ตำนานเสี่ยโรงเหล้า ตอนแรก

กระทู้สนทนา
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย

ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ
สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย
ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป

ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ




นั่งอ่านบทกวีสุนทรภู่เลยจำเรื่องราวนิทานขึ้นมาได้

เช้ามืดวันเสาร์เวลาประมาณหกโมงเช้าเศษ ๆ
ที่วัดโพธิธรรมวรวิหาร กรุงเทพธานี ฯ
ก๊อก ๆ ๆ ๆ เสียงเคาะประตูกุฏิ คณะ ๕ ของวัด

" หลวงพี่ ๆ ๆ ครับ " เสียงเรียกจากภายนอก

" เดี๋ยว ๆ ขอนุ่งจีวรก่อน " เสียงในห้องตอบออกมา

" ครับ ผมเริญจะมาเอารถเข็นขายของครับ " มีเสียงเรียกเข้ามา

" อ๋อ เริญ เหรอ เดี๋ยวหลวงพี่ไปหยิบกุญแจก่อนนะ "
หลวงพี่ตอบพร้อมกับเอามือควานหากล่องกุญแจในห้องนอน
แล้วเดินออกมาหลังจากนุ่งห่มครองจีวรเรียบร้อยแล้ว
พร้อมกับนั่งบนชานพักด้านนอกกุฏิ

เริญ ก้มลงกราบหลวงพี่ก่อน
แล้วเดินตามท่านไปเอารถเข็น

" เป็นไง เริญ เห็นขายมาหลายปีแล้ว รวยแล้วยังละ "
หลวงพี่ถามเริญ

" พอไปได้ครับ หลวงพี่
แต่คงจะไม่มาขายอีกแล้วในเดือนหน้าครับ "
เริญตอบหลวงพี่

"ทำไมละ เบื่อแล้วเหรอ หรือ รวยแล้วซิ "

" เปล่าครับ หลวงพี่
ผมได้งานประจำต้องทำตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์
ส่วนวันอาทิตย์ก็ต้องช่วยพ่อผัดหอยทอด
เป็นงานล้างขวดเบียร์ ขวดเหล้า ที่ร้านแถวทรงวาด
แล้วนำไปขายโรงงานเหล้าโรงงานเบียร์ครับ "
เริญ บอกหลวงพี่พร้อมกับ
ค่อย ๆ รุนรถเข็นขายของเบ็ดเตล็ดออกมา

" ขยันจริงนะเรา แล้วเมื่อไรจะแต่งงานละ "
หลวงพี่หยอกเย้า

เริญยิ้มอาย ๆ พร้อมกับหน้าแดง บอกว่า
" ยังไม่มีแฟนครับ ใครจะมาแต่งกับผม คนจน ๆ "

" โชควาสนาคนเราไม่แน่หรอก แล้วแต่บุญแต่กรรม
อาตมาดูโหงวเฮ้งเริญ หน้าตาอิ่มเอิบ ถ้าอ้วนกว่านี้
บุคคลิกก็ดี สุภาพเรียบร้อย คนแบบนี้คนรวยชัด ๆ
ลูกศิษย์อาตมาที่รวย ๆ หลายคนก็หน้าตาแบบนี้ละ "
หลวงพี่บอกกับเริญ

"สมพรปากนะครับ หลวงพี่

เย็นนี้ผมคงไม่เอารถมาฝากหลวงพี่ที่วัดแล้วนะครับ
มีคนเซ้งรถเข็นของผมต่อแล้ว
เห็นว่าจะไปฝากที่วัดพระมหาธาตุศรีวรวิหาร
ที่กุฏิเดียวกับสุธนที่เป้นลูกศิษย์วัดอาศัยอยู่ครับ
ผมขอบคุณหลวงพี่มากที่อนุเคราะห์มาหลายปี
ไว้ผมได้เงินค่าเซ้งจะมาทำบุญให้หลวงพี่นะครับ "
เริญตอบหลวงพี่

" ไม่ต้องหรอกเริญ เก็บเงินไว้เถอะ
เธอยังต้องใช้จ่ายอีกมาก
ไว้เริญรวยวันไหน
อย่าลืมทำบุญให้คนอื่นที่ตกยาก
กับวัดที่ลำบากด้วยก็แล้วกัน

อาตมาพออยู่พอกิน
เป็นพระลูกวัดนี่ก็ดีอย่าง
ไม่ต้องปวดหัวกับการบริหารกับพวกลูกวัด
นึกอยากจะไปไหนก็ง่าย
ไปง่าย ๆ แบบพระสงฆ์
ที่มีอัฏฐบริขารแปดก็พอแล้ว

ใครจะนิมนต์หรือเชิญไปทำอะไร
ตราบเท่าที่ไม่ขัดพระธรรมวินัย
อาตมาก็ยินดีไปทำให้
กะว่าไม่นานอาตมาคงไปธุดงค์วัตร ไปปลีกวิเวก
เพื่อปฏิบัติธรรมตามพระพุทธศาสนาต่อไป

ขอให้เริญเจริญ ๆ และร่ำรวยนะ
ถ้ามาที่วัดวันหลังไม่เจออาตมา
ก็แสดงว่าอาตมาไม่ไปปลีกวิเวก
ก็สิ้นบุญทางศาสนาพุทธก็แล้วกัน (ไม่ตายก็สึก) "
หลวงพี่กล่าวกับเริญ

" ผมขอกราบหลวงพี่อีกครั้งนะครับ
เพราะคงจะมาหาหลวงพี่ได้ยากขึ้น
ทั้งเวลากับงานคงมัดตัวมากขึ้นครับ "
เริญตอบพร้อมกับหลวงพี่นั่งให้กราบ
ก่อนแยกย้ายไปทำกิจของแต่ละคนต่อไป




เริญรุนรถเข็นขายของเบ็ดเตล็ดไปที่สนามหลวง
ในยุคนั้นยังเป็นตลาดขายของให้ชาวบ้านเริ่มตั้งแต่เย็นวันศุกร์
พ่อค้าแม่ขายเริ่มมาจับจองสถานที่ได้จับสลากและระบุช่องไว้
มีจุดเขียนไว้บนฟุตบาต กับต้นมะขามสนามหลวงเป็นหลักสังเกต
เริ่มเปิดขายกันจริง ๆ ก็เช้าวันเสาร์อาทิตย์จนตกค่ำมืด

พ่อค้าแม่ขายหลายคนก็นอนค้างกันที่แผงขายของ
ตั้งแต่เย็นวันศุกร์จนถึงค่ำคืนวันเสาร์
พอตกค่ำวันอาทิตย์ก็ค่อยขยับขยายกลับบ้านกัน
ส่วนใครมีรถยนต์หรือหารถรับจ้างได้ ก็ขนของกลับบ้าน
บางคนก็นำของไปฝากบ้านหรือร้านค้าแถวนั้น
เลยมีกิจการให้เช่าพื้นที่ฝากสินค้ากัน
ที่ทุนน้อยหรือรู้จักกับพระลูกวัดก็ฝากของไว้ที่วัดแถวนั้น
พอวันเสาร์อาทิตย์ก็ไปเอาข้าวของออกมาขาย
เหมือนเพื่อนสนิทชายอีกคนที่มีชื่อเล่นว่า สุธน

มหาวิทยาลัยสนามหลวง
เป็นมหาวิทยาลัยชีวิตของคนไทย
ที่เคี่ยวกรำสร้างคนเก่งคนแกร่งมามากต่อมาก
หรือต้องล้มหายตายจากไปก็มากมาย
เรียกว่าใครไม่ทันก็เป็นคนล้มตาย




สุธนมาเป็นลูกศิษย์วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร
เพราะมีเพื่อนมาบวชเป็นพระเรียนเปรียญธรรมที่นี่
เลยได้พลอยอยู่ที่วัดแห่งนี้
แล้วลงเรียนมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
พร้อมกับทำหน้าที่ในตอนเช้าฐานะลูกศิษย์วัด
กับทำหน้าที่ในวัดให้เสร็จก่อนไปเรียนทุกวัน

เหมือนท่านอดีตนายกชวน
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ก็เป็นลูกศิษย์วัดมหากัลยาณมิตรวรวิหารที่ฝั่งธน
ตั้งแต่มาเรียนเพาะช่างที่กรุงเทพธานี ก่อน
ทำให้ท่านวาดรูปเขียนรูปได้สวยงามมาก
เคยนำไปประกวดกับให้ประมูลภาพเขียนของท่าน
ต่อมาท่านมาสมัครเรียนนิติศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยในยุคที่ยังเป็นมหาวิทยาลัยเปิด

เพราะวิชาที่ชื่นชอบกับวิชาทำมาหากิน
มักจะเป็นคนละเรื่องราวเดียวกัน
มีน้อยคนนักที่จะได้เรียนวิชาที่ชื่นชอบ
กับวิชาชีพทำมาหากินในวัยเยาว์ได้พร้อมกัน

สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จในวิชาที่ชื่นชอบ
ก็มักจะคุยโวโอ้อวดเสียงดังกว่าคนอื่น
แล้วเที่ยวด่าคนอื่นว่า อ้ายกระจอก
เพื่อยกหัวชูหางชูขนตนเองว่าเหนือกว่าคนอื่น ๆ
ดังจะเห็นได้จากคลิปรายหนึ่ง
ที่ชอบด่าคนอื่นว่า พวกมะรึง กระจอก
เลยตัวทำแบบ กระจอก กระจอก
สรุปต้องเก่งแบบข้าเฟ่ย




สุธนเพื่อนแกต้องดิ้นรนมาก
เพราะพ่อแกมีเมียใหม่พร้อมมีลูกอีกโขยง
แกเลยต้องส่งเสียตนเองเรียน
ในยุคนั้นยังไม่มีเงินกู้เพื่อการศึกษา
หรือกู้เพื่อไปเรียนก่อนจบแล้วค่อยใช้หนี้

พอถึงวันเสาร์อาทิตย์
สุธนก็ต้องหอบหิ้วน้ำมันหมูกับกะทะใบบัว
ไปทอดข้าวเกรียบสงขลาขาย
เป็นข้าวเกรียบปลาหรือกุ้ง แบบตากแห้งมา
ที่พี่สาวคนโตแกส่งมาทางรถไฟ
สายสงขลา-กรุงเทพ รถไฟจะถึงประมาณเที่ยงวันวันศูกร์
โดยแอบวางไว้ที่บนที่วางกระเป๋า
ตรงตู้โดยสารชั้น 2 หรือ 3 ตู้คันที่ 5
วางสลับไปมาไม่วางติดกันแบบ 1 2 3
แบบตู้โดยสารชั้น 1 3 3 2 3 3 เป็นต้น

สมัยนั้นขบวนรถไฟวันหนึ่งอย่างมาก
ก็ไม่เกิน 10 ตู้โดยสาร มีชั้น 1 ชั้น 2
ต่อเที่ยวไม่เกินกว่า 2-3 ตู้
ตู้ที่เหลือมักจะเป็นตู้ชั้น 3 ราคาถูกที่สุด

สงขลา มาจากภาษาขอมว่า เสือปลา หรือ กรงดักเสือ
ตามคำบอกเล่า มหาปแฏง บุญเรือน คชมาย์
ที่หัวเขาแดงก็มีศาลาหลบเสือ
ที่อดีตเจ้าเมืองสงขลาสร้างไว้
ให้คนเดินทางพักผ่อนกับเข้าไปหลบเสือได้


ศาลา หรือ หราหลบเสือ ที่สงขลา ที่มา http://goo.gl/mnzDKq
ถ้าพี่สาวแกเจอคนรู้จักก็ฝากให้ช่วยดูแลด้วย
สินค้าข้าวเกรียบก็เป็นของพื้นบ้าน
มีมูลค่าราคาน้อยมากในยุคนั้น
กับต้องนำมาทอดก่อนจึงจะกินได้
ทำให้เวลาส่งมาของมักจะไม่สูญหาย
คนก็ไม่อยากขโมยเพราะขายก็ยาก
คนไม่ค่อยนิยมกินกันในสมัยนั้น
บางคนเห็นก็ไม่รู้ว่าอะไรแข็ง ๆ
เคี้ยวก็ลำบาก กลิ่นแปลก ๆ ทะยิ้ม

นายตรวจรถไฟก็ไม่ค่อยสนใจมาก
เพราะเป็นของกินราคาถูกในยุคนั้น
ไม่มีสภาพอันตรายอย่างใด
ข้าวเกรียบเป็นของชิ้นเล็ก ๆ ก็จริง
น้ำหนักแม้เพียงหนึ่งกิโลกรัม
แต่เวลาทอดจะฟูฟ่องแผ่นใหญ่มาก

สุธนจะไปรอรับของที่สถานีหัวลำโพงทุกวันศุกร์
โดยขึ้นไปบนตู้คันที่ 5 ตรงเป้าหมายเลย
แล้วค้นหาของที่พี่สาววางไว้บนที่วางของ
พอเจอของที่พี่สาวฝากส่งมาให้
ก็นำขึ้นรถเมล์กลับไปที่กุฏิวัดเลย
รอที่จะนำมาทอดขายในวันหยุด
ทำแบบนี้ก่อนที่จะมีระบบ
หรือการเรียนรู้เรือง Logistics




ในยุคนั้น รถไฟไทยยังใช้ไม้ฟืนอุ่นหม้อไอน้ำ
จำได้ว่าเคยเดินทางจากหาดใหญ่มากรุงเทพฯ
ใช้เวลาเดินทางถึง 22 ชั่วโมง
เรียกว่าออกรถกันก่อนเที่ยงวัน
กว่าจะถึงกรุงเทพ ฯ ก็ราว ๆ 4 โมงเช้า
เผลอ ๆ เที่ยงวันของอีกวัน
เรียกกันว่า ข้ามวันข้ามคืนเวลาไปกรุงเทพฯ

เพราะรถไฟเสียเวลารอสับหลีกกับรถสินค้า
หรือตอนวิ่งขึ้นทางชันตรงแถวชุมทางเขาชุมทอง
ต้องมีหัวรถจักรอีกคันดันท้ายจึงจะวิ่งผ่านหุบเขาได้
ถ้าไม่มีหัวรถจักรดันหลังก็ต้องรอกว่าจะได้อีกคันมาดัน
ทำให้เสียเวลาในจุดนี้ส่วนหนึ่งมาก
ก่อนที่จะนำหัวรถจักรดีเซลมาใช้เวลาต่อมา

ระบบ Logistics ที่ยอดเยี่ยมของภาคใต้
นักศึกษาและคณาจารย์มักจะไปเยี่ยมชม
เป็นของธุรกิจเบียร์ช้างที่บ้านดอนสุราษฏร์
รถขนสินค้าจากโรงงานในกรุงเทพฯ หรืออยุธยา หรือขอนแก่น
จะรู้หมายเลขรถ ชื่อคนขับ คนติดตาม
ระยะเวลาเดินทางจะมาถึงกึ่โมง บวกลบไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
มีอัตราการขับรถยนต์ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ติดตามด้วยระบบ GPS ดาวเทียมตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งทางต้นทางกับปลายทาง
ทำให้รู้ว่ารถขนส่งอยู่ที่จุดไหนของประเทศ

เมื่อรถบรรทุกมาถึงคลังสินค้าที่สุราษฏร์ธานี
คนชับจะรู้ทันทีว่าต้องวิ่งเข้าช่องเก็บของช่องไหน
เพราะจะทราบล่วงหน้าในวันขับรถออกจากที่ตั้ง
รู้ว่าจะใช้เวลาขนสินค้าลงในช่วงเวลากี่นาที
แล้ววิ่งออกทางช่องไหนของโรงงาน
จะต้องไปขนของขาขึ้นกรุงเทพฯ หรือไม่
มักจะเป็นพวกวัสดุโรงงานหรือสินค้าบางประเภท
เช่น ขวดเก่า ถุงปุ๋ย เครื่องจักร อุปกรณ์สำนักงาน
ที่ต้องนำไปใช้งาน ส่งซ่อม หรือ นำไปขาย/ทำลายที่กรุงเทพฯ
เรียกว่า รถขาขึ้น ขาล่อง ไม่มีการ วิ่งหลาว

วิ่งหลาว  ภาษาใต้แปลว่า วิ่งรถเที่ยวเปล่า บรรทุกลม
ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่ายแต่เพียงอย่างเดียว
เหมือนภาษิตรถสิบล้อที่ว่า
ล้อหมุนมีของทุกจึงจะได้เงิน
แต่วิ่งหลาวได้แต่เสียเงิน




สุธนเพื่อนแกคนนี้ทอดข้าวเกรียบขาย
จนเป็นมือโปรในสนามหลวง
ต่อมาเรียนจบที่มหาวิทยาลัยแล้ว
แกไปสมัครทำงานเอกชนอยู่สักพักหนึ่ง
ทั้งยังผิดหวังความรักจากคนที่แกชอบ
กับรายได้ที่ทำงานไม่ค่อยพอกับรายจ่าย
เลยหันมาทำงานอดิเรกแบบจริง ๆ
ทำโรงงานผลิตข้าวเกรียบ
ตั้งชื่อตามการแสดงของปักษ์ใต้
จนเป็นสินค้าโด่งดังไปทั่วประเทศกับต่างประเทศ

การแสดงที่โด่งดังของปักษ์ใต้
นับถือกันว่าเป็นต้นครูต้นญาติของคนปักษ์ใต้
ถ้าใครจะตัดเหมรย (แก้บนมั่วจนไม่รู้ที่ไหนบ้าง
จะต้องให้โนราห์ครูตัดเหมรยให้
ก็จะเป็นการแก้บนได้หมดทุกแห่ง
แบบ All in once ได้หมดแถมสุขใจ

แกเคยเล่าว่า
แฟนเก่าแกไปหาที่โรงงานตอนปี 2540
ขอยืมเงินสักก้อนหนึ่ง
เพราะสามีเดือดร้อนมากตกงานยุด IMF
ไม่มีทุนรอนทำธุรกิจส่วนตัว
แกก็ให้ไปก้อนหนึ่งไม่เคยคิดจะขอเงินคืน
ฐานะเพื่อนเก่าแฟนเก่า
คนที่เคยรักกันมาก่อน




ยังจำคำหยอกเย้า
โนราห์ได้ว่า
โนราห์หนูวิน หนูวาด
(สองสาวพี่น้อง) โต้ไปว่า

" โนราห์ติ้งเติม
บ้านเดิมปากพนัง
อยู่หลังคอกหมู "

" ถ้ากรูนะพวกฆึงวันนี้ (นะ = ชนะ)
กรูได้ทีจะขอฟาด
ทั้งหนูวินกับหนูวาด "

โนราห์เติมด่ากลับ

เลยมีคนมาต่อเติมกันเล่นภายหลังว่า

โนราห์ตัวใหญ่
ใส่โกเต็กซ์

โนราห์ตัวเล็ก
ใส่เซลล้อกซ์

โนราห์กิ๊กก๊อก
ใช้ผ้าเช็ด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่