
สวัสดีครับ ผมชื่อท็อป (FB: Warinezz) ผมชอบเที่ยวธรรมชาติ แม้จะไม่ใช่นักเดินป่ามืออาชีพแต่ก็ชอบท่องเที่ยวเป็นงานอดิเรก เที่ยวไป ถ่ายรูปลงเฟซบุคไป ครั้งนี้ผมไปเที่ยวภูกระดึงคนเดียวช่วงหน้าฝน ระหว่างวันที่ 8-11 ตุลาคม 2558 หรือราวสัปดาห์ที่ 2 ของการเปิดป่า เป้าหมายเพื่อไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศและเดินป่าชมธรรมชาติ รีวิวครั้งนี้อาจยาวไปหน่อยคงไม่ว่ากันครับ
การเตรียมตัว
เนื่องจากเป็นการไปเที่ยวในช่วงหน้าฝน การเตรียมความพร้อมด้วยอุปกรณ์บางอย่าง (ที่จำเป็น) และลักษณะการใช้งานดังต่อไปนี้คือสิ่งที่อยากแจ้งให้ทราบครับ
1. ถุงดำหรือถุงซิปขนาดต่างๆ เอาไว้ห่อเสื้อผ้าและเครื่องนอนไม่ให้เปียกจากน้ำฝน หรือเอาไว้ใช้สำหรับห่อเสื้อผ้าที่เปียกในวันที่จะกลับ
2. น้ำมันมวย ซอฟเฟล สเปรย์ตะไคร้หอม แป้งเย็น สามารถนำมาใช้กันทากได้ ส่วนแป้งก็นำมาโรยที่รองเท้าเพื่อกันทากได้
3. รองเท้าสตั๊ดดอย (รองเท้ายาง) ราคา 80 - 100 บาท หาซื้อได้ตามซำต่างๆ ระหว่างทาง ถ้าได้มาแล้วให้นำไฟแช็กลนขอบ แล้วดัดให้ขอบรองเท้าบานออกด้านหลังดังรูป จะช่วยให้เดินสบายและรองเท้าไม่กัดได้ (สำคัญ)
4. ชุดยา แอลกอฮอล์ ไปโอดีน พลาสเตอร์ปิดแผล ยาหม่อง เกลือแร่ซอง (ซื้อได้ตามเซเว่นเอามาผสมน้ำดื่มชดเชยเกลือแร่ที่เสียได้) ฯลฯ
5. ไฟฉายและแบตสำรอง
6. ถุงกันทาก
7. เสื้อผ้าที่แห้งง่าย เบา หรือสีสันสะดุดตา ถ้าใช้ถ่ายรูปสวยเลย
8. เสื้อกันฝน
ผมเข้ามาจองตั๋วรถทัวร์ล่วงหน้า เป็นรถปรับอากาศชั้น 1 (ป1) แบบไป-กลับ กรุงเทพฯ-ผานกเค้า ของบริษัทแอร์เมืองเลย ราคา 730 บาท และจะออกเดินทางคืนวันที่ 7 ตุลาคม 2558 เวลา 22.35 น.
แน่นอนว่าทริปนี้ผมแบกของขึ้นไปเอง กว่าเป้จะลงตัวก็จัดของหลายรอบเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะไปขอชั่งน้ำหนักเป้ดูก่อน เป้หนักเอาเรื่อง
นั่งรถเมล์มาขึ้นรถทัวร์ที่หมอชิตในเวลาที่พอดีๆ (ถึงก่อน 5 นาที) ก่อนที่รถจะออกในเวลา 22:35 น.
รถทัวร์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึงปลายทางนั่นคือผานกเค้า (ร้านเจ๊กิม) ราว ตี 5.45 น. ของวันที่ 8 ตุลาคม ลงรถมาก็เจอกับสายฝนและหมอกโปรยปรายลงมาต้อนรับ
ที่ร้านเจ๊กิม พิกัด 16.84835 101.94157 (เบอร์โทร. 042074265) (เปิดร้านตี 4) จะเป็นจุดที่เราสามารถเตรียมของ ทำธุระส่วนตัวได้ และถ้าเรามีวันกำหนดกลับที่แน่นอนแล้ว สามารถจองตั๋วรถทัวร์เพื่อต่อไปยังที่อื่นๆ ได้เช่นกัน
หากทุกอย่างพร้อมแล้ว มีรถสองแถวพาไปส่งที่อุทยานฯ ในราคาเที่ยวละ 300 บาท ถ้าคนเต็มรถ (10 คน) ก็จะตกค่าโดยสารคนละ 30 บาทต่อท่าน แต่ถ้ามา 5 แล้วแล้วต้องการไปก่อนก็ตกค่าโดยสารคนละ 60 บาท ขาลงจากเขาก็เช่นกัน จะมีรถสองแถวรอรับ-ส่งผู้โดยสารเพื่อกลับมายังร้านเจ๊กิม หากรีบกลับแต่คนไม่เต็มรถ (ณ ตอนนั้นอาจมีนักท่องเที่ยวแค่ 2 คน) ก็ต้องยอมเสียค่าโดยสารคนละ 150 บาท เพื่อให้ครบราคา 300 ต่อการออกรถ จุดนี้คงต้องยอมครับ
เมื่อถึงที่ทำการอุทยานแล้ว รอเวลาที่อุทยานเปิดทำการเวลา 7.00 น. จากนั้นติดต่อเจ้าหน้าที่สำหรับติดต่อที่พัก โดยจะมีรายจ่ายดังนี้
- ค่าเข้าอุทยาน คนละ 20 (จันทร์-ศุกร์ ยกเว้นวันนักขัตฤกษ์ 1 กรกฏาคม - 31 ธันวาคม 2558 ลดค่าบริการเฉพาะคนไทย 50% จากปกติ 40 บาท)
- หากนำเต๊นท์มากางเอง จะเสียค่าพื้นที่คืนละ 30 บาท/คน (มา 3 คน นอน 3 คืนจ่าย 270 บาท) (ไม่แนะนำ เพราะทางศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ด้านบนมีเต๊นท์คอยให้บริการอยู่แล้ว ค่าเช่า 250 บาท/คืน นอนได้ 2 คนต่อหลังกำลังดี)
วันที่ 1
8 ตุลาคม 2558 7.12 น.
พร้อมแล้วก็ลุยท่ามกลางสภาพดินที่ชื้นแฉะ ผมมีเพื่อนร่วมทางคือคุณเหมา ที่แบกเป้มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน สักพักเราก็ต่างคนต่างเดิน เพราะยังไงเราก็เจอข้างบนอยู่ดี

ความอุดสมบูรณ์ค่อนข้างดีเลย ชุ่มฉ่ำไปหมด

นี่ขนาดยังไม่ถึงซำแรก เล่นเอาหอบเลย

ซำแฮก เล่นเอาหอบสมชื่อ

นี่ขนาดแค่ซำแรกวิวก็สวยเห็นหมอกแล้ว และเป็นช่วงที่เดินยากเพราะมันชัน จากนี้ไปก็เดินได้เรื่อยๆ

มองไปทางเขาก็ขาวโพลนไปหมด ชุ่มฉ่ำๆ เย็นสบาย แต่เหนื่อยคร้าบบบ

จากที่ผมเดินมาคนเดียว ผมก็มีเพื่อนร่วมทาง ฉะนั้นใครที่มาคนเดียวเกรงว่าจะไม่มีเพื่อนอย่าวิตกไปครับ แค่ยิ้มทักทาย เราก็จะได้เพื่อนร่วมทางมาเอง

ทางเดินค่อนข้างลื่น ดังนั้นรองเท้าควรจะเป็นรองเท้าดอกลึกๆ อย่างสตั๊ดดอย จะเดินได้มั่นใจกว่ารองเท้าแบบอื่นๆ ครับ เพราะบางช่วงจะต้องมีการข้ามน้ำ เหยียบตมด้วย และที่สำคัญอย่าลืมถุงกันทากด้วยล่ะ

เดินเรียบๆ ง่ายๆ ชิว เหมือนเดินในสวน ใครๆ ก็เดินได้

รอยเท้าสัตว์ที่คาดว่าน่าจะเป็นกวาง

พอเรามีเพื่อนร่วมทาง การถ่ายรูปมันเป็นอะไรที่มีสีสันมากเลย

ต้นไม้ ป่าเขาทำให้เราได้เป็นห่วงเป็นใยกันมากขึ้น ภาพนี้คงจะสื่อความหมายได้แบบนั้น

ลูกหาบ สีสันและสัญลักษณ์ของภูกระดึง บุคคลผู้เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ค่าจ้างหาบกิโลกรัมละ 30 บาทนะครับ รายได้ตรงนี้ก็เพื่อครอบครัวของพวกเขา

ป้าไม้ ต้นไม้ ใบหญ้า น้ำฝน เขียวขจี ได้บรรยากาศแห่งธรรมชาติ

เดินไป ไต่หิน สูดไอหมอก สดชื่นนนนนน..... ใหล้ถึงหลังแปล่ะ

ในที่สุด...
หลังจากที่เดินมาร่วม 7 ชั่วโมงเราก็มาถึงหลังแป ในเวลา 13.40 น.

จากหลังแปต้องเดินไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปอีก 3 กิโล หรือใช้เวลาราวๆ 45 นาที ก็จะถึงลานกางเต๊นท์ อันเป็นปลายทางของเรา

การมีเพื่อนร่วมทางมันทำให้เวลาสั้นลง ได้คุยๆ จนเวลาผ่านไปไวมาก
หลังจากมาถึงที่ทำการแล้ว ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเช่าเต๊นท์ และเครื่องนอน โดย...
- แผ่นรองนอน 20 บาท/คืน
- หมอน 10 บาท/คืน
- ผ้าห่มจำไม่ได้ ราว 50 บาท (ผ้าห่มโตโต้ใหญ่)
- มีแผ่นพับแผนที่ขาย ฉบับละ 20 บาท ใครกลัวหลงสามารถซื้อได้ครับไม่ว่ากัน
หลังจากนี้ไปใครจะพักจะเดินต่อก็จัดไปครับ ส่วนผมขอนอนก่อน เมื่อยมากกก...

ตื่นมาอีกทีเกือบๆ สามทุ่มจึงไปอาบน้ำ และเนื่องจากห้องน้ำด้านทิศตะวันตกของลานกางเต๊นท์และห้องน้ำตามที่อื่นๆ มีความชื้นอยู่ ก็ให้สาดส่องสายตา เผื่อมีเจ้าบ้าน (ทาก) คอยต้อนรับนะครับ

ส่วนถ้าใครโดนเจ้าทากเกาะ และกำลังไต่อยู่ ก็ให้รวบรวมความกล้านิดนึงหยิบมันมาม้วนด้วยนิ้วเป็นก้อนๆ จนมันขดเป็นก้อนกลมๆ จึงดีดออกไปครับ

หลังจากที่ได้อาบน้ำและนอนตื่น มันก็ทำให้ผมสบายตัวอย่างมาก เต๊นท์เล็กๆ อากาศดีๆ ข้างนอก แถมฟ้าเปิดอดไม่ได้ที่จะออกไปถ่ายรูปดวงดาว

สภาพจริงๆ ไม่ได้สว่างอย่างในรูปด้านล่างนะครับ เพราะเทคนิคการถ่ายภาพเลยทำให้ภาพดูสว่างกว่าสภาพแสงจริงๆ
จบวันที่ 1
....
ภูกระดึงในวันฝนพรำ
สวัสดีครับ ผมชื่อท็อป (FB: Warinezz) ผมชอบเที่ยวธรรมชาติ แม้จะไม่ใช่นักเดินป่ามืออาชีพแต่ก็ชอบท่องเที่ยวเป็นงานอดิเรก เที่ยวไป ถ่ายรูปลงเฟซบุคไป ครั้งนี้ผมไปเที่ยวภูกระดึงคนเดียวช่วงหน้าฝน ระหว่างวันที่ 8-11 ตุลาคม 2558 หรือราวสัปดาห์ที่ 2 ของการเปิดป่า เป้าหมายเพื่อไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศและเดินป่าชมธรรมชาติ รีวิวครั้งนี้อาจยาวไปหน่อยคงไม่ว่ากันครับ
การเตรียมตัว
เนื่องจากเป็นการไปเที่ยวในช่วงหน้าฝน การเตรียมความพร้อมด้วยอุปกรณ์บางอย่าง (ที่จำเป็น) และลักษณะการใช้งานดังต่อไปนี้คือสิ่งที่อยากแจ้งให้ทราบครับ
1. ถุงดำหรือถุงซิปขนาดต่างๆ เอาไว้ห่อเสื้อผ้าและเครื่องนอนไม่ให้เปียกจากน้ำฝน หรือเอาไว้ใช้สำหรับห่อเสื้อผ้าที่เปียกในวันที่จะกลับ
2. น้ำมันมวย ซอฟเฟล สเปรย์ตะไคร้หอม แป้งเย็น สามารถนำมาใช้กันทากได้ ส่วนแป้งก็นำมาโรยที่รองเท้าเพื่อกันทากได้
3. รองเท้าสตั๊ดดอย (รองเท้ายาง) ราคา 80 - 100 บาท หาซื้อได้ตามซำต่างๆ ระหว่างทาง ถ้าได้มาแล้วให้นำไฟแช็กลนขอบ แล้วดัดให้ขอบรองเท้าบานออกด้านหลังดังรูป จะช่วยให้เดินสบายและรองเท้าไม่กัดได้ (สำคัญ)
4. ชุดยา แอลกอฮอล์ ไปโอดีน พลาสเตอร์ปิดแผล ยาหม่อง เกลือแร่ซอง (ซื้อได้ตามเซเว่นเอามาผสมน้ำดื่มชดเชยเกลือแร่ที่เสียได้) ฯลฯ
5. ไฟฉายและแบตสำรอง
6. ถุงกันทาก
7. เสื้อผ้าที่แห้งง่าย เบา หรือสีสันสะดุดตา ถ้าใช้ถ่ายรูปสวยเลย
8. เสื้อกันฝน
ผมเข้ามาจองตั๋วรถทัวร์ล่วงหน้า เป็นรถปรับอากาศชั้น 1 (ป1) แบบไป-กลับ กรุงเทพฯ-ผานกเค้า ของบริษัทแอร์เมืองเลย ราคา 730 บาท และจะออกเดินทางคืนวันที่ 7 ตุลาคม 2558 เวลา 22.35 น.
แน่นอนว่าทริปนี้ผมแบกของขึ้นไปเอง กว่าเป้จะลงตัวก็จัดของหลายรอบเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะไปขอชั่งน้ำหนักเป้ดูก่อน เป้หนักเอาเรื่อง
นั่งรถเมล์มาขึ้นรถทัวร์ที่หมอชิตในเวลาที่พอดีๆ (ถึงก่อน 5 นาที) ก่อนที่รถจะออกในเวลา 22:35 น.
รถทัวร์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมงก็เดินทางมาถึงปลายทางนั่นคือผานกเค้า (ร้านเจ๊กิม) ราว ตี 5.45 น. ของวันที่ 8 ตุลาคม ลงรถมาก็เจอกับสายฝนและหมอกโปรยปรายลงมาต้อนรับ
ที่ร้านเจ๊กิม พิกัด 16.84835 101.94157 (เบอร์โทร. 042074265) (เปิดร้านตี 4) จะเป็นจุดที่เราสามารถเตรียมของ ทำธุระส่วนตัวได้ และถ้าเรามีวันกำหนดกลับที่แน่นอนแล้ว สามารถจองตั๋วรถทัวร์เพื่อต่อไปยังที่อื่นๆ ได้เช่นกัน
หากทุกอย่างพร้อมแล้ว มีรถสองแถวพาไปส่งที่อุทยานฯ ในราคาเที่ยวละ 300 บาท ถ้าคนเต็มรถ (10 คน) ก็จะตกค่าโดยสารคนละ 30 บาทต่อท่าน แต่ถ้ามา 5 แล้วแล้วต้องการไปก่อนก็ตกค่าโดยสารคนละ 60 บาท ขาลงจากเขาก็เช่นกัน จะมีรถสองแถวรอรับ-ส่งผู้โดยสารเพื่อกลับมายังร้านเจ๊กิม หากรีบกลับแต่คนไม่เต็มรถ (ณ ตอนนั้นอาจมีนักท่องเที่ยวแค่ 2 คน) ก็ต้องยอมเสียค่าโดยสารคนละ 150 บาท เพื่อให้ครบราคา 300 ต่อการออกรถ จุดนี้คงต้องยอมครับ
เมื่อถึงที่ทำการอุทยานแล้ว รอเวลาที่อุทยานเปิดทำการเวลา 7.00 น. จากนั้นติดต่อเจ้าหน้าที่สำหรับติดต่อที่พัก โดยจะมีรายจ่ายดังนี้
- ค่าเข้าอุทยาน คนละ 20 (จันทร์-ศุกร์ ยกเว้นวันนักขัตฤกษ์ 1 กรกฏาคม - 31 ธันวาคม 2558 ลดค่าบริการเฉพาะคนไทย 50% จากปกติ 40 บาท)
- หากนำเต๊นท์มากางเอง จะเสียค่าพื้นที่คืนละ 30 บาท/คน (มา 3 คน นอน 3 คืนจ่าย 270 บาท) (ไม่แนะนำ เพราะทางศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ด้านบนมีเต๊นท์คอยให้บริการอยู่แล้ว ค่าเช่า 250 บาท/คืน นอนได้ 2 คนต่อหลังกำลังดี)
วันที่ 1
8 ตุลาคม 2558 7.12 น.
พร้อมแล้วก็ลุยท่ามกลางสภาพดินที่ชื้นแฉะ ผมมีเพื่อนร่วมทางคือคุณเหมา ที่แบกเป้มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน สักพักเราก็ต่างคนต่างเดิน เพราะยังไงเราก็เจอข้างบนอยู่ดี
ความอุดสมบูรณ์ค่อนข้างดีเลย ชุ่มฉ่ำไปหมด
นี่ขนาดยังไม่ถึงซำแรก เล่นเอาหอบเลย
ซำแฮก เล่นเอาหอบสมชื่อ
นี่ขนาดแค่ซำแรกวิวก็สวยเห็นหมอกแล้ว และเป็นช่วงที่เดินยากเพราะมันชัน จากนี้ไปก็เดินได้เรื่อยๆ
มองไปทางเขาก็ขาวโพลนไปหมด ชุ่มฉ่ำๆ เย็นสบาย แต่เหนื่อยคร้าบบบ
จากที่ผมเดินมาคนเดียว ผมก็มีเพื่อนร่วมทาง ฉะนั้นใครที่มาคนเดียวเกรงว่าจะไม่มีเพื่อนอย่าวิตกไปครับ แค่ยิ้มทักทาย เราก็จะได้เพื่อนร่วมทางมาเอง
ทางเดินค่อนข้างลื่น ดังนั้นรองเท้าควรจะเป็นรองเท้าดอกลึกๆ อย่างสตั๊ดดอย จะเดินได้มั่นใจกว่ารองเท้าแบบอื่นๆ ครับ เพราะบางช่วงจะต้องมีการข้ามน้ำ เหยียบตมด้วย และที่สำคัญอย่าลืมถุงกันทากด้วยล่ะ
เดินเรียบๆ ง่ายๆ ชิว เหมือนเดินในสวน ใครๆ ก็เดินได้
รอยเท้าสัตว์ที่คาดว่าน่าจะเป็นกวาง
พอเรามีเพื่อนร่วมทาง การถ่ายรูปมันเป็นอะไรที่มีสีสันมากเลย
ต้นไม้ ป่าเขาทำให้เราได้เป็นห่วงเป็นใยกันมากขึ้น ภาพนี้คงจะสื่อความหมายได้แบบนั้น
ลูกหาบ สีสันและสัญลักษณ์ของภูกระดึง บุคคลผู้เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง ค่าจ้างหาบกิโลกรัมละ 30 บาทนะครับ รายได้ตรงนี้ก็เพื่อครอบครัวของพวกเขา
ป้าไม้ ต้นไม้ ใบหญ้า น้ำฝน เขียวขจี ได้บรรยากาศแห่งธรรมชาติ
เดินไป ไต่หิน สูดไอหมอก สดชื่นนนนนน..... ใหล้ถึงหลังแปล่ะ
ในที่สุด...
หลังจากที่เดินมาร่วม 7 ชั่วโมงเราก็มาถึงหลังแป ในเวลา 13.40 น.
จากหลังแปต้องเดินไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปอีก 3 กิโล หรือใช้เวลาราวๆ 45 นาที ก็จะถึงลานกางเต๊นท์ อันเป็นปลายทางของเรา
การมีเพื่อนร่วมทางมันทำให้เวลาสั้นลง ได้คุยๆ จนเวลาผ่านไปไวมาก
หลังจากมาถึงที่ทำการแล้ว ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อเช่าเต๊นท์ และเครื่องนอน โดย...
- แผ่นรองนอน 20 บาท/คืน
- หมอน 10 บาท/คืน
- ผ้าห่มจำไม่ได้ ราว 50 บาท (ผ้าห่มโตโต้ใหญ่)
- มีแผ่นพับแผนที่ขาย ฉบับละ 20 บาท ใครกลัวหลงสามารถซื้อได้ครับไม่ว่ากัน
หลังจากนี้ไปใครจะพักจะเดินต่อก็จัดไปครับ ส่วนผมขอนอนก่อน เมื่อยมากกก...
ตื่นมาอีกทีเกือบๆ สามทุ่มจึงไปอาบน้ำ และเนื่องจากห้องน้ำด้านทิศตะวันตกของลานกางเต๊นท์และห้องน้ำตามที่อื่นๆ มีความชื้นอยู่ ก็ให้สาดส่องสายตา เผื่อมีเจ้าบ้าน (ทาก) คอยต้อนรับนะครับ
ส่วนถ้าใครโดนเจ้าทากเกาะ และกำลังไต่อยู่ ก็ให้รวบรวมความกล้านิดนึงหยิบมันมาม้วนด้วยนิ้วเป็นก้อนๆ จนมันขดเป็นก้อนกลมๆ จึงดีดออกไปครับ
หลังจากที่ได้อาบน้ำและนอนตื่น มันก็ทำให้ผมสบายตัวอย่างมาก เต๊นท์เล็กๆ อากาศดีๆ ข้างนอก แถมฟ้าเปิดอดไม่ได้ที่จะออกไปถ่ายรูปดวงดาว
สภาพจริงๆ ไม่ได้สว่างอย่างในรูปด้านล่างนะครับ เพราะเทคนิคการถ่ายภาพเลยทำให้ภาพดูสว่างกว่าสภาพแสงจริงๆ
จบวันที่ 1
....