[CR] Travel Journals Book 5 สมุดบันทึกการท่องเที่ยว"แม่ฮ่องสอน" ปางอุ๋ง บ้านรักไทย เสาร์อาทิตย์ก็ไปได้ :)

ห่างหายไปนานมากก หลังจากเคยรีวิวไป 4 เล่ม
ที่หายไปปีกว่าเนี่ย ไปมีหนังสือเป็นของตัวเองมา 2 เล่มแหละ หลังจาก บก.สำนักพิมพ์บันมาเห็นแพรจากในรีวิวพันทิพย์นี่แหละ (ดีใจมากก)

กลับมาเล่มที่5 ทริปนี้เป็นอีกทริปที่กะว่าจะไปเล่นๆสั้นๆ แต่ดัน(ยาวและ)ชอบมากๆ ถ้าจะบอกว่าเป็นอีกทริปที่ดีที่สุดในชีวิตก็ไม่ผิดนะ
ขอเกร่นก่อน ทริปนี้เริ่มขึ้นแบบคนกรุเทพทั่วๆไปที่จะหาที่เที่ยวใกล้ๆช่วงเสาร์-อาทิตย์ (เพราะคู่หูอีกคน(แอม)ไม่อยากหยุดงาน และแพรเองก็ไม่อยากไปคนเดียว)
ดูรีวิวไปเรื่อยๆ ที่ใกล้และง่ายและไม่แพง หลังจากรวมหัวกันแล้วก็ตกลงปลงใจที่ 'เกาะล้าน' (ไม่ได้ใกล้เคียงกับปางอุ๋งเลยใช่มั้ย55)
แต่ด้วยความว่าง และยังไม่ค่อยพอใจกับเกาะล้านเท่าไหร่(ต้นปีแอบอยากไปหนาวๆ) ก็ไปเจอรีวิวของคุณ P l o Y ที่ไปปางอุ๋งเสาร์อาทิตย์
อ่านแล้วสนใจมากกก คือปางอุ๋งอยากไปมานานแล้ว แต่เข้าใจว่าไปยาก ต้องใช้เวลานาน เลยทำให้ไม่ได้ไปสักที จนมาเจอรีวิวที่ไปแค่เสาร์อาทิตย์นี่แหละเลยสนใจ สนใจปุ๊บก็ลืมเกาะล้านไปในทันที 555
แต่เท่าที่ได้อ่าน และมีโอกาสได้ inbox ไปคุยกับคุณพลอย คุณพลอยแนะนำว่าถ้ามีเวลาเหลือให้ไปบ้านรักไทยด้วย เพราะคุณพลอยมีเวลาแค่คืนเดียวเลยไม่ได้ไป เราเองเป็นพวกเที่ยวสายย้วยอยู่แล้ว แต่แอม(เพื่อนที่ไปด้วย)ต้องกลับมาทำงาน เราเลยต่อรองขอวันจันทร์อีกวันแล้วกัน จะได้เก็บบ้านรักไทยด้วยไหนๆก็ไปแล้ว...ตกลงตามนั้น!

เริ่มที่วันพฤหัสช่วงเช้า โทรไปจองตั๋วสมบัติทัวร์ และวันศุกร์เย็นเราออกเดินทางกัน!!
(ปุ๊ปปั๊ปสุดๆ พ่อแม่ยังงง55)


รูปแรก รูปนี้ฟิต วาดมันบนรถเลย ทั้งเบลอทั้งสั่น แถมยังมีจิ้มสีผิด(มันมืด) แต่ก็ได้ฟิลดีนะ
ใครที่คิดอยากจะนั่งรถทัวร์กรุงเทพ-แม่ฮ่องสอน ไม่ต้องไปหายี่ห้ออื่นเลย มียี่ห้อเดียว สมบัติเท่านั้น55
มีวันละ 2 รอบนะ รอบ4โมงกับ5โมงเย็น (แต่ถ้าจะขึ้นที่ศูนย์ตรงวิภาวดีรอบ5โมง20 คือรอบที่เราขึ้นนี่แหละ)
ค่ารถรอบนี้ 806 บาท หลังๆไปเชียงใหม่นั่งเครื่องบินนี่3-4ร้อยก็มี บางทีก็ 6 ร้อย พอเจอค่ารถทัวร์800กว่าบาทเลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่าลองหาตั๋วเครื่องบินดูดีมั้ยวะ ว่าแล้วก็ลองหาค่ะ กรุงเทพ-แม่ฮ่องสอน ต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่เชียงใหม่! และค่าตั๋วก็แพงงงไป สุดท้ายอย่าไปหาให้เสียเวลา มีทางเลือกเดียวนี่แหละ55
แต่ก็ต้องให้เค้าแหละ เพราะรถออก 5 โมงกว่า ถึงนู้นเกือบ9โมงเช้านะ 15ชั่วโมง O_o (แต่อย่าคิดมาก ถ้าคิดมากเดี๋ยวไม่ได้ไป)


'ยินดีต้อนรับสู่แม่ฮ่องสอน'
เราเลือกจะเดินทางขึ้นปางอุ๋งโดยรถตุ๊กๆ ซึ่งจริงๆเป็นทางเลือกที่แพงที่สุดเลย555 แต่จะได้แวะเที่ยวด้วย (รายละเอียดของตุ๊กๆจะอยู่หน้าถัดๆไปนะ)
เริ่มที่แรกเรามาแวะกันที่กะเหรี่ยงคอยาวบ้านห้วยเสือเฒ่า


ต่อด้วยวัดพระธาตุดอยกองมู เป็นวัดที่ถือว่าอยู่ในตัวเมือง แต่อาจจะต้องขึ้นเขาหน่อยๆ(ชาวบ้านบอกว่าฝรั่งชอบเดินขึ้นมาดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็น)
มีร้านกาแฟเล็กๆอยู่หลังวัด ที่จะมองเห็นวิวเมืองแม่ฮ่องสอนด้วย


อย่าเพิ่งตกใจนะ เรามาแวะ 'ภูโคลน' กัน
เค้าว่ามันมีเพียงแค่ 3 ที่ในโลกเท่านั้นแหละ ไหนๆมาถึงแล้วก็ลองเอามาพอกหน้ากันหน่อย
เค้ามีราคาเป็น set นะ ทั้งพอกหน้า และแช่เท้าในบ่อน้ำร้อน 100 บาท
แอมบอกว่าหลังจากพอกหน้าแล้ว สิวที่เคยบวมก็แห้งและแกะง่ายขึ้นด้วย เอ่อ เอาดิ... (อันนี้ใช้วิจารณญาณของแต่ละคนนะจ๊ะ555)


มาถึงพระเอกของเราวันนี้แล้ว 'ลุงจันทร์'
ลุงจันทร์ก็เป็นคนขับรถตุ๊กๆของเราวันนี้ จริงๆวิธีการขึ้นปางอุ๋งมีหลายวิธีนะ ถ้าจะเอาถูกสุดก็คือรถเหลือง 90 บาท รอที่ขนส่ง(ที่ลงรถทัวร์ได้เลย) พอคนเต็มรถก็ออก หรือจะเช่ามอไซค์ ก็วันละ 250 บาท เช่ากับลุงจันทร์ก็ได้เห็นแกมีอยู่คันนึง หรือร้านเช่าก็มี เป็นอีกทางเลือกที่เป็นที่นิยมนะ แล้วคิดว่าสนุกด้วย แต่ต้องขี่แข็งพอสมควร เพราะทางขึ้นปางอุ๋งก็ไม่ได้ใกล้ (ประมาณ2ชั่วโมง) และยังโค้งเยอะอีก
เราก็ว่าเราเลือกไม่ผิดหรอกที่มากับลุงจันทร์ เพราะเราขี่มอไซไม่แข็ง แถมยังอยากแวะเที่ยว แล้วที่สำคัญลุงจันทร์คอนเฟิร์มเลยว่านั่งตุ๊กๆขึ้นดอย'ไม่เมารถ'555 ราคาของลุงจันทร์จะเปิดมาที่ 1,600 บาทนะ รับได้มากสุด 4 คน สถานที่ที่ได้ไป หมู่บ้านกะเหรี่ยง//กินข้าวในเมืองมื้อเช้ากับกลางวัน//วัดพระธาตุดอยกองมู//ภูโคลน//พระตำหนักปางตอง//หมู่บ้านรักไทย//ปิดท้ายด้วยมาส่งเราลงที่ปางอุ๋ง


ถึงแล้วววเป้าหมายของเรา 'ปางอุ๋ง'
แต่กว่าจะถึงฟ้าก็เกือบจะมืดแล้ว มาถึงก็ติดต่อ(line)เพื่อให้เขาพาเราไปที่พัก คืนนี้เราพักกันแบบนอนเต็นท์ของอุทยานอยู่ริมน้ำเลย จะมีเต็นท์พร้อมเครื่องนอน 250 บาทสำหรับ2คน ถ้าไปหน้าหนาวแนะนำให้เอาผ้าห่มหรือถุงนอนไปเพิ่มนะ เพราะที่เค้าให้มาเอาไม่อยู่จริงๆ เตรียมไฟคาดหัวไปด้วยก็จะสะดวกขึ้น
พอเดินเอาของไปวางในเต็นท์เรียบร้อย ท้องก็เริ่มร้อง ตรงนั้นเหมือนใครๆก็กินปิ้งย่างกัน (แล้วก็เห็นขายแต่ปิ้งย่างนะ) ชุดละ 300 บาท พร้อมเตา เราก็จัดมา 1 ชุด หลังจากกินอิ่ม เราก็นั่งผิงไฟจากเตาถ่านปิ้งย่างนี่แหละ แม้จะดูเป็นมื้อธรรมดาๆ แต่ไม่รู้ทำไมเป็นอีกมื้อที่ประทับใจมากๆเลย มีอารมณ์เข้าค่ายเนตรนารีปนๆอยู่หน่อยๆ 55
ส่วนตอนเช้า จริงๆก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้6โมงกว่าๆ แต่นาฬิกายังไม่ทันปลุกดีหรอกก็มีเสียงยุกยิกๆใกล้ๆเต็นท์ พอเปิดออกไปก็ดูทุกคนพร้อมที่จะเก็บภาพหมอกลอยบนผิวน้ำกันหมดแล้ว55 สวยจริงๆแหละ ถ่ายรูปยังไงก็ไม่เหมือนตาเห็น เพราะที่เห็นมันได้รู้สึกไปด้วยแหละมั้ง
เช้านี้ค่อนข้างหนาวเลย เราถ่ายรูปแป๊ปนึงก็มาซื้อมาม่ากับโอวันตินไปนั่งริมน้ำ พอสายหน่อยหมอกก็หายเกลี้ยง เราก็เดินออกมาแถวหมู่บ้านกัน ปกติคนจะเยอะช่วงเช้ากับเย็นนี่แหละ กลางวันจะเงียบๆซึ่งชอบมากเลย เดินเล่นไปคิดไปว่าคืนนี้จะนอนในหมู่บ้านนี้ หรือไปบ้านรักไทยดี เพราะบ้านรักไทยต้องเหมารถเหลือง400บาท อันนี้คือประเด็นหลักที่ทำให้ลังเล555 จริงๆมันไม่ไกลมากนะ แค่10กว่าโล รถคิวจากขนส่งก็มีไป แต่จะมีแค่ขนส่ง-ปางอุ๋ง กับขนส่ง-รักไทย แต่เราก็ลืมคิดไปว่า จากปางอุ๋งไปรักไทยดันไม่มีซะนี่


ในที่สุดเราก็มาโผล่ที่บ้านรักไทย555
ด้วยเพราะหมู่บ้านไม่ใหญ่มากเราเลยไปเดินหลงป่ามา1รอบยังแค่บ่ายกว่าๆเอง ไม่รู้จะไปไหนต่อแล้ว555 ในที่สุดก็เดินมาเจอฮีโร่!
'พี่ดำ' พี่ดำกำลังเข็นรถขยะไปทิ้ง เราได้ยืนคุยกันนิดหน่อย และแอบปรึกษาว่าไปรักไทยยังไงดี พี่ดำตอบเราด้วยน้ำเสียงง่ายๆว่า "พี่ไปส่งให้ได้นะ"
(โอ้วมายก๊อด) "พี่คิดเท่าไหร่คะ" เราถามพี่ดำกลับไป "เท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่จะให้แล้วกัน" "แต่รถพี่เป็นมอไซนะ กระเป๋าเยอะมั้ยหละ"
เรากับแอมที่มีเป้กันคนละใบ เลยตัดสินใจอัด3กันไป ม่วนขนาดดด เราได้เติมน้ำมันให้พี่ดำและให้พี่ดำไป 200 บาท ซึ่งจริงๆพี่ดำบอกว่าร้อยเดียวก็พอ แต่เท่าที่นั่งมาก็ไม่ได้ใกล้เลยค่ะ เอาไปเถอะค่ะพี่ฮีโร่ของเรา
พอถึงรักไทยเราก็นอนเต็นท์อีกที่ต้าเหล่าซือคืนละ 500 บาทพร้อมเครื่องนอน (เครื่องนอนที่ให้ดูดีกว่าที่อุทยานพอสมควร555) เท่าที่ดูมาถ้าคิดจะนอนเต็นท์ที่นี่ดูจะวิวดีสุดนะ
ที่รักไทยบ่ายก็เดินเล่น จนมาเจอร้านชาร้านนี้ เจ้าของเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ชวนให้เข้าไปนั่งชิมชาที่ร้าน (ร้านอยู่ติดกับลีไวน์รักไทยร้านยอดฮิตเลย ทำให้วิวที่เห็นเป็นวิวเดียวกัน แต่ร้านจะดูธรรมดากว่า ซึ่งเราชอบแบบนี้555) มองไปบนโต๊ะพี่เค้ามีครกด้วย ซึ่งดูโคตรจะไม่เข้ากับทุกอย่างที่ขายในร้าน555 เลยปากไวถามไปว่า"พี่ขายส้มตำด้วยหรอคะ" เค้าก็ตอบแบบเขินๆนะ "อ่อ พี่ตำกินเองแล้วก็ขายชาวบ้านแถวนี้ แต่ถ้านักท่องเที่ยวอยากกินพี่ก็ขายนะ"
สรุปมื้อนี้ก็ได้จิบชาฟรี แกล้มด้วยส้มตำปู พร้อมกับเสพวิว รวมมื้อนี้ 40 บาทถ้วน
ปล.ตอนเย็นถ้าหนาวแนะนำให้เดินไปสุดเส้นถนนหลักจะเจอทางแยกมีร้านก๋วยเตี๋ยวยูนานอยู่ข้างซ้าย แพรกับแอมเดินผ่านไปเจ้าของร้าน(พี่ดา)ก็ชวนมานั่งผิงไฟ แล้วก็คุยกัน เม้าเรื่องคนทั้งหมู่บ้าน555 สนุกมาก หลายทีพอได้คุยกับชาวบ้านนี่แหละ ทำให้รู้สึกว่าเรามาถึงที่นั้นจริงๆแล้ว


กลับแล้วนะะะ รถเหลืองจากบ้านรักไทยเข้ามาฝนเมืองมีวันละรอบ ตอน8โมงเช้าาา (เช้ามากกกแต่เราก็ทันนะ)
ใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงก็มาถึงในเมือง เราขอลงที่ตลาดแล้วเดินเที่ยวในตลาดกัน
จนถึงบ่ายๆก็ไปที่ขนส่งเพื่อเตรียมตัวกลับรอบ4โมงเย็น
วันที่เราไปถึง เราซื้อตั๋วกลับไว้ แต่ตั๋วในวันจันทร์มีแค่ใบเดียว ว่างอีกทีคือวันพุธ ซึ่งเราก็ทำทุกวิถีทาง รอต่อคิวคนมาคืน หรือคนไหนจองไว้ไม่มารับตั๋ว จนนาทีสุดท้ายที่ไปรอ รอที่ขนส่งเพื่อสวดภาวนาให้คนมาขึ้นรถไม่ครบ! (ซึ่งโอกาสก็เป็นไปได้น้อยมาก) และสุดท้ายก็เป็นไปตามที่คาดไว้คือ "ไม่มีตั๋วรถ"
แพรก็ส่งแอมกลับกรุงไปก่อน ด้วยเหตุผลว่าแอมมีงานทำ555 ส่วนแพรเองก็อยู่ต่อแบบไม่ทันตั้งตัวมาก่อนเลยยยยย ต้องอยู่คนเดียวในเมืองที่ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่ อย่างแม่ฮ่องสอน แบบปุ๊ปปั๊ป ตอนแรกเศร้ามาก ไม่รู้จะทำไงดี
สุดท้ายก็เข้าเมืองมาเดินหาที่พัก ไปได้ที่จองคำเกสเฮ้าส์ คืนละ 250 บาท คิดว่าก็อยู่ๆไป 2 วันเดี๋ยวก็ได้กลับบ้าน แต่เมืองมันก็เล็กมาก จนไม่รู้ว่าจะทำอะไรถ้าต้องอยู่อีกตั้ง2วัน
เย็นวันนั้นด้วยความที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับแม่ฮ่องสอน(ในตัวเมือง) เลยตั้งใจจะปั่นจักรยานเที่ยวรอบๆ(ที่พักมีจักรยานให้ยืมด้วย) หลังจากปั่นเล่นอยู่เกือบ2ชั่วโมง เราได้รู้จักกันมากขึ้น เราเริ่มสนใจเมืองเล็กๆนี้เข้าแล้วหละ
วันต่อมาเรานั่งอยู่ที่พักครึ่งวันได้ ได้นั่งคุยกับคนห้องข้างๆ เขียนสมุด(หน้าด้านบนนี้แหละ) ค่อยๆเขียนค่อยๆวาดไป หิวก็ปั่นจักรยานไปหาอะไรกิน


ตอนเย็นเราได้มานั่งเล่นในสวนสาธารณะติดกับหนองจองคำ ตอนนั่งวาดรูปนี้นั่งอยู่ที่ท่าน้ำที่ยื่นเข้าไปในหนอง จริงๆไม่ได้ตั้งใจมานั่งวาดรูปนะ แต่บรรยากาศยิ้มโคตรดี จนอยากจะบันทึกเอาไว้ ถ่ายรูปแล้วก็ยังไม่หนำใจเลยนั่งวาดซะเลย มันเป็นความรู้สึกที่เราได้นั่งนิ่งๆมองทุกอย่างในเมืองเล็กๆนี้กำลังเคลื่อนไหว
พระอาทิตย์กำลังจะตก ถนนคนเดินกำลังตั้งแผง วัดกำลังเริ่มเปิดไฟ(ฝูงยุงจากในน้ำกำลังเริ่มขึ้นมาด้วย555)
จากเมื่อวานที่อยากจะหาตั๋วรถรีบกลับให้ได้
แต่พอได้อยู่จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะหลงเสน่ห์เมืองเล็กๆเงียบๆที่ดูเหมือนไม่มีอะไรได้


สุดท้ายแล้ว 2 คืนกับอีก3วันที่ตอนแรกไม่รู้จะทำอะไรเพราะเมืองมันเล็กมาก แต่เวลากลับผ่านไปเร็วมาก และเราก็เริ่มตกหลุมรักเมืองเล็กๆกับคนน่ารักๆในเมืองนี้เข้าให้แล้วจริงๆ จนมีความคิดอยากจะย้ายไปอยู่ และหน้านี้ก็เป็นแผนที่ในเมืองแม่ฮ่องสอนที่แพรไปปั่นจักรยานหลงและเดินหลงเจอมาค่ะ
ลองสรุปมาให้เห็นภาพคร่าวๆ
หลายครั้งนะ ที่เจอที่สวยๆแล้วถ่ายรูปเก็บไว้ เพื่อจำได้ว่าเคยไปมาแล้ว แต่อีกหลายครั้งเหมือนกันที่เราได้คลุกคลีกับอะไรสักอย่าง ซึ่งถ้าจะให้ถ่ายรูปเก็บไว้ก็ไม่ได้สวยงามอะไรหรอก แต่มันสะเทือนในความรู้สึก มันประทับใจจนไม่รู้จะเล่าออกมายังไง และทริปนี้คงเป็นอีกทริปที่รวมเอาทั้งสองอย่างนี้ไว้ด้วยกัน
ถ้าใครอยากลองมาอยู่นิ่งๆ นั่งคุยกับคนแปลกหน้าข้างๆ ปั่นจักรยานหลงๆไปกินอาหารอร่อยๆที่ราคาไม่แพง
แพรแนะนำเลย"แม่ฮ่องสอน"

และนี่คือทริปที่เริ่มต้นจากเกาะล้าน แต่มันเลยเถิดมาไกลขนาดนี้ได้ไงไม่รู้555
แต่เป็นอีกทริปที่เรียนรู้ว่าถ้าอยากเที่ยว อย่าไปคิดเยอะ! แค่เปิดใจ ทุกอย่างจะโอเค..

ฝากติดตามเพจบันทึกวาดๆเขียนๆของแพรด้วยนะคะ https://www.facebook.com/pairnotebook
หรือหนังสือ Kashmir if you can และ Knock Knock Kanto
ชื่อสินค้า:   แม่ฮ่องสอน, ปางอุ๋ง, บ้านรักไทย, ภูโคลน, ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่