นิยายเรื่อง ดวงใจอาถรรพ์ : สัมผัสรักไร้โฉม (ตอนที่ 4)

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 1 >>> http://pantip.com/topic/34366768
ตอนที่ 2 >>> http://pantip.com/topic/34366827
ตอนที่ 3 >>> http://pantip.com/topic/34368311
ตอนที่ 4

    “จะมีโลกแห่งใดกันเล่า ที่มอบความสุขให้แก่เราเท่ากับโลกแห่งความฝัน นั้นก็เพราะมันคือโลกของเราเอง” คำกล่าวลอยๆของศาสตราจารย์ชื่อดังท่านหนึ่งที่ได้ให้ความหมายของมันไว้อย่างตรงตัว ซึ่งหลายคนอาจจะเห็นพ้องต้องกันว่ามันคือเรื่องจริง แต่ถ้าเราลองมองในมุมกลับกัน หากความฝันนั้นมันคือเรื่องที่เลวร้ายเล่า เราจะยังคงมีความสุขหรือยังรู้สึกสนุกกับมันอยู่หรือไม่ แน่นอนว่าคำตอบส่วนใหญ่ก็คงจะตอบเหมือนกันว่าไม่ เว้นเสียแต่ว่าคนๆนั้นเป็นผู้ที่มีความสุขกับการที่ตัวเองได้รับความทุกข์ ซึ่งอันนั้นก็สุดแล้วแต่ใจของใครของมัน

    ทว่าความปรารถนาของมนุษย์นั้นมันกลับน่าฉงนยิ่งนัก แม้ใครต่อใครจะเห็นพ้องต้องกันว่าฝันร้ายนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะพบเจอ แต่เหตุไฉนเลยเมื่อมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับตน พวกเขากลับภาวนาขอให้มันกลายเป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเสียอย่างนั้น

    เฉกเช่นเดียวกับเท็นเดอร์ ไลน์ ชายหนุ่มผู้ที่กำลังนั่งอ้อนวอนต่อพระเจ้าอยู่อย่างเงียบๆ ให้เรื่องราวเลวร้ายที่ตนได้พานพบมาทั้งหมดนั้นมันกลับเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งนิทรา อย่าได้ปรากฏออกมาในโลกของความเป็นจริง ซึ่งถึงแม้ในใจลึกๆของเขามันจะรู้ดีว่าสิ่งที่ตนได้พบเจอไปเมื่อคืนนั้น มันไม่ได้มีเค้าโครงเหมือนกับภาพในความฝันเลยสักนิดเดียว แต่อย่างน้อยความพยายามที่จะโกหกตัวเองมันก็ช่วยให้เขานั้นยังพอสามารถประคับประคองสติเอาไว้ได้ ไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปกับเรื่องราวที่เพิ่งพานพบมาเมื่อไม่กี่วัน

    ภาพของชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าลงต่ำพลางส่งสายตาเหม่อมองไปยังมือทั้งสอง ซึ่งมันได้ผสานกอดรัดกันเอาไว้จนแน่น พร้อมด้วยคำภาวนาที่กึกก้องอยู่ภายในใจ ปรารถนาขอให้ตนอย่าได้พบเจอกับเรื่องราวเลวร้ายเฉกเช่นเมื่อคืนนี้อีกเลย ขอให้เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่ความฝันในชั่วค่ำคืนเท่านั้น

    ‘ก๊อกๆ’

“อะแห่ม...คุณเท็นเดอร์คะ”

    เสียงใสๆและแผ่วเบาที่ตามมาหลังจากเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อเห็นว่าคนไข้ของเธอกำลังมองเหม่ออะไรสักอย่างจนไม่ได้สนใจว่าใครเข้ามาในห้องบ้าง ซึ่งนั่นก็ได้ผลตามคาด เพราะมันทำให้ชายหนุ่มที่กำลังพินิจพิจารณามือของตัวเองอยู่นั้นต้องตกใจสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองตรงไปยังประตูพร้อมด้วยภาพของหญิงสาวในชุดพยาบาลที่มือข้างหนึ่งของนางถือถาดขนาดกำลังพอดี ซึ่งภายในนั้นมันก็ได้บรรจุจานใบเล็กๆที่ประกอบไปด้วยแคปซูลสีเหลืองแดงและยาเม็ดกลมสีเขียวอยู่อย่างละเม็ด พร้อมด้วยแก้วน้ำใบใหญ่ที่ใส่น้ำมาจนเต็มวางอยู่ข้างๆกัน

    “ขออภัยด้วยคะ...เอ่อ...พอดีฉันเห็นคุณกำลังเหม่อดูอะไรสักอย่าง เลยคิดว่าถ้าเคาะประตู...บางที...คุณน่า...จะ...ได้ยิน แหะๆ”

    หางเสียงที่ค่อยๆลดระดับความดังลงเรื่อยๆและตบท้ายมาด้วยการหัวเราะแบบแห้งๆพร้อมส่งยิ้มอย่างเขินอายในสิ่งที่ตนเพิ่งทำไป มาให้ยังชายหนุ่มที่กำลังมองมาที่เธอ ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่ได้คิดว่ามันจะส่งผลให้อีกฝ่ายต้องถึงกับตกใจอะไรได้ขนาดนั้น

    “ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ไม่ทันได้สังเกตอะไร”

    ท่าทีที่ตกใจได้สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงน้ำเสียงที่เรียบเฉยของเท็ดซึ่งมันทำให้พยาบาลสาวต้องถึงกับประหลาดใจ ว่าเหตุใดชายที่ตนกำลังมองอยู่ตอนนี้นั้นถึงได้แตกต่างกันกับเมื่อคืนยิ่งนัก เขาทั้งนิ่งเฉยและไม่ตื่นตระหนก ถึงแม้ว่าแววตาของเขาจะยังคงมีความกังวลหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง แต่มันก็ยังเทียบกันไม่ได้กับความรู้สึกที่เธอได้พบกับเขาในครั้งแรก

    “เอ่อ...คือ...พอดีมันถึงเวลาทานยาก่อนอาหาร สำหรับช่วงเช้าน่ะค่ะ”

    พยาบาลสาวตอบกลับไปหลังจากยืนอึ้งในความแตกต่างอยู่ได้สักครู่ ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตนไม่ได้มีหน้าที่มายืนคิดเปรียบเทียบบุคคลที่เจอมาเมื่อคืนกับบุคคลที่กำลังเจออยู่ในขณะนี้

    เธอก้าวยาวๆเข้ามาพร้อมกับวางถาดยาไว้ที่โต๊ะด้านข้าง ก่อนที่จะช่วยเท็ดขยับตัวให้ตั้งตรงเพื่อความสะดวกในการทานยา ซึ่งมันก็อดไม่ได้ที่เธอจะยืนจ้องมองเขาก่อนที่ภาพของชายผู้ตื่นตระหนกพร้อมด้วยสีหน้าอันหวาดกลัวของเขาจะผุดขึ้นมาในหัว สายตาที่ต้องการเธอและคำอ้อนวอนที่เขามอบมาให้มันดันกลับกลายเป็นอะไรที่ยากจะลบเลือนออกไปได้แล้วในตอนนี้

    ซึ่งในชีวิตของหญิงสาวที่ตั้งใจจะอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้คนอย่างเธอ เหตุการณ์ในคืนนั้นช่างเป็นความทรงจำที่ตัวเธอเพิ่งเคยได้สัมผัสมันเป็นครั้งแรก และไม่ว่าด้วยความบังเอิญหรือสวรรค์จงใจเธอก็ได้ซึมซับมันเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย

    และถ้าหากลองมองย้อนไปในเวลาสามปีที่ผ่านมากับการทำงานเป็นนางพยาบาลของเอ็มม่า คนไข้จำนวนไม่น้อยที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเพราะความรักในหน้าที่การงานของเธอ จึงทำให้บรรดาคนไข้ต่างพากันรักใคร่เอ็นดูเธออย่างบริสุทธิ์ใจ แต่เหตุไฉนเลยมันถึงได้แตกต่างกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ยิ่งนัก เขาทำให้เธอต้องลุ่มหลงในแววตาที่โหยหาและคำอ้อนวอนของเขาอย่างนั้นหรือ เหตุใดเลยเธอถึงหยุดคิดถึงเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้เลย

    “เอ่อ...คุณครับ...คุณ...คุณพยาบาลครับ”

    เสียงเรียกที่ค่อยๆดังขึ้นทีละนิดของเท็ดถูกส่งมาพร้อมกับมือของเขาที่เขย่าแขนหญิงสาวเบาๆ หลังจากที่เขาเห็นว่าเธอเอาแต่ยืนนิ่งจ้องหน้าของตนมาได้สักครู่หนึ่งแล้ว

    “คะ...ว่าไงคะ”

    การกระพริบตารัวๆราวสองถึงสามทีพร้อมด้วยเสียงตอบรับที่ขึ้นสูง มันบ่งบอกถึงการจินตนาการที่กำลังโลดแล่นอยู่ภายในหัวเธอตอนนี้นั้นมันได้สิ้นสุดลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คงเหลือไว้เพียงสีหน้าที่มึนงงและสงสัย

    “ยาครับ” ชายหนุ่มตอบพลางแบมือยื่นไปหาพยาบาลสาวอย่างช้าๆ

    “ยา...อ๋อ ใช่ยา คุณต้องทานยา...ใช่แล้ว...ขออภัยด้วยคะ...ยา...เอ่อ...ยาๆ...”

    ประหนึ่งว่าความทรงจำเมื่อสักสองนาทีก่อนหน้านี้ที่สูญหายไป มันได้ตีกลับเข้ามาทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหนและกำลังจะทำอะไร คำพูดที่ไม่ประติดประต่อกันจึงดังขึ้นมาพร้อมด้วยท่าทีที่ลุกลี้ลุกลนในการมองหายา ซึ่งอันที่จริงมันควรจะอยู่บนจานที่เธอเตรียมเอาไว้ แต่บัดนี้มันกลับล่องหนหายไปเหลือไว้เพียงจานที่ว่างเปล่าวางทิ้งไว้อยู่ข้างเตียง

    “มือคุณ”

    เท็ดพูดพลางเอียงคอไปที่มือของอีกฝ่ายเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มจางๆที่ปรากฏบนใบหน้าของเขา ซึ่งมันเผลอหลุดออกมาโดยที่เขาไม่ทันได้สังเกต

    “คะ...มือฉัน...อ๋อ...ใช่...นี่ไง...อยู่นี่เอง....ยา...อยู่นี่...ใช่แล้ว”

    เอ็มม่าชูกำปั้นน้อยๆของตัวเองขึ้นมาคลายดูก็ได้พบเข้ากับสิ่งที่ตนกำลังตามหาอยู่ ซึ่งเธอก็ค่อยๆยื่นมันให้กับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่ยับยูยี่จนจัดทรงไม่ถูก ก่อนที่จะเอาแต่ก้มหน้าก้มตามองซ้ายทีขวาทีหลีกเลี่ยงการสบตาทุกรูปแบบ ในใจคิดอยากจะไปจากจุดนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่ตัวเองจะเผลอทำอะไรโง่ๆออกมาอีก

    “นี่คะน้ำ”

    แก้วน้ำใบโตถูกส่งมาให้กับเท็ดพร้อมด้วยท่าทีที่เงอะงักของหญิงสาว ที่ดูเหมือนว่าเธอกำลังพยายามจะหาอะไรทำระหว่างที่รอให้อีกฝ่ายดื่มน้ำเสร็จ

    “คุณโอเคไหมครับ”

    ความเป็นห่วงเล็กๆของชายหนุ่มถูกส่งไป หลังจากที่เขาดื่มน้ำพลางจ้องดูท่าทีที่วุ่นวายของพยาบาลสาวอย่างน่าฉงน

    “อ๋อ...เอ่อ...ค่ะ...ฉันสบายดีค่ะ...แล้ว...เอ่อ...แล้วคุณล่ะ”

    คำพูดติดๆขัดๆที่ตอบกลับพร้อมด้วยสายตาที่เอาแต่ก้มมองกวาดพื้นไปมา ซึ่งมันช่างตรงกันข้ามกับคำตอบที่เธอได้ให้มาเสียเหลือเกิน แต่ในเมื่อเธอบอกว่าสบายดี ชายหนุ่มจึงฉุดคิดได้ว่าบางทีเธออาจจะกำลังมีปัญหาส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา หรือมีเรื่องที่ไม่อยากจะบอกใครก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นมันน่าจะเป็นการดีกว่าถ้าตัวเขาเลือกที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในชีวิตของผู้อื่น

    “ครับ...ผมก็อยากจะสบายดีเหมือนกันครับ”

    คำตอบที่ดูเหมือนจะยียวนแต่ความเป็นจริงแล้วมันกลับเป็นคำตอบที่ตรงออกมาจากใจของชายหนุ่มอย่างมากที่สุด เพราะในตอนนี้เขากำลังรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเขา ครั้นจะถามออกไปตรงๆก็คงไม่เหมาะ เมื่อได้เห็นถึงท่าทีของอีกฝ่ายซึ่งเขาคิดว่าตัวเธอเองก็คงจะกำลังมีปัญหาอยู่เช่นกัน

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีคะ...เดี๋ยวช่วงสายๆ คุณหมอฮิวจ์จะเข้ามาตรวจคุณอีกทีนะค่ะ...เอ่อ...ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนนะคะ”

    คำพูดที่รัวราวกับแร็ปของเธอช่างเป็นการตัดบทสนทนาที่ไร้เยื้อใยใดๆทั้งสิ้น เธอรีบคว้าเอาถาดยามาถือไว้ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำอ้าวออกไปด้วยใจที่รู้สึกผิด เพราะปกติเธอจะต้องอยู่พูดคุยถามไถ่หรือตรวจเช็คอาการของคนไข้ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน แต่คราวนี้เธอกลับละทิ้งหน้าที่ที่พึงปฏิบัติแล้วปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวมันเข้ามาครอบงำอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอควรทำ

    “เอ็มม่า...เอ็มม่า...เอ็มม่า...เอ็มม่า...เธอทำบ้าอะไรของเธอ...เอ็มม่า...เธอบ้าไปแล้วหรือไง….ให้ตายเถอะ”

    ถ่อยคำพึมพำที่สูงปรี๊ดดั่งเสียงร้องของหนู ดังขึ้นหลังจากที่หญิงสาวเดินออกมาพ้นจากห้องของคนไข้ และด้วยความอับอายที่มีมากล้นทำให้เธอต้องหยุดยืนพิงทิ้งน้ำหนักใส่กำแพงพร้อมกับยกถาดขึ้นมากระหน่ำตีมันใส่หน้าผากของตัวเองเบาๆ เพื่อเป็นการไถ่โทษและระบายความอับอายที่เธอเพิ่งก่อไป

    “ฟู่~”

    เสียงของลมที่ถูกพ่นออกจากปากของหญิงสาวขึ้นไปใส่ไรผมของตัวเองจนสะบัดพริ้วออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะเหม่อลอยมองขึ้นไปบนเพดาน หลังจากที่ได้ระบายอารมณ์ใส่ตัวเองจนเป็นที่หนำใจ พลางคิดหาต้นเหตุว่าสิ่งใดกันมันบังอาจมาทำให้เธอแสดงท่าทางน่าขายหน้าเช่นนั้นออกไป

    ความคิดต่างๆนาๆพากันเรียงร้อยออกมาภายในหัวของหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นสายตาของชายหนุ่มตอนมองมาที่เธออย่างโหยหา วาจาที่เขาอ้อนวอน หรือแม้กระทั้งเรื่องที่เขาทำให้เธอต้องอดนอนทั้งคืนเพราะมัวแต่คิดถึงในเรื่องที่เกิดขึ้น และเหตุไฉนวันนี้เขาจึงกลับดูเฉยชา ราวกับว่าเขาจะลืมเรื่องราวเมื่อคืนนี้ไปเสียแล้ว แต่มันจะเป็นไปได้ไหมที่เขาอาจจะยังไม่ลืมเพียงแค่ไม่กล้าพูดมันออกมาก็เท่านั้น หรือว่าเป็นเพราะตัวเธออาจจะเผลอไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจรึเปล่า

ทุกความคิดที่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนมันเคยเรียงร้อยกันเป็นระเบียบ บัดนี้มันกำลังค่อยๆทยอยพากันพังลงมาอย่างช้าๆ ด้วยความวุ่นวายและสับสนที่มีมากเกินไปภายในหัวของหญิงสาวผู้ซึ่งเคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรก และสำหรับเธอแล้วการทำความเข้าใจในเรื่องของมันนั้นกลับยุ่งยากมากกว่าการมานั่งเรียนวิชาเคมีเสียอีก

“นี่ฉันเป็นบ้าอะไรไป...จะไปนึกถึงเขาทำไมกัน...บ้าจริงๆ...บ้าที่สุด...นายเท็นเดอร์...นายเท็นเดอร์...นายเท็นเดอร์...นายเท็นเดอร์”

ถาดในมือน้อยๆได้กลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง นั่นก็คือการรัวกระหน่ำลงไปยังหน้าผากที่เริ่มเปลี่ยนสีแดงระเรื่อของหญิงสาว พร้อมด้วยเสียงพึมพำที่ร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความเจ็บใจที่ไร้สาเหตุ

“คุณคะ...เอ่อ...คุณ...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ…นี่คุณ”

มืออันเรียวเล็กและขาวเนียนได้โผล่เข้ามารั้งแขนของเอ็มม่าเอาไว้ พร้อมด้วยเสียงอันเล็กใสที่ส่งคำถามมาให้ด้วยความเป็นห่วง ดวงตากลมโตสีฟ้ามองมาด้วยความสงสัยพลางคิดในใจว่าเหตุใดคุณพยาบาลสาวคนนี้ถึงได้มายืนทำร้ายตัวเองอยู่หน้าห้องผู้ป่วยที่ตนตั้งใจจะมาเยี่ยม

“อ๋อ...เปล่าค่ะ เปล่า…เอ่อ...ขอตัวก่อนนะคะ”

พยาบาลสาวหลับตาปี๋พร้อมกับฝีเท้าที่เร่งความเร็วขึ้นมาอย่างเต็มสูบ จ้ำอ้าวออกไปจากจุดนั้นโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เธอคิดเพียงอย่างเดียวว่าอยากให้พื้นทางเดินแห่งนี้มันมีพลังและสามารถแยกออกจากกันได้ ซึ่งถ้าทำได้เธอคงอยากให้มันดูดเธอลงไปพร้อมกับกลบทับเธอเอาไว้ให้ทุกคนลืมๆเธอไปเสียงยังจะดีกว่า

“ทำไมรู้สึก...เหมือนจะได้ยินเธอเรียกชื่อเท็ดด้วยนะ...เอ...หรือว่าเราจะหูฝาด”

    แม้จะรู้สึกตงิดๆอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัดหญิงสาวผมทองจึงไม่รีรอที่จะปล่อยมันสูญเปล่าเธอรีบเปิดประตูเข้าไปหาในสิ่งที่เธอเฝ้ารอมาทั้งคืน

    “ไง...เท็ด...คุณเป็นอย่างไรบ้างคะ”

    แววตาอันเป็นประกายหลังจากที่ได้แต่ยืนมองดูชายที่เธอหลงรักนอนพักมาหลายวัน ในที่สุดหญิงสาวก็ได้พูดคุยกับเขาและเห็นเขาฟื้นคืนกลับมาได้ดั่งหวังเสียที

    “เบ็ตตี้!”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่