ตอนเก่า
ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์
ตอนที่ 14
สะพานภูมิพล หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ
สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม เป็นสะพานขึงเคเบิลคู่ที่ใช้เวลาสร้างเร็วที่สุดในโลกและมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ประกอบด้วยสองฝั่ง ฝั่งที่หนึ่งใช้สำหรับข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศเหนือ เชื่อมระหว่างแขวงบางโพงพางกับจังหวัดสมุทรปราการ ฝั่งที่สองใช้สำหรับข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศใต้ เชื่อมระหว่างตำบลทรงคนองกับตำบลบางหญ้าแพรก
เกวลินยืนอยู่ตรงกลางในส่วนของถนนวงแหวนที่โค้งวนอลังการอันเป็นจุดเชื่อมสองฝั่ง สายตาของนักสืบสาวมองลงไปยังพื้นสวนสาธารณะเบื้องล่างในจุดที่ชนมนร่วงลงไปเสียชีวิต บรรยากาศเงียบเกินกว่าที่ควรจะเป็น ความคิดของนักสืบสาวหมกมุ่นต่อบางสิ่งที่ยังไม่แน่ใจ สมมติฐานซ้ำเดิมผุดขึ้นมาอีกครั้งในความคิด
ถ้าหล่อนลองกระโดดลงไปอะไรๆ ในชีวิตจะง่ายขึ้น
เหมือนที่เคยทำมาแล้วก่อนหน้า เกวลินปีนขึ้นขอบสะพานอย่างไม่รู้ตัว แต่ในคราวนี้กลับมีเสียงของใครคนหนึ่งคัดค้านขึ้นมา
“คุณลินครับ” หันขวับไปเจอกับร่างสูงโปร่งยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก นัยน์ตาเล็กโศกมองมาลงมาที่ฝ่าเท้าของนักสืบสาว ก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาอย่างสนเท่ห์ “คุณใส่รองเท้าส้นสูงอยู่”
แม้คำพูดของร้อยตำรวจโทชงคมจะฟังดูพิลึก แต่กลับเป็นความจริงอย่างเหลือเชื่อ ขณะนี้เกวลินสวมรองเท้าส้นสูงยี่ห้อเฟอร์รากาโมแบบเดียวกับที่ชนมนสวมไว้ตอนเสียชีวิตอยู่จริงๆ โดยที่หล่อนไม่รู้ตัวเลยว่าสวมไว้ตั้งแต่เมื่อไร นักสืบสาวค่อยๆ ปีนกลับลงมา ขณะที่ร้อยตำรวจโทชงคมยิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ทันที่เขาจะเดินเข้ามาหา โทรศัพท์ก็กรีดเสียงดังขึ้น พอเกวลินหยิบขึ้นมาดูชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ขนก็ลุกวาบ
ชนมน
นี่มันเรื่องบ้าอะไร ชนมนจะโทรมาอย่างไรในเมื่อเธอตายไปแล้ว แล้วเกวลินก็ไม่เคยบันทึกเบอร์โทรของอดีตดาราสาวเอาไว้เสียหน่อย เช่นเดียวรองเท้าที่สวมอยู่นี่ด้วย หล่อนไม่เคยมีรองเท้าส้นสูงยี่ห้อนี้แน่นอน
“คุณลินครับ” ร้อยตำรวจโทชงคมร้องเรียกซ้ำอีกครั้ง ราวกับไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไร ขณะที่เกวลินก็ยังงุนงงต่อสถานการณ์ไม่แพ้กัน หากทันใดนั้น มือเย็นยะเยียบของใครคนหนึ่งก็มาแตะบ่าของนักสืบสาวจากด้านหลัง เกวลินตกใจหันไปมอง พบใบหน้าสวยจัดของอดีตดาราสาวกำลังจ้องมองหล่อนด้วยสายตาวาวโรจน์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ทำไมไม่รับสายฉันล่ะ”
“คุณชนมน...”
ไม่ทันแม้แต่จะตกใจได้นานกว่านี้ เกวลินก็ถูกชนมนผลักให้ร่วงจากสะพานอย่างรวดเร็ว ร่างสูงเพรียวดิ่งร่วงสู่พื้นสวนเบื้องล่าง เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุด แต่หัวใจของนักสืบสาวกลับสั่นระรัว ความวิตกกังวลพุ่งขึ้นอย่างล้นพ้น ไม่แน่ใจว่าจะตายเมื่อร่างกระแทกพื้น หรือจะหัวใจวายตายกลางอากาศ!
ก่อนทุกภาพจะดับวูบ สายตาของหญิงสาวมองไปยังขอบสะพานด้านบน ร่างของชนมนอันตรธานไปแล้ว ส่วนร้อยตำรวจโทชงคมยืนเกาะขอบสะพานทิ้งคำอำลาเอาไว้ก่อนที่ร่างของเกวลินจะกระแทกพื้น
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“ไม่!!!” เกวลินกรีดร้องลั่น ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน หอบหายใจถี่ เหงื่อแตกพลั่ก แม้อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศถูกตั้งไว้ที่ยี่สิบห้าองศา แต่ไม่อาจสู้ความร้อนจากแสงแดดยามสายที่ลอดผ่านกระจกเข้ามาจากรอยแยกของม่านที่เปิดแง้มเอาไว้ได้ เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในโลกความจริงดึงสติของเกวลินให้หลุดออกมาจากห้วงฝันร้าย แต่ความรู้สึกเหมือนใจจะขาดรอนยังคงติดค้างอยู่มโนสำนึก
ฝันบ้าบอ
ปกติเกวลินจะไม่เชื่อในเรื่องลี้ลับ แต่มันก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่มีคดีของชนมนขึ้น หล่อนฝันว่าตัวเองตกจากสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมจุดเดียวกับที่อดีตดาราสาวเสียชีวิตมาแล้วถึงสองครั้ง
หล่อนคงหมกมุ่นกับภารกิจที่กำลังทำอยู่มากเกินไป
เสียงเรียกเข้ายังดังอย่างต่อเนื่อง เกวลินลุกขึ้นไปปิดม่านเพื่อกันไม่ให้แสงแดดเข้ามาในห้อง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพบเป็นเบอร์แปลก
ขมวดคิ้วเล็กน้อย ภาพใบหน้าชายหนุ่มที่ปรากฏกายอยู่ในความฝันเมื่อครู่วาบขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ถึงเมื่อวานหล่อนจะเปิดดูเบอร์เขาจากเฟซบุ๊กและทำการโทรหาเขาด้วยตัวเอง แต่ด้วยความสะเพร่า หล่อนจึงลืมบันทึกเบอร์เขาเอาไว้ ดังนั้นในเวลานี้เกวลินจึงไม่แน่ใจว่าสายที่กำลังโทรเข้ามานี้เป็นเบอร์ของร้อยตำรวจโทชงคมหรือไม่ เกวลินจึงรับสายแล้วชิงพูดก่อนเพื่อตรวจสอบความแน่ใจ
“สวัสดีค่ะ...ใครคะ...”
หากปลายสายยังเงียบ เกวลินขึงถามออกไปอย่างลังเล
“เอ่อ...ผู้หมวดชงคมหรือเปล่าคะ”
“ใครคือผู้หมวดชงคม”
โอเค...จบข่าว!
วลัท...ญาติผู้พี่ของเกวลินนั่นเอง
“เอาเบอร์ใครโทรมาเนี่ย” เกวลินพูดตอบโต้ไปอย่างเซ็งๆ ก่อนจะแกล้งโวยเพื่อกลบเกลื่อน“แล้วทำไมฉันรับสายแล้วถึงไม่พูด”
“อย่าเพิ่งถามเรื่องอื่น เคลียร์กับฉันเรื่องผู้หมวดชงคมนี่ก่อน” วลัทถามกลับมาด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม เกวลินเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังจีปากจีบคอขั้นสุดอยู่แน่ๆ เวลาที่เกวลินเล่าถึงวลัทให้ใครต่อใครฟัง คนมักจะสงสัยเสมอว่าญาติผู้พี่ของหล่อนคนนี้เป็น ‘พี่ชาย’ หรือ ‘พี่สาว’ กันแน่ นักสืบสาวตอบได้อย่างง่ายดายว่าเป็นพี่ชาย แต่เป็นพี่ชายประเภทที่สามารถช่วยเลือกเบอร์รองพื้นได้ก็เท่านั้น
“แฟนแกเหรอลิน”
“บ้าเหรอ ฉันมีแฟนที่ไหน”
“หรือยังเป็นแค่กิ๊ก”
“เป็นเพื่อน”
“แกไม่มีทางมีเพื่อนเป็นตำรวจ” วลัทตอบกลับอย่างรู้ทัน ส่วนเกวลินถอนใจอย่างเซ็งๆ ลืมไปว่าการโกหกคนอย่างวลัทนั้น...ไม่ง่ายเลย
“เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่มีความลับต่อกัน เพราะฉะนั้นแกบอกมาเถอะน่าว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร ยังอยู่ในขั้นที่เพิ่งลองๆ คุยกันอยู่หรือเปล่า”
“ก็ยังไม่มีการตกลงลองคุยอะไรกันทั้งนั้นแหละ”
“หรือเขากำลังจีบแกอยู่”
น้ำเสียงตื่นเต้นของวลัททำเอาเกวลินชะงักไปเล็กน้อย ไม่อยากยอมรับว่าอาจจะเป็นอะไรทำนองนั้น
“นี่ถามจริงเหอะ” นักสืบสาวเริ่มเหนื่อยใจกับความเจ้ากี้เจ้าการของพี่ชาย “ทำไมพี่ต้องสนใจแค่ชื่อที่ฉันหลุดปากพูดออกไป”
“ก็เพราะว่าถ้าแกมีคนมาตามจีบแกจริงๆ มันก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแกกำลังจะเริ่มมีความสัมพันธ์ไง มันเป็นเรื่องที่พี่ไม่ควรสนใจเหรอ”
“โธ่ พี่ก็รู้ว่าคนอย่างฉันมีความสัมพันธ์กับใครไม่รอด”
“แต่ถ้าวันหนึ่งแกเจอใครสักคนที่รู้สึกดีกับเขามากพอ พี่เชื่อว่าแกจะทำทุกวิถีทางให้มันรอด” วลัทพูดย้ำแนวคิดของตัวเอง ก่อนจะแนะนำออกมา “แล้วเรื่องแบบนี้มันมีวิธีการอยู่หรอกนะ ถึงโชษิตามันจะทิ้งแกไปแล้ว แต่พี่ก็ยังอยู่พร้อมให้คำปรึกษาแกเสมอ ถ้าแกเปิดใจกับพี่ตรงๆ ว่าตอนนี้แกมีผู้ชายเข้ามาในชีวิตและก็รู้สึกดีกับเขาอยู่หรือเปล่า”
ชั่วแวบหนึ่งที่เกวลินเกือบจะยอมรับกับวลัทไปว่า... ใช่ ฉันสงสัยว่าผู้หมวดชงคมอาจจะจีบฉัน และฉันว่าเขาเป็นผู้ชายที่น่ารักอยู่พอสมควร แต่กระนั้น ภูมิคุ้มกันลึกลับในตัวหล่อนก็เริ่มแสดงปฏิกิริยา รวมถึงภาพความฝันล่าสุดที่เห็นผู้หมวดหนุ่มยืนมองหล่อนร่วงสะพานย้อนก็กลับมาตอกย้ำและสั่งการให้เกวลินยืนยันต่อวลัท
และต่อตนเอง!
“พี่เสียรู้ฉันแล้วล่ะ ฉันเห็นพี่สนุกกับจินตนาการก็เลยไม่อยากขัด แต่ก่อนที่พี่จะเรื่อยเปื่อยไปมากกว่านี้ ความจริงแล้วฉันไม่มีผู้ชายมาจีบทั้งนั้น ผู้หมวดชงคมเป็นแค่ลูกค้าคนใหม่ของฉันเท่านั้นเอง”
“โธ่...ลิน” วลัททำท่าทีเหมือนไม่ยอมรับ แต่เกวลินไม่เปิดโอกาสให้อุทธรณ์
“ฉันขอยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งบอกว่าฉันจะเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น เพราะว่า...”
“พอๆ ฉันเบื่อจะฟังเหตุผลบ้าบอของแกแล้วลิน ความจริงที่โทรมาเนี่ยก็เพื่อจะบอกให้แกรู้ว่านี่เบอร์ใหม่พี่เอง เมมไว้ด้วยนะ ส่วนเบอร์เก่าลบไปเลย”
“เออ แล้วพี่เปลี่ยนเบอร์ทำไม” พอฉันทักเรื่องเบอร์โทร วลัทก็กลับมาทำน้ำเสียงกรุ้มกริ่มอีกครั้ง
“ก็พี่ไปดูหมอมา เขาทักว่าเบอร์เก่าแรงไป มันจะมีปัญหากับคนรัก หมอเขาก็เลยหาเบอร์ใหม่มาให้ เบอร์สวยมากนะ ซื้อมาแสนห้าแน่ะ แต่ถือว่าถูกแล้วนะ เพราะเพื่อนพี่บางคนเขาซื้อกันแพงกว่านี้”
เกวลินฟังแล้วก็แอบเบ้ปาก ทราบดีว่าลูกพี่ลูกน้องอยู่กินกับแฟนมาได้สักระยะแล้ว แม้จะไม่มีพิธีแต่งงานแต่สองคนก็ดูเหมือนจะรักกันดี แต่ที่เป็นปัญหาก็คือวลัทเชื่อเรื่องลี้ลับทุกชนิด แถมยังยึดเอามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตอย่างเคร่งครัด ถึงขนาดยอมเสียเงินแสนห้าเพราะกลัวว่าความรักจะมีปัญหา อย่างกับว่ามัน ‘เมกเซนส์’ อย่างนั้นแหละ
ไม่เข้าใจความคิดของลูกพี่ลูกน้องตัวเองนัก แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะวลัทจะใช้เงินกี่หมื่นกี่แสนทำอะไรขนหน้าแข้งเขาก็ไม่ร่วง วลัทเป็นนักเขียนเบสต์เซลเลอร์ที่มีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์หนังสือสูงสุดในอันดับต้นๆ ของประเทศ ทำรายได้ต่อปีเป็นหลักล้าน ต่อให้นั่งอยู่เฉยๆ ไม่เขียนอะไรเพิ่มเลยก็ตาม
“แล้วก็นี่นะลิน เบอร์แกน่ะมีเลขอัปมงคลอยู่ตั้งสองตัว สนใจเปลี่ยนไหมล่ะ เดี๋ยวพี่หาเบอร์ดีๆ ให้”
“ไม่ต้องเลย” เกวลินประกาศกร้าว “ฉันไม่เสียเงินเป็นแสนๆ แค่ทำให้ตัวเองสบายใจลมๆ แล้งๆ อย่างพี่หรอก”
“เดี๋ยวพี่จะอ่านคำทำนายที่จดไว้ให้ฟังนะ” วลัทไม่สนใจคำพูดของน้องสาว “เบอร์ที่แกใช้อยู่ตอนนี้จะทำให้แกเป็นคนดื้อด้าน ชีวิตซับซ้อนยุ่งเหยิง ต้องตามแก้ปัญหาไม่รู้จบ โดดเดี่ยวไร้คนเข้าใจ พลัดพรากจากมิตรสหาย และจะอาภัพเรื่องคู่ครอง”
“อย่ามาอ้างคำทำนาย ทั้งหมดนั่นพี่พูดออกมาเองใช่ไหม”
“โธ่ เปิดรับสิ่งใหม่บ้างสิวะลิน” วลัทพูดราวกับเหนื่อยใจกับญาติผู้น้องอย่างเกวลินเสียเหลือเกิน “มันอาจจะทำให้ชีวิตแกดีขึ้นก็ได้”
“เอาเป็นว่าฉันจะเปิดรับสิ่งใหม่ด้วยการเริ่มกินมังสวิรัติแล้วก็ลองซื้อคอร์สโยคะดู แต่ฉันจะไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เด็ดขาด โอเคนะ”
ถ้าไม่ติดเรื่องความงมงาย เกวลินก็ซาบซึ้งนะว่าวลัทเป็นห่วงเป็นใยหล่อนมากเลยทีเดียว แต่ยังไงดีล่ะ ลำพังชีวิตคนเรามันก็ยากอยู่แล้วหรือเปล่า จะทำให้มันยากขึ้นด้วยเงื่อนไขที่พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ไปทำไมอีก
“ฉันเถียงแกไม่เคยชนะอยู่แล้วนี่นะ เออ...โทรมาแค่นี้แหละ แล้วสรุปแกจะไม่บอกความจริงเรื่องผู้หมวดอะไรนั่นจริงๆ ใช่ไหม”
พอกลับมาประเด็นนี้อีกครั้งเกวลินก็อยากกรีดร้อง
“นี่พี่จะเอาไงกับฉัน ความจริงฉันก็บอกไปแล้วไงว่าไม่มีอะไร”
“ถามใจตัวเองดูดีๆ เถอะจ้ะ แค่นี้แหละ”
วลัทวางสายไปพร้อมกับทิ้งระเบิดลงในใจของเกวลินไว้อย่างหนักหน่วง แม้หัวใจถูกตั้งคำถาม แต่สมองต่างหากจะเป็นต้องเป็นฝ่ายให้คำตอบ
เขากับหล่อนแค่ทำภารกิจร่วมกันเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเกี่ยวข้อง!
คิดได้ดังนั้น นักสืบสาวก็เลิกฟุ้งซ่านกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วสานต่อภารกิจที่ค้างเอาไว้ทันที เมื่อคืนนี้ร้อยตำรวจโทชงคมส่งเบอร์โทรศัพท์ของแองจี้ หนึ่งในแก๊งเจ้าหญิงมาให้หล่อนเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้เวลาเก้าโมงกว่า คงไม่เช้าเกินไปสำหรับการติดต่อ เกวลินกดโทรออกทันที รอสายสักพัก เสียงเล็กๆ ของนักแสดงสาวลูกครึ่งวัยสามสิบกว่าก็ดังกลับมา
“ฮัลโหล...นี่ใคร...”
เกวลินสูดลมหายใจลึก แล้วพูดออกไปอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะคุณแองจี้ ฉันเกวลินนะคะ คุณอาจจะสงสัยและไม่เข้าใจในคำพูดของฉันนัก แต่ขอให้อดทนฟังฉันอธิบายให้จบก่อน แล้วจะถามอะไรฉันยินดีตอบหมดเลยค่ะ คืองี้นะคะ ตอนนี้ฉันกำลังสืบเรื่องคุณชนมนอยู่”
“คุณเป็นตำรวจเหรอ?” แองจี้ถามแทรกขึ้นทันที
“เปล่าค่ะ ฉันเป็นนักสืบเอกชน ฉันกำลังสืบเรื่องที่คุณชนมนถูกสามีนอกใจน่ะค่ะ เนื่องจากตอนนี้คุณชนมนเสียชีวิตไปแล้ว ฉันก็เลยอยากจะขอข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณน่ะค่ะ...ฮัลโหล...คุณแองจี้...”
ตื๊ด... สายถูกตัดไปทันที
***
ไขคดีหัวใจ...ใต้มนต์จันทร์ ตอนที่ ๑๔ - ตอนที่ ๑๕
สะพานภูมิพล หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม เป็นสะพานขึงเคเบิลคู่ที่ใช้เวลาสร้างเร็วที่สุดในโลกและมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ประกอบด้วยสองฝั่ง ฝั่งที่หนึ่งใช้สำหรับข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศเหนือ เชื่อมระหว่างแขวงบางโพงพางกับจังหวัดสมุทรปราการ ฝั่งที่สองใช้สำหรับข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศใต้ เชื่อมระหว่างตำบลทรงคนองกับตำบลบางหญ้าแพรก
เกวลินยืนอยู่ตรงกลางในส่วนของถนนวงแหวนที่โค้งวนอลังการอันเป็นจุดเชื่อมสองฝั่ง สายตาของนักสืบสาวมองลงไปยังพื้นสวนสาธารณะเบื้องล่างในจุดที่ชนมนร่วงลงไปเสียชีวิต บรรยากาศเงียบเกินกว่าที่ควรจะเป็น ความคิดของนักสืบสาวหมกมุ่นต่อบางสิ่งที่ยังไม่แน่ใจ สมมติฐานซ้ำเดิมผุดขึ้นมาอีกครั้งในความคิด
ถ้าหล่อนลองกระโดดลงไปอะไรๆ ในชีวิตจะง่ายขึ้น
เหมือนที่เคยทำมาแล้วก่อนหน้า เกวลินปีนขึ้นขอบสะพานอย่างไม่รู้ตัว แต่ในคราวนี้กลับมีเสียงของใครคนหนึ่งคัดค้านขึ้นมา
“คุณลินครับ” หันขวับไปเจอกับร่างสูงโปร่งยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก นัยน์ตาเล็กโศกมองมาลงมาที่ฝ่าเท้าของนักสืบสาว ก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาอย่างสนเท่ห์ “คุณใส่รองเท้าส้นสูงอยู่”
แม้คำพูดของร้อยตำรวจโทชงคมจะฟังดูพิลึก แต่กลับเป็นความจริงอย่างเหลือเชื่อ ขณะนี้เกวลินสวมรองเท้าส้นสูงยี่ห้อเฟอร์รากาโมแบบเดียวกับที่ชนมนสวมไว้ตอนเสียชีวิตอยู่จริงๆ โดยที่หล่อนไม่รู้ตัวเลยว่าสวมไว้ตั้งแต่เมื่อไร นักสืบสาวค่อยๆ ปีนกลับลงมา ขณะที่ร้อยตำรวจโทชงคมยิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ทันที่เขาจะเดินเข้ามาหา โทรศัพท์ก็กรีดเสียงดังขึ้น พอเกวลินหยิบขึ้นมาดูชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ขนก็ลุกวาบ
ชนมน
นี่มันเรื่องบ้าอะไร ชนมนจะโทรมาอย่างไรในเมื่อเธอตายไปแล้ว แล้วเกวลินก็ไม่เคยบันทึกเบอร์โทรของอดีตดาราสาวเอาไว้เสียหน่อย เช่นเดียวรองเท้าที่สวมอยู่นี่ด้วย หล่อนไม่เคยมีรองเท้าส้นสูงยี่ห้อนี้แน่นอน
“คุณลินครับ” ร้อยตำรวจโทชงคมร้องเรียกซ้ำอีกครั้ง ราวกับไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไร ขณะที่เกวลินก็ยังงุนงงต่อสถานการณ์ไม่แพ้กัน หากทันใดนั้น มือเย็นยะเยียบของใครคนหนึ่งก็มาแตะบ่าของนักสืบสาวจากด้านหลัง เกวลินตกใจหันไปมอง พบใบหน้าสวยจัดของอดีตดาราสาวกำลังจ้องมองหล่อนด้วยสายตาวาวโรจน์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ทำไมไม่รับสายฉันล่ะ”
“คุณชนมน...”
ไม่ทันแม้แต่จะตกใจได้นานกว่านี้ เกวลินก็ถูกชนมนผลักให้ร่วงจากสะพานอย่างรวดเร็ว ร่างสูงเพรียวดิ่งร่วงสู่พื้นสวนเบื้องล่าง เสียงโทรศัพท์ยังดังไม่หยุด แต่หัวใจของนักสืบสาวกลับสั่นระรัว ความวิตกกังวลพุ่งขึ้นอย่างล้นพ้น ไม่แน่ใจว่าจะตายเมื่อร่างกระแทกพื้น หรือจะหัวใจวายตายกลางอากาศ!
ก่อนทุกภาพจะดับวูบ สายตาของหญิงสาวมองไปยังขอบสะพานด้านบน ร่างของชนมนอันตรธานไปแล้ว ส่วนร้อยตำรวจโทชงคมยืนเกาะขอบสะพานทิ้งคำอำลาเอาไว้ก่อนที่ร่างของเกวลินจะกระแทกพื้น
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
“ไม่!!!” เกวลินกรีดร้องลั่น ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงนอน หอบหายใจถี่ เหงื่อแตกพลั่ก แม้อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศถูกตั้งไว้ที่ยี่สิบห้าองศา แต่ไม่อาจสู้ความร้อนจากแสงแดดยามสายที่ลอดผ่านกระจกเข้ามาจากรอยแยกของม่านที่เปิดแง้มเอาไว้ได้ เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในโลกความจริงดึงสติของเกวลินให้หลุดออกมาจากห้วงฝันร้าย แต่ความรู้สึกเหมือนใจจะขาดรอนยังคงติดค้างอยู่มโนสำนึก
ฝันบ้าบอ
ปกติเกวลินจะไม่เชื่อในเรื่องลี้ลับ แต่มันก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าตั้งแต่มีคดีของชนมนขึ้น หล่อนฝันว่าตัวเองตกจากสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมจุดเดียวกับที่อดีตดาราสาวเสียชีวิตมาแล้วถึงสองครั้ง
หล่อนคงหมกมุ่นกับภารกิจที่กำลังทำอยู่มากเกินไป
เสียงเรียกเข้ายังดังอย่างต่อเนื่อง เกวลินลุกขึ้นไปปิดม่านเพื่อกันไม่ให้แสงแดดเข้ามาในห้อง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพบเป็นเบอร์แปลก
ขมวดคิ้วเล็กน้อย ภาพใบหน้าชายหนุ่มที่ปรากฏกายอยู่ในความฝันเมื่อครู่วาบขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ถึงเมื่อวานหล่อนจะเปิดดูเบอร์เขาจากเฟซบุ๊กและทำการโทรหาเขาด้วยตัวเอง แต่ด้วยความสะเพร่า หล่อนจึงลืมบันทึกเบอร์เขาเอาไว้ ดังนั้นในเวลานี้เกวลินจึงไม่แน่ใจว่าสายที่กำลังโทรเข้ามานี้เป็นเบอร์ของร้อยตำรวจโทชงคมหรือไม่ เกวลินจึงรับสายแล้วชิงพูดก่อนเพื่อตรวจสอบความแน่ใจ
“สวัสดีค่ะ...ใครคะ...”
หากปลายสายยังเงียบ เกวลินขึงถามออกไปอย่างลังเล
“เอ่อ...ผู้หมวดชงคมหรือเปล่าคะ”
“ใครคือผู้หมวดชงคม”
โอเค...จบข่าว! วลัท...ญาติผู้พี่ของเกวลินนั่นเอง
“เอาเบอร์ใครโทรมาเนี่ย” เกวลินพูดตอบโต้ไปอย่างเซ็งๆ ก่อนจะแกล้งโวยเพื่อกลบเกลื่อน“แล้วทำไมฉันรับสายแล้วถึงไม่พูด”
“อย่าเพิ่งถามเรื่องอื่น เคลียร์กับฉันเรื่องผู้หมวดชงคมนี่ก่อน” วลัทถามกลับมาด้วยน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม เกวลินเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังจีปากจีบคอขั้นสุดอยู่แน่ๆ เวลาที่เกวลินเล่าถึงวลัทให้ใครต่อใครฟัง คนมักจะสงสัยเสมอว่าญาติผู้พี่ของหล่อนคนนี้เป็น ‘พี่ชาย’ หรือ ‘พี่สาว’ กันแน่ นักสืบสาวตอบได้อย่างง่ายดายว่าเป็นพี่ชาย แต่เป็นพี่ชายประเภทที่สามารถช่วยเลือกเบอร์รองพื้นได้ก็เท่านั้น
“แฟนแกเหรอลิน”
“บ้าเหรอ ฉันมีแฟนที่ไหน”
“หรือยังเป็นแค่กิ๊ก”
“เป็นเพื่อน”
“แกไม่มีทางมีเพื่อนเป็นตำรวจ” วลัทตอบกลับอย่างรู้ทัน ส่วนเกวลินถอนใจอย่างเซ็งๆ ลืมไปว่าการโกหกคนอย่างวลัทนั้น...ไม่ง่ายเลย
“เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่มีความลับต่อกัน เพราะฉะนั้นแกบอกมาเถอะน่าว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร ยังอยู่ในขั้นที่เพิ่งลองๆ คุยกันอยู่หรือเปล่า”
“ก็ยังไม่มีการตกลงลองคุยอะไรกันทั้งนั้นแหละ”
“หรือเขากำลังจีบแกอยู่”
น้ำเสียงตื่นเต้นของวลัททำเอาเกวลินชะงักไปเล็กน้อย ไม่อยากยอมรับว่าอาจจะเป็นอะไรทำนองนั้น
“นี่ถามจริงเหอะ” นักสืบสาวเริ่มเหนื่อยใจกับความเจ้ากี้เจ้าการของพี่ชาย “ทำไมพี่ต้องสนใจแค่ชื่อที่ฉันหลุดปากพูดออกไป”
“ก็เพราะว่าถ้าแกมีคนมาตามจีบแกจริงๆ มันก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแกกำลังจะเริ่มมีความสัมพันธ์ไง มันเป็นเรื่องที่พี่ไม่ควรสนใจเหรอ”
“โธ่ พี่ก็รู้ว่าคนอย่างฉันมีความสัมพันธ์กับใครไม่รอด”
“แต่ถ้าวันหนึ่งแกเจอใครสักคนที่รู้สึกดีกับเขามากพอ พี่เชื่อว่าแกจะทำทุกวิถีทางให้มันรอด” วลัทพูดย้ำแนวคิดของตัวเอง ก่อนจะแนะนำออกมา “แล้วเรื่องแบบนี้มันมีวิธีการอยู่หรอกนะ ถึงโชษิตามันจะทิ้งแกไปแล้ว แต่พี่ก็ยังอยู่พร้อมให้คำปรึกษาแกเสมอ ถ้าแกเปิดใจกับพี่ตรงๆ ว่าตอนนี้แกมีผู้ชายเข้ามาในชีวิตและก็รู้สึกดีกับเขาอยู่หรือเปล่า”
ชั่วแวบหนึ่งที่เกวลินเกือบจะยอมรับกับวลัทไปว่า... ใช่ ฉันสงสัยว่าผู้หมวดชงคมอาจจะจีบฉัน และฉันว่าเขาเป็นผู้ชายที่น่ารักอยู่พอสมควร แต่กระนั้น ภูมิคุ้มกันลึกลับในตัวหล่อนก็เริ่มแสดงปฏิกิริยา รวมถึงภาพความฝันล่าสุดที่เห็นผู้หมวดหนุ่มยืนมองหล่อนร่วงสะพานย้อนก็กลับมาตอกย้ำและสั่งการให้เกวลินยืนยันต่อวลัท
และต่อตนเอง!
“พี่เสียรู้ฉันแล้วล่ะ ฉันเห็นพี่สนุกกับจินตนาการก็เลยไม่อยากขัด แต่ก่อนที่พี่จะเรื่อยเปื่อยไปมากกว่านี้ ความจริงแล้วฉันไม่มีผู้ชายมาจีบทั้งนั้น ผู้หมวดชงคมเป็นแค่ลูกค้าคนใหม่ของฉันเท่านั้นเอง”
“โธ่...ลิน” วลัททำท่าทีเหมือนไม่ยอมรับ แต่เกวลินไม่เปิดโอกาสให้อุทธรณ์
“ฉันขอยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่มีสัญญาณใดๆ บ่งบอกว่าฉันจะเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น เพราะว่า...”
“พอๆ ฉันเบื่อจะฟังเหตุผลบ้าบอของแกแล้วลิน ความจริงที่โทรมาเนี่ยก็เพื่อจะบอกให้แกรู้ว่านี่เบอร์ใหม่พี่เอง เมมไว้ด้วยนะ ส่วนเบอร์เก่าลบไปเลย”
“เออ แล้วพี่เปลี่ยนเบอร์ทำไม” พอฉันทักเรื่องเบอร์โทร วลัทก็กลับมาทำน้ำเสียงกรุ้มกริ่มอีกครั้ง
“ก็พี่ไปดูหมอมา เขาทักว่าเบอร์เก่าแรงไป มันจะมีปัญหากับคนรัก หมอเขาก็เลยหาเบอร์ใหม่มาให้ เบอร์สวยมากนะ ซื้อมาแสนห้าแน่ะ แต่ถือว่าถูกแล้วนะ เพราะเพื่อนพี่บางคนเขาซื้อกันแพงกว่านี้”
เกวลินฟังแล้วก็แอบเบ้ปาก ทราบดีว่าลูกพี่ลูกน้องอยู่กินกับแฟนมาได้สักระยะแล้ว แม้จะไม่มีพิธีแต่งงานแต่สองคนก็ดูเหมือนจะรักกันดี แต่ที่เป็นปัญหาก็คือวลัทเชื่อเรื่องลี้ลับทุกชนิด แถมยังยึดเอามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตอย่างเคร่งครัด ถึงขนาดยอมเสียเงินแสนห้าเพราะกลัวว่าความรักจะมีปัญหา อย่างกับว่ามัน ‘เมกเซนส์’ อย่างนั้นแหละ
ไม่เข้าใจความคิดของลูกพี่ลูกน้องตัวเองนัก แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะวลัทจะใช้เงินกี่หมื่นกี่แสนทำอะไรขนหน้าแข้งเขาก็ไม่ร่วง วลัทเป็นนักเขียนเบสต์เซลเลอร์ที่มีรายได้จากค่าลิขสิทธิ์หนังสือสูงสุดในอันดับต้นๆ ของประเทศ ทำรายได้ต่อปีเป็นหลักล้าน ต่อให้นั่งอยู่เฉยๆ ไม่เขียนอะไรเพิ่มเลยก็ตาม
“แล้วก็นี่นะลิน เบอร์แกน่ะมีเลขอัปมงคลอยู่ตั้งสองตัว สนใจเปลี่ยนไหมล่ะ เดี๋ยวพี่หาเบอร์ดีๆ ให้”
“ไม่ต้องเลย” เกวลินประกาศกร้าว “ฉันไม่เสียเงินเป็นแสนๆ แค่ทำให้ตัวเองสบายใจลมๆ แล้งๆ อย่างพี่หรอก”
“เดี๋ยวพี่จะอ่านคำทำนายที่จดไว้ให้ฟังนะ” วลัทไม่สนใจคำพูดของน้องสาว “เบอร์ที่แกใช้อยู่ตอนนี้จะทำให้แกเป็นคนดื้อด้าน ชีวิตซับซ้อนยุ่งเหยิง ต้องตามแก้ปัญหาไม่รู้จบ โดดเดี่ยวไร้คนเข้าใจ พลัดพรากจากมิตรสหาย และจะอาภัพเรื่องคู่ครอง”
“อย่ามาอ้างคำทำนาย ทั้งหมดนั่นพี่พูดออกมาเองใช่ไหม”
“โธ่ เปิดรับสิ่งใหม่บ้างสิวะลิน” วลัทพูดราวกับเหนื่อยใจกับญาติผู้น้องอย่างเกวลินเสียเหลือเกิน “มันอาจจะทำให้ชีวิตแกดีขึ้นก็ได้”
“เอาเป็นว่าฉันจะเปิดรับสิ่งใหม่ด้วยการเริ่มกินมังสวิรัติแล้วก็ลองซื้อคอร์สโยคะดู แต่ฉันจะไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เด็ดขาด โอเคนะ”
ถ้าไม่ติดเรื่องความงมงาย เกวลินก็ซาบซึ้งนะว่าวลัทเป็นห่วงเป็นใยหล่อนมากเลยทีเดียว แต่ยังไงดีล่ะ ลำพังชีวิตคนเรามันก็ยากอยู่แล้วหรือเปล่า จะทำให้มันยากขึ้นด้วยเงื่อนไขที่พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ไปทำไมอีก
“ฉันเถียงแกไม่เคยชนะอยู่แล้วนี่นะ เออ...โทรมาแค่นี้แหละ แล้วสรุปแกจะไม่บอกความจริงเรื่องผู้หมวดอะไรนั่นจริงๆ ใช่ไหม”
พอกลับมาประเด็นนี้อีกครั้งเกวลินก็อยากกรีดร้อง
“นี่พี่จะเอาไงกับฉัน ความจริงฉันก็บอกไปแล้วไงว่าไม่มีอะไร”
“ถามใจตัวเองดูดีๆ เถอะจ้ะ แค่นี้แหละ”
วลัทวางสายไปพร้อมกับทิ้งระเบิดลงในใจของเกวลินไว้อย่างหนักหน่วง แม้หัวใจถูกตั้งคำถาม แต่สมองต่างหากจะเป็นต้องเป็นฝ่ายให้คำตอบ
เขากับหล่อนแค่ทำภารกิจร่วมกันเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเกี่ยวข้อง!
คิดได้ดังนั้น นักสืบสาวก็เลิกฟุ้งซ่านกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้วสานต่อภารกิจที่ค้างเอาไว้ทันที เมื่อคืนนี้ร้อยตำรวจโทชงคมส่งเบอร์โทรศัพท์ของแองจี้ หนึ่งในแก๊งเจ้าหญิงมาให้หล่อนเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้เวลาเก้าโมงกว่า คงไม่เช้าเกินไปสำหรับการติดต่อ เกวลินกดโทรออกทันที รอสายสักพัก เสียงเล็กๆ ของนักแสดงสาวลูกครึ่งวัยสามสิบกว่าก็ดังกลับมา
“ฮัลโหล...นี่ใคร...”
เกวลินสูดลมหายใจลึก แล้วพูดออกไปอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะคุณแองจี้ ฉันเกวลินนะคะ คุณอาจจะสงสัยและไม่เข้าใจในคำพูดของฉันนัก แต่ขอให้อดทนฟังฉันอธิบายให้จบก่อน แล้วจะถามอะไรฉันยินดีตอบหมดเลยค่ะ คืองี้นะคะ ตอนนี้ฉันกำลังสืบเรื่องคุณชนมนอยู่”
“คุณเป็นตำรวจเหรอ?” แองจี้ถามแทรกขึ้นทันที
“เปล่าค่ะ ฉันเป็นนักสืบเอกชน ฉันกำลังสืบเรื่องที่คุณชนมนถูกสามีนอกใจน่ะค่ะ เนื่องจากตอนนี้คุณชนมนเสียชีวิตไปแล้ว ฉันก็เลยอยากจะขอข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณน่ะค่ะ...ฮัลโหล...คุณแองจี้...”
ตื๊ด... สายถูกตัดไปทันที