก” ในสภาพเลือนลาง บางส่วนก็ปูนล่อนกระเทาะออก เสมือนจิกซอว์ภาพที่ขาดหายไป แต่นั่นก็พอให้เห็นฝีมือชั้นดีของจิตรกรครั้งเก่าก่อนได้

ออกมาจากอุโบสถอย่าลืมเดินอ้อมไปด้านหลัง มีเรือนไม้เก่าเป็นที่จัดจำหน่ายสินค้าของหมู่บ้านไทลื้อ และมีมุมเล็กๆ ให้ถ่ายรูปกันด้วย

ขับต่อขึ้นไปที่ อ.ปัว ระยะทาง 20 กิโลนิดๆ ใช้เวลา 30 นาที ก็มาถึง "วัดบ้านต้นแหลง" ที่มีวิหารเก่าแก่ทรงตะคุ่มหลังคาลาดต่ำ ซ้อน 3 ชั้น
สถาปัตย์แบบบ้านเรือนดั้งเดิมของชาวไทลื้อ ที่หาชมได้ยาก หลังจากไหว้พระเสร็จ ก็หามุมถ่ายรูป “แหม่ น่าเสียดายที่ตัววิหารนี้ถูกโอบล้อมด้วยกำแพง และอาคารปูนในระยะใกล้ชิด ไม่อย่างนั้นภูมิทัศน์โดยรวมน่าจะสวยได้กว่านี้”

เวลาคล้อยบ่าย 3 โมงแล้ว ไปเช็คอิน “โฮมสเตย์ตานงค์” ที่พักชิวๆ ที่จองไว้ดีกว่า อีก 7 กม. ก็ถึงแล้ว พลันให้คิดถึงภาพถ่ายจากไกด์บุ๊คที่มีบ้านอยู่กลางทุ่ง มีภูเขาเป็นฉากหลัง ดูสโลว์ไลฟ์สุดๆ ขับจากถนนใหญ่ขนาด 2 เลน เข้าสู่ถนนที่แคบลงที่พอให้สวนกัน จนเลี้ยวเข้าถนนลูกรังที่สองข้างทางเป็นทุ่งนา “มาถูกทางหรือเปล่าเนี่ย? ป้ายก็ไม่เห็นมี อย่าบอกนะว่า Google Map ปักหมุดผิด!!” … “แกร็งๆๆ” เสียงเหมือนมีก้านหญ้าแห้งแตะตัวถังรถด้านล่างเป็นระยะๆ แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ทางตอนนี้เรียกว่าแคบสุดชีวิต ชนิดที่เรียกว่าสวนกันไม่ได้ ภาวนาอย่ามีรถสวนมาเชียวนะ “เยส เริ่มเห็นป้ายเล็กๆ บอกทางแล้ว” ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ลุ้นที่พัก กลัวว่าจะไม่เป็นบ้านชิวๆ เหมือนในรูปถ่าย “คุณหลอกดาว” หรือเปล่า? 555
ถึงแล้วครับ “โฮมสเตย์ตานงค์” คุณตายกมือสวัสดี ผมยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน บ้านหลังใหญ่ของคุณตาเป็นบ้าน 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนบ้านเหมือนเป็นห้องครัว มีโต๊ะทานข้าว ชั้น 2 เป็นส่วนของที่พักจำนวน 2 ห้อง และชั้น 3 อีก 1 ห้อง นอกจากหลังนี้ยังมีที่พักบังกาโล 3 หลัง แยกออกมา ส่วนที่พักผมอยู่บนบ้านที่ชั้น 2 ข้อดีของการพักบนบ้าน คือจะได้ชมวิวไร่ข้าวโพด และทิวภูเขาอันสวยงาม “ผมขอทานข้าวเย็น กับมื้อเช้าด้วยเลยนะครับ” ... ผมขอให้คุณตาจัดมาให้เลย ครั้นจะออกไปจากทุ่งนี้ไปหาอะไรทานคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และอีกอย่างจะได้ใกล้ชิดผู้คนในแบบโฮมสเตย์จริงๆ

สำรวจห้องพักกันครับ ขึ้นบันไดมีซุ้มด้วย แล้วก็เจอระเบียง มุมชิลๆ อีกหนึ่งมุม ส่วนห้องนอนค่อนข้างกว้าง มีแอร์ มีทีวี WIFI เครื่องทำน้ำอุ่น ผ้าขนหนู สบู่ ที่นี่มีกฎเล็กๆ โปรดอย่าใช้เสียงดังรบกวนคนที่มาพักหลังจาก 4 ทุ่ม ด้วยโครงสร้างบ้านไม้ กั้นด้วยผนังเบาอาจจะมีเสียงรบกวนเพื่อนร่วมห้องได้

“ใกล้ๆ มีพระธาตุจอมทอง เป็นพระธาตุเก่าแก่อยู่บนเขาที่ทางกรมศิลป์เข้ามาบูรณะ พร้อมกับความร่วมมือของชาวบ้าน ทางขึ้นเขาสภาพดี ไปเที่ยวดูได้” ตานงค์บอกกล่าว ซึ่งไม่อยู่ในลิสต์ หรือบนหนังสือท่องเที่ยว แต่ไหนๆ ก็มาแล้วลองแวะไปชมสักหน่อย
แดดร่มลมตกประมาณ 5 โมงเย็น ผมขับรถทางลูกรังจนถึงถนนลาดยางขึ้นเขาดูจากสภาพแล้วไม่ค่อยมีใครสัญจรไปมา มีเศษใบไม้เกลื่อน มีเศษก้อนหินตกอยู่กลางถนน จากที่พักขับขึ้นมาแป๊ปเดียวก็ถึงยอดเขา มีพระธาตุสีทองอยู่ด้านหน้า รอบตัวไม่มีผู้คน ดูขลังและวังเวงไปพร้อมๆ กัน มองดูป้ายบอกประวัติพอสรุปได้ว่า “วัดพระธาตุจอมทอง เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนในพื้นที่ และยังเป็นจุดสังเกตในการเดินทางไปตามลำน้ำปัว ตำนานพระธาตุจอมทองกล่าวว่า บริเวณนี้มีปู่ลัวะย่าลัวะ เข้ามาหักล้างถางพงทำไร่ ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งจาริกผ่านมา จึงได้เข้าไปกราบไหว้ ปรนนิบัติ พระภิกษุรูปนั้นจึงได้แสดงตนว่าเป็นพุทธเจ้า และได้ประทานพระเกษา ทั้งสองได้นำใบตองมามาห่อไว้และได้สร้างพระธาตุเพื่อบรรจุไว้ตั้งชื่อว่า พระธาตุจอมตอง ในกาลต่อมา เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน (ไม่ระบุนาม) ได้เสด็จมาสักการะ และได้บูรณะปฎิสังขรณ์ และให้นามใหม่ว่าพระธาตุจอมทอง สถานที่แห่งนี้ได้รับประกาศชื่อเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2487”

หลังไหว้เสร็จ ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้รู้สึกอยากกวาดเศษใบไม้รอบบริเวณพระธาตุ ตอนนี้เสื้อเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ก็รู้สึกดีจริงๆ เป็นส่วนเล็กๆ ที่ทำให้พระธาตุดูสวยงามขึ้น จากนั้นขับรถกลับเข้าที่พักอาบน้ำ และลงมาทานอาหารที่ตานงค์กับคุณป้าเตรียมไว้ให้ ว้าวว น้ำพริก แคปหมู ลาบหมู ไส้อั่ว น่าทานมากๆ อากาศก็เย็นสบายดี

ผมเห็นคู่ฝรั่งมานั่งทานที่โต๊ะข้างๆ ด้วย ไม่รู้ว่าจะทานได้หรือเปล่า แต่นี่แหละที่เค้าเรียกว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม (แอบสำนวนโบราณ 555) หนึ่งในเสน่ห์ของประสบการณ์โฮมสเตย์ ทานเสร็จก็ไปพักผ่อนเตรียมเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้
วันที่ 2 : อุทยานแห่งชาติดอยภูคา – จุดชมวิว – ที่พัก อ.บ่อเกลือ

เช้าวันใหม่กับวิวดวงอาทิตย์ ภูเขา และไร่ข้าวโพดที่อยู่ตรงหน้า ผมเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า เดินออกนอกรั้วไปตามทางถนนลูกรังสัมผัสชีวิตชนบทอันห่างไกลผู้คน

ผมถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยจนได้เวลาทานอาหารเช้า คุณป้าจัดข้าวต้มไรซ์เบอร์รี่ให้ ทานง่ายและหมดเร็ว รสชาติดีครับ จากนั้นได้เวลาร่ำลาคุณตากับคุณป้า เพื่อข้ามเขาไปอีกฝั่ง “ไว้มีโอกาส จะมาใหม่นะครับ”
การเดินทางที่ต้องหมุนพวงมาลัยไปมา เข้าเกียร์ต่ำเลี้ยวโค้งขึ้นเขา ไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ มองลงไปก็แอบหวิวๆ เหมือนกันนะ

(มีต่อ)
[CR] ตามไปเที่ยว >> ปล่อยตัวสโลว์ไลฟ์ไว้ที่ "น่าน" ตอนที่ 1
หายไป 2 สัปดาห์ ติดทริปที่น่าน และติดหวัดงอมแงม มาเริ่มกันเลยครับ กับ จ.น่าน ...
ก่อนหน้านี้ผมรู้จัก จ.น่าน น้อยมาก จะนึกถึงก็แต่เพียง "พระธาตุแช่แห้ง" สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และไม่นานมานี้ชื่อ "น่าน" ก็กลับมาวนเวียนในหัวผมอีกครั้ง ในฐานะเมืองท่องเที่ยวในแบบฉบับสโลว์ไลฟ์ และแล้วความอยากเที่ยวก็เกิดขึ้น
หลังจากลางานเตรียมไปน่าน 5 วัน 4 คืน ก็มีคนรอบข้างฟีดข้อมูลให้เป็นระยะ “พี่ต้องไปถ่ายรูปที่วัดพระธาตุเขาน้อยนะ องค์พระใหญ่สวยมาก” “อย่าลืมไปร้านขนมหวานป้านิ่มนะ” “แนะนำร้านอาหารปุ้ม 3” “ไปช่วงนี้ดอกชมพูภูคากำลังบานพอดีเลย” และอีกหลายคำแนะนำ หลังรวบรวมข้อมูลก็ออกมาเป็นแผนการเดินทาง คร่าวๆ ดังนี้
วันที่ 1 : ลงสนามบิน เช่ารถขับไป อ. ท่าวังผา และ อ.ปัว ไปเที่ยวชมวัดเก่า และไปพักโฮมสเตย์
วันที่ 2 : ไปอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ดูดอกชมพูภูคา และไปพักที่ อ.บ่อเกลือ
วันที่ 3 : เที่ยวชมบ่อเกลือ และไปที่ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา จากนั้นเข้าเมืองน่าน
วันที่ 4 : เที่ยวชมวัดในเมืองน่าน และหอศิลป์ริมน่าน
วันที่ 5 : เที่ยวชมวัดในเมืองน่าน และเดินทางกลับ
สรุปรวมๆ ของทริปนี้ อารมณ์เหมือนไปไหว้พระ 9 วัด
ออกเดินทางจากดอนเมืองด้วยสายการบินนกแอร์ เครื่องใบพัดลำกระทัดรัดดีถึงสนามบินน่านนคร เวลา 10 โมงเศษ สนามบินดูตกแต่งใหม่สวยงามดี
รับกระเป๋าเสร็จไปรับรถเช่าที่จอดพร้อมหน้าสนามบิน เป็นโตโยต้าวีออส ผมควักการ์มิน GPS นำทาง และ CD ของ Norah Jones ไว้เปิดฟังเพลินๆ ในรถด้วย (คิดว่าวัยรุ่นหลายคนไม่รู้จัก 555) จากนั้นขับตรงขึ้นไปที่ อ.ท่าวังผา ระยะทาง 40 กม. เพื่อไปจุดหมายแรกที่ “ร้านอาหารกิ่งโพธิ์” ระหว่างทางได้สวนกับขบวนเสด็จของสมเด็จพระเทพฯ ผมชะลอและจอดรถไหล่ทาง นับเป็นเรื่องที่ดีประเดิมทริปวันแรกของผมจริงๆ
ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงก็มาถึงร้านกิ่งโพธิ์ ได้นั่งกินบรรยากาศริมน้ำ ชมวิวกันแบบสบายหูสบายตา ผมสั่งเมนูเด็ดที่เจ้าของร้านนำเสนอคือปลาทับทิมทอดยำสมุนไพร และอีกหลายเมนูที่ลองสั่งมา สรุปความอร่อยผมให้คะแนนกลางๆ รสชาติยังไม่จัดจ้านโดนใจผมเท่าไรนัก “แหม ก็รสชาติของคนเหนือนะเจ้า” อันนี้ผมคิดเอง ไม่มีใครพูด
ข้อดีของการมาทานร้านนี้อีกอย่างก็คือ ใกล้กับ “วัดหนองบัว” ที่เที่ยวแรกของทริปนี้เพียงแค่ 350 เมตรเท่านั้น เหยียบคันเร่งไปหน่อยเดียวก็ถึงแล้วครับ ย่างก้าวเข้าวัดจะได้ยินเสียงสะล้อ ซอ ซึง จากวงดนตรีคุณลุง ช่างสร้างบรรยากาศในการทัศนาจรชมความงามสถาปัตย์แบบล้านนา
ด้านในมีภาพเขียนฝาผนังนิทานธรรม “จันทคาธชาดก” ในสภาพเลือนลาง บางส่วนก็ปูนล่อนกระเทาะออก เสมือนจิกซอว์ภาพที่ขาดหายไป แต่นั่นก็พอให้เห็นฝีมือชั้นดีของจิตรกรครั้งเก่าก่อนได้
ออกมาจากอุโบสถอย่าลืมเดินอ้อมไปด้านหลัง มีเรือนไม้เก่าเป็นที่จัดจำหน่ายสินค้าของหมู่บ้านไทลื้อ และมีมุมเล็กๆ ให้ถ่ายรูปกันด้วย
ขับต่อขึ้นไปที่ อ.ปัว ระยะทาง 20 กิโลนิดๆ ใช้เวลา 30 นาที ก็มาถึง "วัดบ้านต้นแหลง" ที่มีวิหารเก่าแก่ทรงตะคุ่มหลังคาลาดต่ำ ซ้อน 3 ชั้น
สถาปัตย์แบบบ้านเรือนดั้งเดิมของชาวไทลื้อ ที่หาชมได้ยาก หลังจากไหว้พระเสร็จ ก็หามุมถ่ายรูป “แหม่ น่าเสียดายที่ตัววิหารนี้ถูกโอบล้อมด้วยกำแพง และอาคารปูนในระยะใกล้ชิด ไม่อย่างนั้นภูมิทัศน์โดยรวมน่าจะสวยได้กว่านี้”
เวลาคล้อยบ่าย 3 โมงแล้ว ไปเช็คอิน “โฮมสเตย์ตานงค์” ที่พักชิวๆ ที่จองไว้ดีกว่า อีก 7 กม. ก็ถึงแล้ว พลันให้คิดถึงภาพถ่ายจากไกด์บุ๊คที่มีบ้านอยู่กลางทุ่ง มีภูเขาเป็นฉากหลัง ดูสโลว์ไลฟ์สุดๆ ขับจากถนนใหญ่ขนาด 2 เลน เข้าสู่ถนนที่แคบลงที่พอให้สวนกัน จนเลี้ยวเข้าถนนลูกรังที่สองข้างทางเป็นทุ่งนา “มาถูกทางหรือเปล่าเนี่ย? ป้ายก็ไม่เห็นมี อย่าบอกนะว่า Google Map ปักหมุดผิด!!” … “แกร็งๆๆ” เสียงเหมือนมีก้านหญ้าแห้งแตะตัวถังรถด้านล่างเป็นระยะๆ แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ทางตอนนี้เรียกว่าแคบสุดชีวิต ชนิดที่เรียกว่าสวนกันไม่ได้ ภาวนาอย่ามีรถสวนมาเชียวนะ “เยส เริ่มเห็นป้ายเล็กๆ บอกทางแล้ว” ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ลุ้นที่พัก กลัวว่าจะไม่เป็นบ้านชิวๆ เหมือนในรูปถ่าย “คุณหลอกดาว” หรือเปล่า? 555
ถึงแล้วครับ “โฮมสเตย์ตานงค์” คุณตายกมือสวัสดี ผมยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน บ้านหลังใหญ่ของคุณตาเป็นบ้าน 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนบ้านเหมือนเป็นห้องครัว มีโต๊ะทานข้าว ชั้น 2 เป็นส่วนของที่พักจำนวน 2 ห้อง และชั้น 3 อีก 1 ห้อง นอกจากหลังนี้ยังมีที่พักบังกาโล 3 หลัง แยกออกมา ส่วนที่พักผมอยู่บนบ้านที่ชั้น 2 ข้อดีของการพักบนบ้าน คือจะได้ชมวิวไร่ข้าวโพด และทิวภูเขาอันสวยงาม “ผมขอทานข้าวเย็น กับมื้อเช้าด้วยเลยนะครับ” ... ผมขอให้คุณตาจัดมาให้เลย ครั้นจะออกไปจากทุ่งนี้ไปหาอะไรทานคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และอีกอย่างจะได้ใกล้ชิดผู้คนในแบบโฮมสเตย์จริงๆ
สำรวจห้องพักกันครับ ขึ้นบันไดมีซุ้มด้วย แล้วก็เจอระเบียง มุมชิลๆ อีกหนึ่งมุม ส่วนห้องนอนค่อนข้างกว้าง มีแอร์ มีทีวี WIFI เครื่องทำน้ำอุ่น ผ้าขนหนู สบู่ ที่นี่มีกฎเล็กๆ โปรดอย่าใช้เสียงดังรบกวนคนที่มาพักหลังจาก 4 ทุ่ม ด้วยโครงสร้างบ้านไม้ กั้นด้วยผนังเบาอาจจะมีเสียงรบกวนเพื่อนร่วมห้องได้
“ใกล้ๆ มีพระธาตุจอมทอง เป็นพระธาตุเก่าแก่อยู่บนเขาที่ทางกรมศิลป์เข้ามาบูรณะ พร้อมกับความร่วมมือของชาวบ้าน ทางขึ้นเขาสภาพดี ไปเที่ยวดูได้” ตานงค์บอกกล่าว ซึ่งไม่อยู่ในลิสต์ หรือบนหนังสือท่องเที่ยว แต่ไหนๆ ก็มาแล้วลองแวะไปชมสักหน่อย
แดดร่มลมตกประมาณ 5 โมงเย็น ผมขับรถทางลูกรังจนถึงถนนลาดยางขึ้นเขาดูจากสภาพแล้วไม่ค่อยมีใครสัญจรไปมา มีเศษใบไม้เกลื่อน มีเศษก้อนหินตกอยู่กลางถนน จากที่พักขับขึ้นมาแป๊ปเดียวก็ถึงยอดเขา มีพระธาตุสีทองอยู่ด้านหน้า รอบตัวไม่มีผู้คน ดูขลังและวังเวงไปพร้อมๆ กัน มองดูป้ายบอกประวัติพอสรุปได้ว่า “วัดพระธาตุจอมทอง เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนในพื้นที่ และยังเป็นจุดสังเกตในการเดินทางไปตามลำน้ำปัว ตำนานพระธาตุจอมทองกล่าวว่า บริเวณนี้มีปู่ลัวะย่าลัวะ เข้ามาหักล้างถางพงทำไร่ ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งจาริกผ่านมา จึงได้เข้าไปกราบไหว้ ปรนนิบัติ พระภิกษุรูปนั้นจึงได้แสดงตนว่าเป็นพุทธเจ้า และได้ประทานพระเกษา ทั้งสองได้นำใบตองมามาห่อไว้และได้สร้างพระธาตุเพื่อบรรจุไว้ตั้งชื่อว่า พระธาตุจอมตอง ในกาลต่อมา เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน (ไม่ระบุนาม) ได้เสด็จมาสักการะ และได้บูรณะปฎิสังขรณ์ และให้นามใหม่ว่าพระธาตุจอมทอง สถานที่แห่งนี้ได้รับประกาศชื่อเป็นโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2487”
หลังไหว้เสร็จ ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้รู้สึกอยากกวาดเศษใบไม้รอบบริเวณพระธาตุ ตอนนี้เสื้อเริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ก็รู้สึกดีจริงๆ เป็นส่วนเล็กๆ ที่ทำให้พระธาตุดูสวยงามขึ้น จากนั้นขับรถกลับเข้าที่พักอาบน้ำ และลงมาทานอาหารที่ตานงค์กับคุณป้าเตรียมไว้ให้ ว้าวว น้ำพริก แคปหมู ลาบหมู ไส้อั่ว น่าทานมากๆ อากาศก็เย็นสบายดี
ผมเห็นคู่ฝรั่งมานั่งทานที่โต๊ะข้างๆ ด้วย ไม่รู้ว่าจะทานได้หรือเปล่า แต่นี่แหละที่เค้าเรียกว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม (แอบสำนวนโบราณ 555) หนึ่งในเสน่ห์ของประสบการณ์โฮมสเตย์ ทานเสร็จก็ไปพักผ่อนเตรียมเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้
วันที่ 2 : อุทยานแห่งชาติดอยภูคา – จุดชมวิว – ที่พัก อ.บ่อเกลือ
เช้าวันใหม่กับวิวดวงอาทิตย์ ภูเขา และไร่ข้าวโพดที่อยู่ตรงหน้า ผมเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า เดินออกนอกรั้วไปตามทางถนนลูกรังสัมผัสชีวิตชนบทอันห่างไกลผู้คน
ผมถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยจนได้เวลาทานอาหารเช้า คุณป้าจัดข้าวต้มไรซ์เบอร์รี่ให้ ทานง่ายและหมดเร็ว รสชาติดีครับ จากนั้นได้เวลาร่ำลาคุณตากับคุณป้า เพื่อข้ามเขาไปอีกฝั่ง “ไว้มีโอกาส จะมาใหม่นะครับ”
การเดินทางที่ต้องหมุนพวงมาลัยไปมา เข้าเกียร์ต่ำเลี้ยวโค้งขึ้นเขา ไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ มองลงไปก็แอบหวิวๆ เหมือนกันนะ
(มีต่อ)