-----------------------------------------------
ติดตามทริปการเดินทางของเราได้ตามนี้นะครับ
หนีงานไปเที่ยว : ตามฝันถิ่นคันไซ
- ตอนที่ 1 เตรียมเนื้อเตรียมตัว
http://pantip.com/topic/34032943
- ตอนที่ 2 Bangkok - Osaka ตื่นเต้นฝุดๆ
http://pantip.com/topic/34033942
- ตอนที่ 3 Osaka - Endo Sushi - Universal Studio ตอนที่ 1
http://pantip.com/topic/34037448
- ตอนที่ 4 Universal Studio คืนสู่วัยเยาว์ในโลกใบใหญ่ ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/34046029
- ตอนที่ 5 SLOW LIFE IN HIMEJI
http://pantip.com/topic/34064955/comment1
- ตอนที่ 6 KOBE ไม่ได้มีแค่เนื้อนะ!!
http://pantip.com/topic/34104765
- ตอนที่ 7 KYOTO ตัวตนของญี่ปุ่น
http://pantip.com/topic/34161446
ผมทำ Facebook Page กับเขียน Blog ไว้สำหรับคนทำงาน ที่อยากหนีงานไปเที่ยวเข้ามาพูดคุยหรือแชร์เรื่องราวกันครับ ลองแวะไปเยี่ยมชม ติชม หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ ^_^
https://www.facebook.com/ibreak2travel
https://ibreak2travel.wordpress.com/
-----------------------------------------------
หลังจากท่องเที่ยวในถิ่นคันไซกันมาถึง 4 วันแล้ว ในที่สุดก็มาถึงวันที่ผมกับแฟนจะได้ท่องเที่ยวใน Kyoto กันแล้วละครับ ย้อนหลังกลับไปในวัยเด็ก ผมเป็นเด็กสายอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นตัวยงเลยทีเดียว (ทุกวันนี้ก็ยังอ่านอยู่นะ) การ์ตูนวิบูลย์กิจนี่ได้เงินผมไปเยอะเลยล่ะ (ซื้อมันทุกสัปดาห์เลยนี่นา 5555) เป็นธรรมดานะครับที่ผมจะค่อยๆ ซึบซับเอาวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ามาในตัว ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน กีฬา ยากูซ่า นักเรียนนักเลง กีฬา วัด-วัง รวมไปถึงคำว่า คันโต คันไซ และโตเกียว-เกียวโต
ในวัยเด็ก-วัยรุ่น ก็แอบฝันล่ะครับ ว่าสักวันจะได้ไปเที่ยวยังสถานที่ที่เราชื่นชอบ ไปกินราเม็ง ไปกินซูชิ ไปเที่ยวให้ทั่วคันโต คันไซ แต่พอโตขึ้น ทำงาน มีเรื่องรับผิดชอบเยอะ ฝันที่เคยมีก็ค่อยๆ เบาบาง ค่อยๆ จางหายไปจากความทรงจำ อาจมีนึกถึงบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่จริงจัง จนกระทั่ง…
“พี่ต้น ปูกำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกับที่บ้าน จะไปเที่ยวแถบคันไซด้วย พี่ต้นช่วยปูวางแผนทริปหน่อย” ผมตอบรับแฟนว่าจะช่วย โดยที่ไม่รู้เลยว่าในหัวมีข้อมูลเกี่ยวกับคันไซอยู่พอสมควร แล้วยิ่งได้ทำข้อมูลทริปไปเรื่อยๆ ความฝันในวันเก่าก็ค่อยๆ พรั่งพรูขึ้นเรื่อยๆ ฝันที่เคยจางก็กลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง ยิ่งเมื่อแฟนผมกลับมาเล่าเรื่องทริปคันไซของเธอกับครอบครัวให้ผมฟัง ใจผมก็ร่ำร้องให้ผมมาตามฝันของตัวเอง จนเกิดทริป “ตามฝันถิ่นคันไซ” ขึ้นนั่นเองครับ
วันนี้ผมจะขอพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่นแห่งนี้ในสไตล์ของพวกเรากันครัส ตามพวกเรามาเล้ยยยย…ยยยย
เช้าวันที่ 5 หลังจากได้พักผ่อนกันจนเต็มอิ่มแล้ว พวกเราก็แพ็คกระเป๋าแล้วเช็คเอาท์จากโรงแรม (แต่ยังฝากกระเป๋าเอาไว้) เพื่อออกไปหม่ำมื้อเช้าแล้วไปเที่ยวตามโปรแกรมกันครับ
โปรแกรมของวันนี้คือ…
- ไปหามื้อเช้าหม่ำ (แน่นอนครัส ก็กองทัพเดินด้วยท้อง)
- ไปเที่ยววัด Byodo-in ไปตามหามรดกโลกหลังเหรียญ 10 เยน
- ไปหม่ำข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน ใกล้ๆ กับศาลเจ้า Fushimi Inari (ฟูชิมิ อินาริ)
- เที่ยวศาลเจ้าฟู Fushimi Inari ไปดูทางเดินโทะริอิ 1,000 ต้นให้เห็นกับตา
- ไปเที่ยววัดน้ำใส (Kiyomizu-dera คิโยมิสึเดระ) ไปเดินเที่ยวถนนสายกาน้ำชา
- ปิดท้ายด้วยการผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ด้วยการแช่ออนเซ็นและนอนเรียวกังให้สมใจอยากสักคืน
มาเดินทางไปพร้อมๆ กับพวกเรากันนะครับ

แผนที่สถานที่น่าสนใจใน Kyoto
หลังจากเช็คเอาท์และฝากกระเป๋าแล้ว ผมกับแฟนก็เดินข้ามถนนกลับมายังสถานี JR Kyoto เพื่อหามื้อเช้าทานครับ เวลาเช้ามากๆ แบบนี้ ที่สถานี JR Kyoto มีร้านอาหารที่เปิดยามเช้าไว้ให้บริการหลายร้านเลย

งานอาร์ตเก๋ๆ ด้านหน้าโรงแรม

มื้อเช้า จัดเบาๆ ก่อน วันนี้ต้องกินอีกเยอะเลย
จากการหาข้อมูล เราได้ข้อสรุปว่าวันนี้น่าจะลองซื้อบัตร Kyoto one day pass เพื่อใช้บริการขนส่งมวลชนใน Kyoto ด้วยราคาเหมาครับ (ใช้ได้ทั้งรถไฟ JR รถเมล์ รถใต้ดิน) ดังนั้นจัดไปเลยครัส

ซื้อบัตร One Day Pass ได้ที่นี่ครับ Kyoto Tourist Information Center

ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีแผนที่ไว้บริการเพียบเลย

หน้าตาบัตร One day pass
หลังจากได้ตั๋ว Kyoto one day pass แล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังโปรแกรมแรกของวันนี้กัน นั่นคือการไปเยือนวัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple) มรดกโลกสำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเหรียญ 10 เยนนั่นเอง

วัดนี้ถูกนำไปแสดงไว้หลังเหรียญ 10 เยนเชียวนะ มันต้องสำคัญสิน่า

การเดินทางจากสถานี JR Kyoto นั้น สะดวกมากครับ ให้เรานั่งรถไฟ JR สาย Nara มาลงที่สถานี Uji (ใช้เวลาประมาณ 25-30 นาที) จากนั้นเดินจากสถานี Uji ผ่านย่านการค้าต่อไปอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้วครับ
แต่ขอบอกไว้ ณ จุดนี้เลยว่าการจะเดินผ่านย่านการค้านี้ให้ได้ใน 10 นาทีเนี่ย เป็นเรื่องที่โหดมาก เพราะย่านการค้านี้ได้ชื่อว่าเป็นถนนชาเขียวครับ ตลอดทางมีไอศครีม ขนม ของกินต่างๆ ที่เอาไว้ดักพวกเราอยู่หลายจุดเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ ต้องมี 30 นาทีล่ะครับ กว่าจะตัดใจฝ่าออกไปได้ 5555

เราจะเห็นร้านขายขนมที่ทำจากชาเขียวแบบนี้ตลอดทางเลย ยั่วยวนมาก

ชอบการตกแต่งหน้าร้านของย่านนี้มากครับ น่ารักมากเลย

สตรอว์เบอร์รี่ 580 เยนเท่านั้น !!! อร่อยและลูกใหญ่มาก

มีของสดไว้จำหน่ายด้วย สดใหม่มาก

เดินถ่ายภาพกันเพลินเลย
หลังจากฝ่าดงร้านชาเขียวออกมาแล้ว พวกเราก็มาถึง Byodo-in Temple กันแล้วครับ
วัด Byodo-in นี้แต่เดิมเป็นบ้านของตระกูลฟูจิวาระ ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดในศาสนาพุทธในปี ค.ศ. 1052 ตัวอาคารหลักของวัด มีชื่อเรียกว่า “ศาลนกอมตะ” หรือ อะมิดะโด เป็นหอหลักของวัดที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ เพื่อเลียนแบบวังแห่งพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์ อาคารทาสีแดง รูปทรงสวยงาม ตัวอาคารมีลักษณะคล้ายนกที่กำลังจะกางปี จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “หอแห่งนกอมตะ” ยิ่งเมื่อได้เห็นเงาที่ปรากฏบนผิวน้ำในสระขนาดใหญ่ตรงหน้า จะยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนนกที่กำลังจะทะยานขึ้นฟ้าเลยทีเดียว

เหมือนนกกางปีกไหม? ก็แล้วแต่จะมโนนะครับพี่น้อง 555 แต่สวยมากๆ

มุมมหาชนต้องไม่พลาด

ภายในตัวอาคารจะมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักของ “พระอมิตาภพุทธะ” ประดิษฐานอยู่ มีรายละเอียดสวยงามมากครับ เสียดายที่ในวันที่ไปนั้นคนเข้าชมพระพุทธรูปเยอะพอสมควรเลย ผมกับแฟนเลยขอชมวิวอยู่ด้านนอกแทนครับ แฮะๆ
วัด Byodo-in เปิดทำการตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 (ไม่เสียค่าเข้าชมหลัง 17:15)
การเดินทาง : เดินทางด้วยรถไฟสาย JR Nara ลงที่สถานี JR Uji แล้วเดิน 10 นาที หรือจะเดินทางด้วยรถไฟสาย เคฮัง อุจิ ลงที่สถานีเคฮัง อุจิ แล้วเดิน 10 นาที
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 600 เยน
นักเรียนชั้นมัธยมต้น 400 เยน
นักเรียนชั้นประถม 300 เยน
เสร็จจากเที่ยวชมวัด Byodo-in แล้ว ก็ได้เวลาออกมาลิ้มชิมรสผลิตภัณฑ์จากชาเขียวกันสักเล็กน้อย ไหนๆ ก็มาถึงถนนชาเขียวแล้วนี่ครัส เราสองคนเลือกชิมโดรายากิชาเขียวกันครับ ขอบอกเลยว่ารสชาติอร่อยมาก หอม หวานกำลังดีเลยล่ะ
อันที่จริงอยากทานเยอะกว่านี้ แต่ก็จำเป็นต้องเก็บท้องไปกินข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน ที่สถานี Inari ครับ ร้านนี้คุณแฟนเค้าขีดเส้นใต้ไว้ 10 เส้นเลย ว่าเป็นร้านที่ต้องมาลองให้ได้!!! ถ้างั้นเราไปลองดูกันครับว่าจะสุโค่ยแค่ไหน
จากสถานี Uji เราใช้เวลาอีกเพียงแค่ 20 นาที ก็จะไปถึงสถานี Inari ครับ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าชื่อสถานีดูคุ้นหู ใช่ครับ สถานีนี้คือสถานีที่จะพาเราไปเที่ยวศาลเทพเจ้าจิ้งจอง Fushimi Inari นั่นเอง
เมื่อออกมาจากสถานีแล้ว เราจะเห็นศาลเจ้า Fushimi Inari อยู่ห่างไปแค่เพียงถนนเส้นเล็กๆ กั้น แต่เดี๋ยวก่อนครับ ให้เราเลี้ยวซ้ายจากหน้าสถานี แล้วเดินตรงไปแค่ 100 เมตร ก็จะมาถึงร้านปลาไหลในตำนานกันแล้ว!!!!!! จะช้าอยู่ใย รีบไปกันเลยสิครัส!!!

ร้านอยู่ตรงนี้เลยครับ
ร้าน Nezameya เป็นร้านที่ดีเด่นในเรื่องปลาไหลครับ ที่หน้าร้านจะมีเตาย่างปลาไหลส่งกลิ่นหอมเตะจมูกเป็นอย่างมาก เชื่อไหมครับว่าร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1540 ในสมัย Hideyoshi Toyotomi หรือเกือบ 500 ปีมาแล้ว!!!! ของขึ้นชื่อของที่ร้านก็ได้แก่ ข้าวหน้าปลาไหลย่างและอินาริซูชิครับ ว่าแล้วก็ต้องลองเมนูเด็ดของที่ร้านก่อนเลย
เมนูที่ผมสั่งเป็นดังนี้นะครับ
1. Inarizushi หรือ อินาริซูชิ
2. Unagi don หรือ ข้าวหน้าปลาไหล
3. Nishin soba หรือ โซบะซุบปลาแฮร์ริ่ง
4. ชาเขียวร้อน (อันนี้ฟรี)

มันชุ่มฉ่ำมากพูดเลย
ประสบการณ์หลังมื้ออาหาร : พูดเลยครับว่าอร่อย สำหรับข้าวหน้าปลาไหลนั้น เนื้อปลาไม่คาว ย่างกำลังดี หอมมาก ชุ่มซอสรสชาติเข้มข้น แฟนผมทานหมดด้วยความรวดเร็ว สำหรับอินาริซูชินั้นก็อร่อยครับ ฟองเต้าหูบางกำลังดีไม่ขาดง่าย ห่อหุ้มข้าวที่ผ่านการปรุงรสมาแล้วได้อย่างดี ส่วน Nishin soba นั้น เส้นเด้ง เหนียวนุ่ม เนื้อปลาไม่ยุ่ย รู้สึกได้ถึงความหวานของเนื้อปลาสด เมื่อทานกับน้ำซุบแล้วสดชื่นดีมากครับ
สนนราคาค่าอาหารแค่ 3,330 เยน หรือประมาณ 1,000 บาทครับ ลองคิดดูนะครับ ว่าทานข้าวหน้าปลาไหลในเมืองไทย เราจะโดนกันไปคนละกี่บาท ดังนั้นร้านนี้คุ้มด้วยประการทั้งปวงครัส
ร้านเปิดเวลา 10.00-18.00 น แนะนำให้แวะมาทานก่อนเข้าไปเที่ยว Fushimi Inari นะครับ จะได้เดินย่อยไปในตัวด้วย 55555
หนีงานไปเที่ยว : ตามฝันถิ่นคันไซ (DAY 5 – KYOTO ตัวตนของญี่ปุ่น)
ติดตามทริปการเดินทางของเราได้ตามนี้นะครับ
หนีงานไปเที่ยว : ตามฝันถิ่นคันไซ
- ตอนที่ 1 เตรียมเนื้อเตรียมตัว http://pantip.com/topic/34032943
- ตอนที่ 2 Bangkok - Osaka ตื่นเต้นฝุดๆ http://pantip.com/topic/34033942
- ตอนที่ 3 Osaka - Endo Sushi - Universal Studio ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/34037448
- ตอนที่ 4 Universal Studio คืนสู่วัยเยาว์ในโลกใบใหญ่ ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/34046029
- ตอนที่ 5 SLOW LIFE IN HIMEJI http://pantip.com/topic/34064955/comment1
- ตอนที่ 6 KOBE ไม่ได้มีแค่เนื้อนะ!! http://pantip.com/topic/34104765
- ตอนที่ 7 KYOTO ตัวตนของญี่ปุ่น http://pantip.com/topic/34161446
ผมทำ Facebook Page กับเขียน Blog ไว้สำหรับคนทำงาน ที่อยากหนีงานไปเที่ยวเข้ามาพูดคุยหรือแชร์เรื่องราวกันครับ ลองแวะไปเยี่ยมชม ติชม หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ ^_^
https://www.facebook.com/ibreak2travel
https://ibreak2travel.wordpress.com/
-----------------------------------------------
หลังจากท่องเที่ยวในถิ่นคันไซกันมาถึง 4 วันแล้ว ในที่สุดก็มาถึงวันที่ผมกับแฟนจะได้ท่องเที่ยวใน Kyoto กันแล้วละครับ ย้อนหลังกลับไปในวัยเด็ก ผมเป็นเด็กสายอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นตัวยงเลยทีเดียว (ทุกวันนี้ก็ยังอ่านอยู่นะ) การ์ตูนวิบูลย์กิจนี่ได้เงินผมไปเยอะเลยล่ะ (ซื้อมันทุกสัปดาห์เลยนี่นา 5555) เป็นธรรมดานะครับที่ผมจะค่อยๆ ซึบซับเอาวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ามาในตัว ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน กีฬา ยากูซ่า นักเรียนนักเลง กีฬา วัด-วัง รวมไปถึงคำว่า คันโต คันไซ และโตเกียว-เกียวโต
ในวัยเด็ก-วัยรุ่น ก็แอบฝันล่ะครับ ว่าสักวันจะได้ไปเที่ยวยังสถานที่ที่เราชื่นชอบ ไปกินราเม็ง ไปกินซูชิ ไปเที่ยวให้ทั่วคันโต คันไซ แต่พอโตขึ้น ทำงาน มีเรื่องรับผิดชอบเยอะ ฝันที่เคยมีก็ค่อยๆ เบาบาง ค่อยๆ จางหายไปจากความทรงจำ อาจมีนึกถึงบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่จริงจัง จนกระทั่ง…
“พี่ต้น ปูกำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกับที่บ้าน จะไปเที่ยวแถบคันไซด้วย พี่ต้นช่วยปูวางแผนทริปหน่อย” ผมตอบรับแฟนว่าจะช่วย โดยที่ไม่รู้เลยว่าในหัวมีข้อมูลเกี่ยวกับคันไซอยู่พอสมควร แล้วยิ่งได้ทำข้อมูลทริปไปเรื่อยๆ ความฝันในวันเก่าก็ค่อยๆ พรั่งพรูขึ้นเรื่อยๆ ฝันที่เคยจางก็กลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง ยิ่งเมื่อแฟนผมกลับมาเล่าเรื่องทริปคันไซของเธอกับครอบครัวให้ผมฟัง ใจผมก็ร่ำร้องให้ผมมาตามฝันของตัวเอง จนเกิดทริป “ตามฝันถิ่นคันไซ” ขึ้นนั่นเองครับ
วันนี้ผมจะขอพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่นแห่งนี้ในสไตล์ของพวกเรากันครัส ตามพวกเรามาเล้ยยยย…ยยยย
เช้าวันที่ 5 หลังจากได้พักผ่อนกันจนเต็มอิ่มแล้ว พวกเราก็แพ็คกระเป๋าแล้วเช็คเอาท์จากโรงแรม (แต่ยังฝากกระเป๋าเอาไว้) เพื่อออกไปหม่ำมื้อเช้าแล้วไปเที่ยวตามโปรแกรมกันครับ
โปรแกรมของวันนี้คือ…
- ไปหามื้อเช้าหม่ำ (แน่นอนครัส ก็กองทัพเดินด้วยท้อง)
- ไปเที่ยววัด Byodo-in ไปตามหามรดกโลกหลังเหรียญ 10 เยน
- ไปหม่ำข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน ใกล้ๆ กับศาลเจ้า Fushimi Inari (ฟูชิมิ อินาริ)
- เที่ยวศาลเจ้าฟู Fushimi Inari ไปดูทางเดินโทะริอิ 1,000 ต้นให้เห็นกับตา
- ไปเที่ยววัดน้ำใส (Kiyomizu-dera คิโยมิสึเดระ) ไปเดินเที่ยวถนนสายกาน้ำชา
- ปิดท้ายด้วยการผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ด้วยการแช่ออนเซ็นและนอนเรียวกังให้สมใจอยากสักคืน
มาเดินทางไปพร้อมๆ กับพวกเรากันนะครับ
แผนที่สถานที่น่าสนใจใน Kyoto
หลังจากเช็คเอาท์และฝากกระเป๋าแล้ว ผมกับแฟนก็เดินข้ามถนนกลับมายังสถานี JR Kyoto เพื่อหามื้อเช้าทานครับ เวลาเช้ามากๆ แบบนี้ ที่สถานี JR Kyoto มีร้านอาหารที่เปิดยามเช้าไว้ให้บริการหลายร้านเลย
งานอาร์ตเก๋ๆ ด้านหน้าโรงแรม
มื้อเช้า จัดเบาๆ ก่อน วันนี้ต้องกินอีกเยอะเลย
จากการหาข้อมูล เราได้ข้อสรุปว่าวันนี้น่าจะลองซื้อบัตร Kyoto one day pass เพื่อใช้บริการขนส่งมวลชนใน Kyoto ด้วยราคาเหมาครับ (ใช้ได้ทั้งรถไฟ JR รถเมล์ รถใต้ดิน) ดังนั้นจัดไปเลยครัส
ซื้อบัตร One Day Pass ได้ที่นี่ครับ Kyoto Tourist Information Center
ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีแผนที่ไว้บริการเพียบเลย
หน้าตาบัตร One day pass
หลังจากได้ตั๋ว Kyoto one day pass แล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังโปรแกรมแรกของวันนี้กัน นั่นคือการไปเยือนวัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple) มรดกโลกสำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเหรียญ 10 เยนนั่นเอง
วัดนี้ถูกนำไปแสดงไว้หลังเหรียญ 10 เยนเชียวนะ มันต้องสำคัญสิน่า
การเดินทางจากสถานี JR Kyoto นั้น สะดวกมากครับ ให้เรานั่งรถไฟ JR สาย Nara มาลงที่สถานี Uji (ใช้เวลาประมาณ 25-30 นาที) จากนั้นเดินจากสถานี Uji ผ่านย่านการค้าต่อไปอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้วครับ
แต่ขอบอกไว้ ณ จุดนี้เลยว่าการจะเดินผ่านย่านการค้านี้ให้ได้ใน 10 นาทีเนี่ย เป็นเรื่องที่โหดมาก เพราะย่านการค้านี้ได้ชื่อว่าเป็นถนนชาเขียวครับ ตลอดทางมีไอศครีม ขนม ของกินต่างๆ ที่เอาไว้ดักพวกเราอยู่หลายจุดเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ ต้องมี 30 นาทีล่ะครับ กว่าจะตัดใจฝ่าออกไปได้ 5555
เราจะเห็นร้านขายขนมที่ทำจากชาเขียวแบบนี้ตลอดทางเลย ยั่วยวนมาก
ชอบการตกแต่งหน้าร้านของย่านนี้มากครับ น่ารักมากเลย
สตรอว์เบอร์รี่ 580 เยนเท่านั้น !!! อร่อยและลูกใหญ่มาก
มีของสดไว้จำหน่ายด้วย สดใหม่มาก
เดินถ่ายภาพกันเพลินเลย
หลังจากฝ่าดงร้านชาเขียวออกมาแล้ว พวกเราก็มาถึง Byodo-in Temple กันแล้วครับ
วัด Byodo-in นี้แต่เดิมเป็นบ้านของตระกูลฟูจิวาระ ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดในศาสนาพุทธในปี ค.ศ. 1052 ตัวอาคารหลักของวัด มีชื่อเรียกว่า “ศาลนกอมตะ” หรือ อะมิดะโด เป็นหอหลักของวัดที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ เพื่อเลียนแบบวังแห่งพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์ อาคารทาสีแดง รูปทรงสวยงาม ตัวอาคารมีลักษณะคล้ายนกที่กำลังจะกางปี จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “หอแห่งนกอมตะ” ยิ่งเมื่อได้เห็นเงาที่ปรากฏบนผิวน้ำในสระขนาดใหญ่ตรงหน้า จะยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนนกที่กำลังจะทะยานขึ้นฟ้าเลยทีเดียว
เหมือนนกกางปีกไหม? ก็แล้วแต่จะมโนนะครับพี่น้อง 555 แต่สวยมากๆ
มุมมหาชนต้องไม่พลาด
ภายในตัวอาคารจะมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักของ “พระอมิตาภพุทธะ” ประดิษฐานอยู่ มีรายละเอียดสวยงามมากครับ เสียดายที่ในวันที่ไปนั้นคนเข้าชมพระพุทธรูปเยอะพอสมควรเลย ผมกับแฟนเลยขอชมวิวอยู่ด้านนอกแทนครับ แฮะๆ
วัด Byodo-in เปิดทำการตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 (ไม่เสียค่าเข้าชมหลัง 17:15)
การเดินทาง : เดินทางด้วยรถไฟสาย JR Nara ลงที่สถานี JR Uji แล้วเดิน 10 นาที หรือจะเดินทางด้วยรถไฟสาย เคฮัง อุจิ ลงที่สถานีเคฮัง อุจิ แล้วเดิน 10 นาที
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 600 เยน
นักเรียนชั้นมัธยมต้น 400 เยน
นักเรียนชั้นประถม 300 เยน
เสร็จจากเที่ยวชมวัด Byodo-in แล้ว ก็ได้เวลาออกมาลิ้มชิมรสผลิตภัณฑ์จากชาเขียวกันสักเล็กน้อย ไหนๆ ก็มาถึงถนนชาเขียวแล้วนี่ครัส เราสองคนเลือกชิมโดรายากิชาเขียวกันครับ ขอบอกเลยว่ารสชาติอร่อยมาก หอม หวานกำลังดีเลยล่ะ
อันที่จริงอยากทานเยอะกว่านี้ แต่ก็จำเป็นต้องเก็บท้องไปกินข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน ที่สถานี Inari ครับ ร้านนี้คุณแฟนเค้าขีดเส้นใต้ไว้ 10 เส้นเลย ว่าเป็นร้านที่ต้องมาลองให้ได้!!! ถ้างั้นเราไปลองดูกันครับว่าจะสุโค่ยแค่ไหน
จากสถานี Uji เราใช้เวลาอีกเพียงแค่ 20 นาที ก็จะไปถึงสถานี Inari ครับ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าชื่อสถานีดูคุ้นหู ใช่ครับ สถานีนี้คือสถานีที่จะพาเราไปเที่ยวศาลเทพเจ้าจิ้งจอง Fushimi Inari นั่นเอง
เมื่อออกมาจากสถานีแล้ว เราจะเห็นศาลเจ้า Fushimi Inari อยู่ห่างไปแค่เพียงถนนเส้นเล็กๆ กั้น แต่เดี๋ยวก่อนครับ ให้เราเลี้ยวซ้ายจากหน้าสถานี แล้วเดินตรงไปแค่ 100 เมตร ก็จะมาถึงร้านปลาไหลในตำนานกันแล้ว!!!!!! จะช้าอยู่ใย รีบไปกันเลยสิครัส!!!
ร้านอยู่ตรงนี้เลยครับ
ร้าน Nezameya เป็นร้านที่ดีเด่นในเรื่องปลาไหลครับ ที่หน้าร้านจะมีเตาย่างปลาไหลส่งกลิ่นหอมเตะจมูกเป็นอย่างมาก เชื่อไหมครับว่าร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1540 ในสมัย Hideyoshi Toyotomi หรือเกือบ 500 ปีมาแล้ว!!!! ของขึ้นชื่อของที่ร้านก็ได้แก่ ข้าวหน้าปลาไหลย่างและอินาริซูชิครับ ว่าแล้วก็ต้องลองเมนูเด็ดของที่ร้านก่อนเลย
เมนูที่ผมสั่งเป็นดังนี้นะครับ
1. Inarizushi หรือ อินาริซูชิ
2. Unagi don หรือ ข้าวหน้าปลาไหล
3. Nishin soba หรือ โซบะซุบปลาแฮร์ริ่ง
4. ชาเขียวร้อน (อันนี้ฟรี)
มันชุ่มฉ่ำมากพูดเลย
ประสบการณ์หลังมื้ออาหาร : พูดเลยครับว่าอร่อย สำหรับข้าวหน้าปลาไหลนั้น เนื้อปลาไม่คาว ย่างกำลังดี หอมมาก ชุ่มซอสรสชาติเข้มข้น แฟนผมทานหมดด้วยความรวดเร็ว สำหรับอินาริซูชินั้นก็อร่อยครับ ฟองเต้าหูบางกำลังดีไม่ขาดง่าย ห่อหุ้มข้าวที่ผ่านการปรุงรสมาแล้วได้อย่างดี ส่วน Nishin soba นั้น เส้นเด้ง เหนียวนุ่ม เนื้อปลาไม่ยุ่ย รู้สึกได้ถึงความหวานของเนื้อปลาสด เมื่อทานกับน้ำซุบแล้วสดชื่นดีมากครับ
สนนราคาค่าอาหารแค่ 3,330 เยน หรือประมาณ 1,000 บาทครับ ลองคิดดูนะครับ ว่าทานข้าวหน้าปลาไหลในเมืองไทย เราจะโดนกันไปคนละกี่บาท ดังนั้นร้านนี้คุ้มด้วยประการทั้งปวงครัส
ร้านเปิดเวลา 10.00-18.00 น แนะนำให้แวะมาทานก่อนเข้าไปเที่ยว Fushimi Inari นะครับ จะได้เดินย่อยไปในตัวด้วย 55555