การสอนว่า "รักษาศีลยังไม่ได้ ภาวนาเลย" อย่างนี้ชื่อว่า สอนตามพระพุทธเจ้าไหม ?

จากคลิปนี้
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
https://www.youtube.com/watch?v=yFY3-s3eSzA

พระในคลิป อ้างชื่อพระพุทธเจ้า สอนว่า.

"พุทธเจ้าบอก"  คนที่มารักษาศีล ๕ น่ะ เป็นบุญหมด เกิดบุญได้ทั้งหมด          
ฉะนั้น ถ้าเราต้องการสั่งสมบารมีให้กับตนเอง ให้ทำ ๓ อย่าง ทาน ศีล ภาวนา
โภคทรัพย์ ปัจจัยน้อย รักษาศีล นะ
รักษาศีลยังไม่ได้ ภาวนาเลย

-----------------

ถามว่า อย่างนี้ชื่อว่าสอนตามพระพุทธเจ้าไหม ?
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 23
https://www.youtube.com/watch?v=yFY3-s3eSzA
การสั่งสมบารมี ให้ตนเอง            ทาน ศีล ภาวนา           
พุทธเจ้าบอก คนที่มารักษาศีล ๕ น่ะ เป็นบุญหมด เกิดบุญได้ทั้งหมด          
ฉะนั้น ถ้าเราต้องการสั่งสมบารมีให้กับตนเอง ให้ทำ ๓ อย่าง          
ทาน ศีล ภาวนา  โภคทรัพย์ ปัจจัยน้อย รักษาศีล น่ะ          
รักษาศีลยังไม่ได้ ภาวนาเลย  
พุทธเจ้าบอกคนที่มารักษาศีล๕ น่ะ อานิสงส์ยังสู้ คนที่เจริญเมตตาชั่วเวลาสูดดมของหอมไม่ได้
และคนที่เจริญเมตตาชั่วเวลาสูดดมของหอม สู้ เจริญอนิจจสัญญาเห็นความไม่เที่ยงชั่วลัดนิ้วมือไม่ได้
นี่ขนาดการรักษาศีล มีอานิสงส์มากกว่าการให้ทานทั้งหมดเลยน่ะโยมให้ทานกับคนเป็นพันเป็นหมื่นเนี่ยะ  
พุทธเจ้าบอกมารักษาศีลครั้งเดียวได้เยอะกว่า
แต่การเจริญเมตตา ชั่วเวลาสูดดมของหอมแป้บเดียว มีอานิสงส์มากกว่าการรักษาศีล

อาตมาจึงบอก

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ถ้าโยมยังทำทานไม่ได้ โยมมารักษาศีล

ถ้ายังรักษาศีลไม่ได้ มาภาวนา  นั่งสมาธิเจริญเมตตา หรือเจริญ อนิจจสัญญา

เห็นความไม่เที่ยง ของอารมณ์ ว่า อารมณ์ ภายในจิตเรา
เดี๋ยวก็เกิด เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์สุขเกิดขึ้นเดี๋ยวก็ดับไป
ทุกข์เกิดขึ้นเดี๋ยวก็ดับไป เห็นการเกิดดับการเปลี่ยนแปลงของจิตอยู่ตลอดเวลาจิตโยมจะนิ่ง
และเป็นคนที่สงบ สังวร สำรวมอินทรีย์  และเป็นผู้ไม่ประมาท

...
จากคลิป ที่ ท่าน จขกท นำมาแสดง มีเนื้อความดังที่แสดงข้างบนนี้




พระในคลิป อ้างชื่อพระพุทธเจ้า สอนว่า.

"พุทธเจ้าบอก"  คนที่มารักษาศีล ๕ น่ะ เป็นบุญหมด เกิดบุญได้ทั้งหมด          
ฉะนั้น ถ้าเราต้องการสั่งสมบารมีให้กับตนเอง ให้ทำ ๓ อย่าง ทาน ศีล ภาวนา
โภคทรัพย์ ปัจจัยน้อย รักษาศีล นะ
รักษาศีลยังไม่ได้ ภาวนาเลย

-----------------

ถามว่า อย่างนี้ชื่อว่าสอนตามพระพุทธเจ้าไหม ?


จากการที่ได้ฟังคลิป และนำเนื้อความ ที่ นักบวชคึกฤทธิ์ แสดงไว้ ข้างบนนี้
นักบวช แสดงถึงการภาวนาโดย ไม่เน้นไปที่การรักษาศีลให้ครบ
---> รักษาศีลไม่ครบ คือ ยังรักษาศีลไม่ได้ ก็ให้ ภาวนาเลย
โดยมุ่งหวังให้ได้อานิสงส์ที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้น และยังบอกตอนท้ายอีกว่า
จะเห็นการเกิดดับ !!!
***
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักสัมมา 8 ประการ คือ
สัมมาทิฏฐิ       สัมมาสังกัปโป    สัมมาวาจา    สัมมากัมมันโต
สัมมาวายามา   สัมมาอาชีโว      สัมมาสติ       สัมมาสมาธิ

คือเริ่มจากสัมมาทิฏฐิ-จนถึง สัมมาสมาธิ

ความเห็นว่า ศีลไม่ครบแล้วภาวนา อนิจจสัญญา หวัง(โลภ) จะได้อานิสงส์ที่สูง
อย่างนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ  หรือ  มิจฉาทิฏฐิ
เมื่อมีความคิด ทิฏฐิ เช่นนี้ จะเกิดสัมมาสมาธิ ได้อย่างไร ?




[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้




-----
การรักษาศีล และการทำความเห็นให้ตรง
อ่านเพิ่มเติม จากกระทู้นี้
เธอจงชำระเบื้องต้นของกุศลธรรม ให้บริสุทธิ์เสียก่อน ...เบื้องต้นของกุศลธรรม คือ ศีลที่บริสุทธิ์ดี และ ความเห็นที่ตรง
http://pantip.com/topic/32756854




ความคิดเห็นที่ 21 การนำ เวลามสูตร มาแสดงนั้น
เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงอานิสงส์
พระพุทธเจ้ามิได้แสดงตรงไหนเลยว่าให้ข้ามขั้นตอนการรักษาศีล

"มือถือสาก ปากถือศีล"

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ผมยังค้นไม่พบคำสอน ในพระไตรปิฏก ว่า พระพุทธเจ้า สอนให้ทำภาวนาโดยไม่ต้องรักษาศีล
หรือถ้า ท่านใด ค้นหาเจอ ก็นำมาแสดง นะครับ.


การอ้างพระพุทธเจ้า สอนว่า

"พุทธเจ้าบอก"  คนที่มารักษาศีล ๕ น่ะ เป็นบุญหมด เกิดบุญได้ทั้งหมด          
ฉะนั้น ถ้าเราต้องการสั่งสมบารมีให้กับตนเอง ให้ทำ ๓ อย่าง ทาน ศีล ภาวนา
โภคทรัพย์ ปัจจัยน้อย รักษาศีล นะ
รักษาศีลยังไม่ได้   ภาวนาเลย

จึงเป็นการอ้างที่ผิด แสดงถึงความโลภในอานิสงส์

ขอบคุณครับ
ยามประจำวัน.
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 38
[๗๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ......

ดูกรอานนท์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ทุศีล  
แต่รู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ --> อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งความเป็นผู้ทุศีลของเขา
ตามความเป็นจริง

-----(ความเห็นของผู้เขียน เมื่อความทุศีลของบุคคลนั้นดับโดยไม่เหลือแล้ว  ต่อมา) -----

บุคคลนั้น กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง
             กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต แทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ
             ย่อมได้วิมุตติแม้อันเกิดในสมัย
             เมื่อตายไป เขาย่อมไปทางเจริญ ไม่ไปทางเสื่อม
             ย่อมถึงความเจริญอย่างเดียว ไม่ถึงความเสื่อม

ตอนท้ายของพระสูตร

ดูกรอานนท์ ---> บุรุษชื่อปุราณะเป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นใด
                ---> บุรุษชื่ออิสิทัตตะก็เป็นผู้ประกอบด้วยศีลเช่นนั้น

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=24&A=3248




ความเห็นของผู้เขียน
ความหมาย :  แม้ว่าแต่เดิม เขาทุศีล แต่เขารู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ
ความรู้ชัดซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ นี้ ทำให้ความทุศีลของเขาดับไป
เขาจึงกลายเป็นผู้มีศีล
เมื่อเขามีศีล
ต่อมา บุคคลนั้น กระทำกิจแม้ด้วยการฟัง
         บุคคลนั้น กระทำกิจแม้ด้วยความเป็นพหูสูต  และ จึงแทงตลอดด้วยดีแม้ด้วยทิฐิ




คำพูดของ นักบวชคึกฤทธิ์ ที่กล่าวตามคลิปต้นกระทู้ แสดงถึงความโลภในอานิสงส์
(ที่ต้องการอยากได้อานิสงส์จากการเจริญอนิจจสัญญา จนถึงขั้นเห็นการเกิดดับ)
เกินกว่าการรักษาศีล จึงได้กล่าวข้ามขั้นตอน

------------

เป็นที่ทราบกัน ว่า พระพุทธเจ้า ไม่กล่าวขัดแย้งกัน
เว้นแต่ ผู้ศึกษา จะตีความขัดแย้งกับการสอนของพระพุทธเจ้า

กรณี พุทธพจน์ ในมิคสาลาสูตร
ถ้า ผู้ทุศีลนั้น ไม่ดับศีลที่ตนเองทุศีลเสียก่อน แล้วต่อมาบรรลุธรรม
ก็เป็นการกล่าวขัดแย้งกับพระสูตรอื่น ๆ

เช่น.

ภิกษุนั้นทูลวิงวอนว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมโดย ย่อแก่ข้าพระองค์
ขอพระสุคตโปรดแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์
แม้ไฉน ข้าพระองค์พึงรู้ ทั่วถึงเนื้อความแห่งภาษิตของพระผู้มีพระภาค
แม้ไฉน ข้าพระองค์พึงเป็นทายาทแห่งภาษิตของ พระผู้มีพระภาค.              

[๖๘๗] พระพุทธเจ้า.    ดูกรภิกษุ เพราะเหตุนั้นแหละ
เธอจงยังเบื้องต้นในกุศลธรรมให้บริสุทธิ์ ก่อน
เบื้องต้นของกุศลธรรมคืออะไร? คือ ศีลที่บริสุทธิ์ดี และความเห็นตรง
เมื่อใด ศีล ของเธอจักบริสุทธิ์ดี และความเห็นของเธอจักตรง
เมื่อนั้น เธออาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ โดยส่วน ๓ สติปัฏฐาน ๔ เป็นไฉน?

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค  ข้อ ๖๘๖-๖๘๗
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=19&item=686&items=12&preline=0




มหาจัตตารีสกสูตร(บางส่วน)

[๒๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ
             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ
อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย
พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่าชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
            
[๒๕๓] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ

--> สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ
-->สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
-->สัมมาวายามะ สัมมาสติ
เป็นไฉน...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%C1%CB%D2%A8%D1%B5%B5&book=9&bookZ=33&original=1




จาก มหาจัตตารีสกสูตร การเกิดสัมมาสมาธิ มีองค์ประกอบจากอะไร ?

เจตนางดเว้น   คืออะไร ?

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

สมณสูตร
             [๕๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
กิจของสมณะที่สมณะควรทำ ๓ อย่างนี้ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ
การสมาทานอธิศีลสิกขา ๑
การสมาทานอธิจิตตสิกขา ๑
การสมาทานอธิปัญญาสิกขา ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ  ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิศีลสิกขา
เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิจิตตสิกขา
เราจักมีความพอใจอย่างแรงกล้าในการสมาทานอธิปัญญาสิกขา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษา เช่นนี้แล ฯ

ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=12&A=1024&Z=1135

--

ผู้ไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา

            [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์  -->  ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


พฤติกรรม นักบวช คึกฤทธิ์ ที่นี่
http://pantip.com/topic/34630949/comment2

.
ความคิดเห็นที่ 30
ผู้ไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขา

             [๑๖๖] ดูกรภัททาลิ
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขาในศาสนาของพระศาสดา
เธอมีความดำริอย่างนี้ว่า
ถ้ากระไร เราพึงเสพเสนาสนะอันสงัด คือ
ป่าโคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟางเถิด
บางทีเราพึงทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษ คือ
ความรู้ความเห็นของพระอริยะผู้สามารถยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ได้ดังนี้.
เธอเสพเสนาสนะอันสงัด คือ
ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง
เมื่อเธอหลีกออกอยู่ด้วยประการนั้น
พระศาสดาก็ทรงติเตียนได้
เพื่อนพรหมจรรย์ผู้รู้ทั้งหลายใคร่ครวญแล้วก็ติเตียนได้
เทวดาก็ติเตียนได้ แม้ตนเองก็ติเตียนตนได้
เธออันพระศาสดาติเตียนบ้าง
เพื่อนพรหมจรรย์ผู้รู้ทั้งหลายติเตียนบ้าง
เทวดาติเตียนบ้าง ตนเองติเตียนตนบ้าง
ก็ไม่ทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษ
คือความรู้ความเห็นของพระอริยะผู้สามารถยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ได้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
ดูกรภัททาลิ ข้อนั้นเป็นเพราะ
ภิกษุไม่ทำให้บริบูรณ์ในสิกขาในศาสนาของพระศาสดา.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=13&item=166&items=12&preline=0
ความคิดเห็นที่ 29
ขออนุญาตตอบ ตามความคิดเห็นที่ 20 หน่อยนะครับท่านว่า  พระพุทธเจ้าตรัสว่า รักษาศีล 5 ถือว่าเป็นมหาทาน นั้นมีจริง แต่ภาวนาโดยไม่มีศีลนำ ตามคำสอนของท่านคึกฤทธิ์ ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้ามีที่ไหน คนต้องมีกุศลจิตอันประเสริฐเกิดก่อน การภาวนาอันประเสริฐจึงจะเกิดตามขึ้นได้ ศีลเปรียบเหมือนน้ำที่ใช้ล้างชาม คนจะเอาชามไปใส่อาหารกิน ก็ต้องล้างชามให้สะอาดก่อน คนใดใช้ชามที่สกปรกไปใส่อาหาร แม้ว่าอาหารจะดี แต่ก็มีพิษ เพราะฤทธิ์แห่งความสกปรกที่ติดชาม คนมีอกุศลจิตเกิด การภานาก็เกิดได้ แต่การภาวนาจะกลาย เป็นไปให้เกิดอกุศลจิตที่เลวร้ายและรุนแรงยิ่งขึ้น  เช่นคนเล่นเดรัจฉานวิชา คนทำไอ้งั่ง อีเป้อ คนพวกนี้เขาก็มีการภาวนากันทั้งนั้นแหละครับท่าน ไม่ต้องมีศีลธรรมอะไร แต่มันใช่พระพุทธศาสนาเสียเมื่อไรเล่าครับท่าน
จากข้อความที่ว่า   ..เมื่อภาวนา รู้ลมหายใจ จนปราศจากนิวร ก็ถือว่าไม่ได้ทำบาปอกุศลทั้งปวง ก็ถือว่ารักษาศีลไปในตัว...คำสอนนี้ท่านได้แต่ใดมา  หรือใครสอนท่านอย่างนี้หรือครับท่าน อย่าบอกนะครับว่าท่านคึกฤทธิ์สอนท่านมาอย่างนี้  ท่านรู้หรือไม่ว่านิวรณ์คืออะไร ธรรมอะไรเป็นคู่ปรับ ดับนิวรณ์แต่ละอย่าง นิวรณ์บางอย่างเช่นกามฉันทะ พยาบาทระงับดับได้ด้วยศีล   คนใดไม่มีศีลเป็นเครื่องนำ  ภาวนาอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ นิวรณ์อะไรก็ดับไม่ได้ การพูดว่า ภาวนารู้ลมหายใจ จนปราศจากนิวรณ์ นั้นมันมั่วมาก ๆ เลยครับท่าน  คำพูดแบบนี้ เป็นคำพูดของคนไม่เคยภาวนา อ่านแต่จากตำรา ของคึกฤทธิ์มาอย่างเดียว คนอะไรเอาแต่จะโกงธรรมะมาขาย จะเอาแต่ภาวนา ไม่เอาศีล ถือว่าถ้าภาวนาได้ ศีลก็จะได้ไปด้วย ...ถ้าถือว่า  รู้ลมหายใจได้แล้ว ก็ถือว่ารักษาศีลแล้ว  ถ้าเช่นนั้นจะรักษาศีลกันทำไม นั่งรู้ลมหายใจก็พอ อย่างท่านคึกฤทธิ์ ก็ไม่ต้องโกนหัวให้โล้นให้ยุงกัดกะบาลแล้ว ไม่ต้องห่มผ้าเหลืองแล้ว พระวินัยก็ไม่ต้องถือกันแล้ว มีเมียก็ได้แล้ว เพราะมีเมียแล้ว ลมหายใจก็ไม่ได้หนีหายไปไหน ก็ตามรู้ดูลมหายใจได้เหมือนกัน แหละครับท่าน  ..คงจะเป็นเพราะความคิดแบบนี้แหละกระมัง ที่ทำให้ท่านคึกฤทธิ์ลดศีล 227 เหลือ 150 ถ้าลดเป็น 0 ได้ ก็คงจะลดไปแล้วแหละกระมังครับท่าน เหตุก็เพราะ ไม่รู้ว่าศีลคืออย่างไรนั่นแหละครับท่าน ..คนที่โกงธรรมะของพระพุทธเจ้าเอาไปขาย คนที่บิดเบือนธรรมะของพระพุทธเจ้า เขาไม่เรียกว่าพระกันหลอกครับท่าน....
ความคิดเห็นที่ 5
สร้างบ้านไม่มีรากฐาน ก็พัง

เรียนไม่มีพื้น ก็ไปไม่ไหว

เล่นกีฬาพื้นฐาน ร่างกายไม่ดีก็ไม่รอด

ทุกอย่างต้องมีพื้นฐานทั้งนั้นครับ
---------------------------------
รักษาศีลยังไม่ได้ ภาวนาเลย ->ถ้าไม่มีศีลเลย ทำไม่ได้หรอกครับ

*แต่ในความเป็นจริง ขณะภาวนา ส่วนมาก
มักจะไม่ได้ทำผิดศีลอยู่ในช่วงเวลานั้นอยู่แล้ว
จึงมีศีลอยู่ในตัว เพียงแค่ไม่ได้ตั้งใจรักษา

แต่ศีลนั้น ก็จะไม่มีกำลังเข้มเเข็งเท่า ศีลที่ตั้งใจรักษา

สรุป ระยะยาวการตั้งใจรักษาศีล ดีกว่า ด้วยประการทั้งปวงครับ
ความคิดเห็นที่ 25
ความคิดเห็นที่ 24
สรุปความเห็นของคนข้างบนว่า
  คนจนๆ อย่างบังอาจรักษาศีล ถ้ายังไม่มีปัญญาให้ทาน
  ปุถุชนคนทั่วไปกว่า 99% อย่างบังอาจ นั่งรู้ลมหายใจตัวเองเข้า-ออก ถ้ายังไม่มีปัญญารักษาศีล 5 ให้ปริบูรณ์

และด้วย ทิฐิมานะ พยาบาท เกลียดชัง ของคนข้างบน
ถึงกับต้องประดิษฐ์คำว่า "โลภ" ยัดใส่ปากพระ
เพื่อทำลายเจตนาที่ดีของพระที่ต้องการสอนให้คนเริ่มต้นเจริญสติ รู้ลมหายใจตัวเอง โดยไม่ต้องมีข้ออ้างว่ายังรักษาศีล 5 ยังไม่ได้

นอกจากจะปัญญาอ่อน มือถือสากปากถือศีลแล้ว ยัง มีความอาฆาตพยาบาทเบียดเบียนด้วย
ตอบกลับ
0 0  
สมาชิกหมายเลข 1651782  
50 นาทีที่แล้ว
แสดงความคิดเห็น




คุณสมาชิก 1651782
ทานมีอะไรบ้าง ? คนจนให้ทานได้หรือไม่. ?
ศึกษาจากพุทธพจน์นี้.


[๓๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทาน ๒ อย่างนี้ ๒ อย่างเป็นไฉน คือ
อามิสทาน ๑ ธรรมทาน ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทาน ๒ อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทาน ๒ อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=20&item=386&items=12&preline=0

๙. ทานสูตร
             [๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทาน ๒ อย่างนี้ คือ
อามิสทาน ๑ ธรรมทาน ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทาน ๒ อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแจกจ่าย ๒ อย่างนี้ คือ
การแจกจ่ายอามิส ๑ การแจกจ่ายธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาการแจกจ่าย ๒ อย่างนี้
การแจกจ่ายธรรมเป็นเลิศ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอนุเคราะห์ ๒ อย่างนี้ คือ
การอนุเคราะห์ด้วยอามิส ๑ การอนุเคราะห์ด้วยธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาการอนุเคราะห์๒ อย่างนี้ การอนุเคราะห์ด้วยธรรมเป็นเลิศ ฯ

พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ตรัสทานใดว่าอย่างยิ่ง ยอดเยี่ยม
พระผู้มีพระภาคได้ทรงสรรเสริญการแจกจ่ายทานใดว่าอย่างยิ่ง ยอดเยี่ยม
วิญญูชนผู้มีจิตเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และพระอริยสงฆ์ผู้เป็นเขตอันเลิศ
รู้ชัดอยู่ซึ่งทานและการ แจกจ่ายทานนั้นๆ
ใครจะไม่พึงบูชา (ให้ทาน) ในกาลอันควรเล่า
ประโยชน์อย่างยิ่งนั้น ของผู้แสดงและผู้ฟังทั้ง  ๒
ผู้มีจิตเลื่อมใสในคำสั่งสอนของพระสุคตย่อมหมดจด
ประโยชน์อย่างยิ่งนั้น ของผู้ไม่ประมาทแล้วในคำสั่งสอน ของพระสุคต ย่อมหมดจด ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=6453&Z=6470




ดู อ่านให้ดี ๆ

ธรรมทาน    ไม่ใช่     อธรรมทาน




ช่วยหา พุทธพจน์ ที่บอกว่า

"พุทธเจ้าบอก" คนที่มารักษาศีล ๕ น่ะ เป็นบุญหมด เกิดบุญได้ทั้งหมด          
ฉะนั้น ถ้าเราต้องการสั่งสมบารมีให้กับตนเอง ให้ทำ ๓ อย่าง ทาน ศีล ภาวนา
โภคทรัพย์ ปัจจัยน้อย รักษาศีล นะ
รักษาศีลยังไม่ได้   ภาวนาเลย

หากหาคำสอนเช่นนี้ของพระพุทธเจ้า ไม่พบ

แสดงว่า นักบวชนี้ โลภในอานิสงส์
จนถึงขั้นยัดคำของตนเองใส่พระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้า

.
ขอบคุณครับ.
ยามประจำวัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่