รบกวนช่วยกันพิจารณาว่าพฤติกรรมแบบนี้ เป็นการมุ่งหมายต่อทรัพย์สินหรือไม่

เรื่องจริง แต่ได้รับการบอกเล่าจากบุคคลที่เกี่ยวข้องครับ รายละเอียดลึกๆ เล่าไม่ได้จริงๆครับ
หญิงวัยเกิน 60 ปี ท่านหนึ่ง สามีเสียชีวิตไป 4-5 ปีแล้ว ลูก 4 คนแต่งงานและทำงานกันหมดแล้ว มีทรัพย์สินมรดกเป็นที่ดินอยู่หลายแปลง แต่ก่อนขณะที่สามียังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นแม่บ้านดูแลลูก หลาน และสามี(รับราชการ)ตามปกติ แต่เมื่อสามีเสียชีวิตลงไป ก็เริ่มหันหน้าเข้าหาวัด เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับ แรกๆก็ไปแค่วัดแถวๆบ้าน ต่อมาก็มีผู้ชวนไปปฏิบัติธรรมตามสำนักสงฆ์ที่ไกลๆ ไปครั้งละนานๆหลายวัน ลูกๆก็ไม่ขัดเพราะว่าแม่จะได้มีเพื่อนและไม่เหงา
แต่ต่อมาพักหลังบ่นอยากทำสำนักปฏิบัติธรรมของตัวเอง ตอนแรกจะไปซื้อที่ตาบอดหลังวัดแถวบ้าน (วัดที่ 1)เพื่อถวายให้วัดแล้วขอทำที่ปฏิบัติธรรม แต่ก็ถูกลูกค้าน เนื่องจากพอเจ้าของที่ทราบก็โก่งราคาสูงเกินไป  
ต่อมา ได้ไปชำระเงินจะซื้อที่ให้วัดอีกแห่งหนึ่ง (วัดที่ 2 ) โดยที่ลูกๆไม่ทราบ มาทราบภายหลังว่าผู้ที่รับชำระเงินไม่ใช่เจ้าของที่ตัวจริง จึงไม่สามารถโอนที่ได้ เรื่องนี้ยังคาราคาซังมาพักใหญ่ๆ
เรื่องมันอยู่ตรงนี้ครับ
ลูกๆมาทราบภายหลังว่า หญิงท่านนี้ได้รับอุปการะพระรูปหนึ่ง (เหมือนว่ามาขอเป็นลูก) ปกติพระรูปนี้จำพรรษาอยู่วัดหนึ่งแถวๆ จังหวัดทางภาคตะวันออก โดยที่วัดนี้มีการเปิดเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ที่รับญาติโยมมาจากหลายๆที่
ก่อนเข้าพรรษา หญิงท่านนี้ได้บอกลูกๆว่า พระท่านนี้จะพาไปแสวงบุญที่อินเดียและเนปาลประมาณ 1 สัปดาห์ ลูกๆก็ให้ไปเพราะเห็นว่าไปเป็นหมู่คณะไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
หลังจากกลับมาจากอินเดีย ปรากฏว่าหญิงท่านนี้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ดูเหมือนจะพยายามบริจาคทรัพย์เพื่อทำบุญมากขึ้น ถึงขนาดขายที่ดินจำนวนหนึ่งให้ลูก(แต่ไปบอกกับคนอื่นว่ายกให้ฟรี) เพื่อนำเงินมาทำบุญให้วัดนี้(หลายงานบุญ) เพื่อจะได้มีชื่อเป็นประธานใหญ่
เมื่อวันเข้าพรรษา มาบอกลูกๆว่าจะไปอินเดียและเนปาลอีกครั้ง ครั้งนี้จะใช้เวลาทั้งพรรษาที่นั้น ลูกๆก็ไม่ขัด ถึงขนาดซื้อสมาร์ทโฟนให้ พร้อมทั้งสอนการใช้แอพต่างๆ เพื่อ จะได้ใช้สื่อสารกันถ้าเกิดมีปัญหาที่นั่น(แต่ก่อนใช้โทรศัพท์แบบปุ่มกดธรรมดา) แต่ก็ไปได้แค่เดือนกว่าๆก็กลับมา ลูกๆก็คิดว่าคงจะยังไม่ชินที่จะไปใช้ชีวิตต่างแดน
ตอนนี้วิกฤติหนักครับ
ลูกๆเพิ่งทราบว่า แม่ได้ไปตกลงจะซื้อที่จำนวนหนึ่งซึ่งเยอะพอสมควร เพื่อที่จะให้พระรูปนี้ทำสำนักปฏิบัติธรรม โดยเหตุที่ทราบเพราะได้มาสั่งให้ลูกร่วมกันกู้เงินเพื่อจะต้องไปชำระค่าที่ภายในวันอังคาร (6/10/58) ซึ่งพอทราบเรื่องจึงมีการค้านกันถึงขึ้นทะเลาะกันลั่นบ้าน พอคาดคั้นหนักๆเรื่องเงินที่เคยมี ทั้งจากที่ลูกๆเคยให้ ทั้งจากการขายที่ดิน จึงทราบว่าครั้งที่ไปอินเดียครั้งหลังนั้น แม่เป็นคนรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมด (มีผู้ร่วมคณะหลายคนรวมทั้งพระด้วย) และสาเหตุที่ต้องกลับมาก่อนกำหนด ก็เพราะว่าแม่เงินหมดนั่นเอง ตอนนี้คณะทั้งหมดกลับไปอยู่บ้านใครบ้านมัน แต่พระไม่กลับวัด เพราะกลัวว่าชาวบ้านจะทราบว่าไม่ได้อยู่อินเดีย (จากคำบอกเล่า)
ก่อนหน้านี้ พระเคยขอที่ดินที่ยังเป็นชื่อของหญิงคนนี้ เพื่อเอามาทำเป็นสำนักปฏิบัติธรรม มีการชมว่าที่ดินนี้สวยมากๆ เหมาะกับการนั่งปฏิบัติธรรม (ไม่ทราบว่าพากันไปดูตั้งแต่เมื่อไหร่) แต่ไม่สำเร็จเนื่องจาก พี่น้องของหญิงท่านนี้ (ป้า,อาของลูกๆ)คัดด้าน เพราะอยู่ใกล้กับวัดแถวๆบ้าน ถ้าจะพัฒนาศาสนา ก็น่าจะไปพัฒนาวัดของชุมชนที่มีอายุมากกว่า 200 ปีดีกว่า
กลายเป็นว่าตอนนี้เหมือนมีรอยร้าวระหว่างแม่กับลูกๆ เพราะถึงขนาดประกาศจะขายที่ทั้งหมดเพื่อนำเงินมาสร้างสำนักปฏิบัติธรรมให้ได้ ลูกๆก็กลุ้มใจเพราะทุกวันนี้ก็ใช่จะมีฐานะร่ำรวยอะไร หลายคนยังมีหนี้ เงินเดือนก็น้อย (รับราชการ) ถ้าต้องมาร่วมกู้เงินเพื่อให้แม่ไปสร้างสำนักปฏิบัติธรรมแล้วละก็ชิวิตนี้คงจะใช้หนี้กันชั่วลูกชั่วหลาน
ผมอาจจะเล่าอะไรตกหล่นไปบ้างนะครับ แต่เพราะเป็นคนนอก ที่ได้รับฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่