จากหนิงซิ (บายี) - สู่เมืองโพมิ เส้นทางเส้นทรหด
เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่แต่เช้าอีกครั้ง เพราะสถานการณ์เบื้องหน้ากับเส้นทางการเดินทางที่ดูจะคาดเดาได้ยากไม่ต่างจากเมื่อวานทำให้เราตกลงกับไกด์ประจำทริปว่าเราพร้อมที่จะออกเดินทางแต่เช้า เพราะไม่รู้ว่าจะสามารถไปถึงจุดหมายของเราได้เมื่อใดกับการเดินทาง 260 กิโลเมตร
การเดินในวันนี้ยังไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก เรายังต้องเส้นทางมิตรภาพจากเนปาลสู่เซียงไฮ้ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างโดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปีจึงจะแล้วเสร็จ โดยตลอดทางจะมีเครื่องจักรที่ทำงานอยู่เป็นช่วงๆ โดยในเส้นทางนี้จะเปิดให้ใช้เดินทางได้แบบวันเว้นวันสลับกับการทำงานเพื่อก่อสร้างทาง

ธรรมชาติระหว่างเส้นทางในทิเบต

เส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามไหล่เขาตลอดเส้นทาง
บนเส้นทางที่แสนหฤโหดด้านข้างซ้ายมือคือเขา ด้านขวามือคือเหวลึก บางช่วงของเส้นทางรถที่สวนทางกันระยะห่างระหว่าง 2 คันผมต้องบอกว่าห่างแค่ 1-2 นิ้วเท่านั้นครับ ขณะที่บางช่วงสามารถผ่านได้เพียงคันเดียว โชคดีของผมที่ไกด์และคนขับรถคอยช่วยแก้ปัญหาให้ทั้งของคณะเราและคนอื่นๆได้ตลอดเส้นทางแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ประตูทางด้านหน้าทางเข้าสวนสน

บริเวณลานด้านหน้าต้นสนจำนวนมาก

ต้นสนขนาดใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 2,600 ปี

เมื่อเทียบกับตัวผมต้นสนต้นนี้ใหญ่มากครับ
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษเราเดินทางมาถึงจุดหมายแรกของการพักรถ จากถนนหลักเราเลี้ยวเข้าซอยไปประมาณ 500 เมตรถึงป่าสนต้นขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า Ancient Cypress Forests ด้านหน้าผมมีต้นสนขนาดใหญ่จนได้รับขนานนามว่า King of Cypress มีความสูงถึง 57 เมตร ขนาดเส้นรอบวง 5 คนโอบเลยทีเดียวอายุมากถึง 2,600 ปี

มุมเล็กๆจากด้านบนที่ทำให้เราเห็นเมืองได้จากมุมสูง
โดยรอบต้นไม้จะมีการนำผ้าสีขาวมาผูกไว้โดยรอบบริเวณ เพราะชาวทิเบตเชื่อว่าจะมีเทวดารักษาต้นไม้ประจำต้นไม้แต่ละต้น นอกจากนั้นยังมีการนำธงมนต์ตรา 5 สีมาผูกรอบบริเวณ โดย 5 สีประกอบไปด้วย สีฟ้า หมายถึง ท้องฟ้า, สีขาว หมายถึง เมฆ, สีเขียว หมายถึง น้ำ, สีแดง หมายถึง ไฟและสีเหลือง หมายถึง ดิน เพื่อเป็นการปรับสมดุลตามธรรมชาติ

ยังคงเห็นธงมนต์ตราสัญลักษณ์สำคัญได้ตลอดเส้นทาง
เส้นทางที่สำหรับผมต้องบอกว่าหวาดเสียวสุดครับ ยิ่งผมนั่งท้ายรถด้วย มองไปด้านหลังที่เป็นเหวอยู่ใกล้แค่เอื้อมทำให้หายใจไม่ทั่วท้องไปบางช่วง เราอาจจะต้องเดินลงจากรถบางจุดที่เส้นทางค่อนข้างหวาดเสียวเพราะวันนั้นฝนตกยิ่งทำให้การขับรถขึ้นเขาทำได้ยากมากขึ้น

ระหว่างจุดพักรถนอกจากเป็นที่ซื้อขายของที่ระลึกแล้วยังมีหมูด้วยนะครับ
เรามาถึงจุดที่เป็นสะพานข้ามไปอีกฝาก สะพานขนาดความยาวประมาณ 120 เมตรเป็นลักษณะคล้ายสะพานลวดขึงรถผ่านได้เพียงครั้งละ 1 คันเท่านั้น บริเวณด้านหน้าของสะพานจะมีทหารคอยยืนโบกรถในข้ามไปทีละคัน ทีละด้านสลับไปมา
เรานั่งรถ นอนหลับ ตื่น ถ่ายรูปทิวทัศน์ ซึ่งมีทั้งภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาแน่น และเทือกเขาหินที่ด้านบนยังถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนมากมาย เราผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเหล่า พักเข้าห้องน้ำธรรมชาติระหว่างทางทั้งถ่ายเบา ถ่ายหนักเราผ่านมาทุกรูปแบบ

บรรยากาศของถนนบนเส้นทางที่เราใช้เดินทาง
สิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นทิษชู่แบบแห้ง แบบเปียก ยาชนิดต่างๆ ของกินที่ควรจะหลากหลายพอสมควรเพื่อให้ไม่เบื่อ เพราะเราจะต้องใช้ชีวิตหลายชั่วโมง จริงๆควรจะบอกว่าหลายวันน่าจะถูกต้องกว่าบนรถถือเป็นสิ่งของจำเป็น
ตลอด 2 ข้างทางนอกเหนือจากวิวทิวทัศน์ที่แตกต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง เราจะยังได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวทิเบต จามรี หรือที่ชาวทิเบตเรียกว่า ยัก รวมถึงแกะ สัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารถูกปล่อยให้เดินตามท้องถนนทั่วไปตลอดเส้นทาง
นอกจากนี้ตลอดทางเรายังสามารถเห็นชาวทิเบตที่ออกเดินเท้าจากบ้านด้วยการไหว้ราบ หรือ อัษฎางคประดิษฐ์ อยู่ตลอดเส้นทางจุดหมายปลายทางคือวัดโจคัง เมืองลาซาที่เราเพิ่งไปเยี่ยมชมมา จากจุดที่เราเห็นแรงศรัทธาของชาวทิเบตเหล่านั้น อาจจะต้องใช้เวลาถึง 6-8 เดือนชาวทิเบตคนนั้นถึงจะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางของเค้า

ตลอดเส้นทางด้านหนึ่งติดเขา อีกด้านติดเหวที่เบื้องล่างเป็นแม่น้ำ
อีกหลายชั่วโมงบนความสูงที่เริ่มลดลลงจากระดับ 3,100 เมตรสูงกว่าระดับน้ำทะเลเมื่อวานที่เราพักค้างคืน ในคืนนี้เมืองที่เราพักแรมจะอยู่บนความสูงเพียง 2,740 เมตรซึ่งระดับความสูงดังกล่าว ออกซิเจนกระป๋องที่เราเตรียมไว้มากมายอาจจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่นัก

มีการเตรียมก่อสร้างเส้นทางรถไฟซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปีจึงแล้วเสร็จ

ขณะที่ถนนยังมีอีกหลายช่วงที่เครื่องจักรยังต้องทำงานกันอย่างหนัก
เราเดินทางมาถึงเมืองโพมิ ซึ่งเราจะพักค้างคืน 2 คืนเวลาประมาณ 1 ทุ่ม หรืออีกเกือบ 10 ชั่วโมงกับการเดินทาง สิ่งแรกหลังจากขนของสัมภาระทุกอย่างเข้าไปวางในห้องที่โรงแรม เราภาวนาให้พรุ่งนี้เราโชคดีกับสภาพอากาศ โดยหวังว่าฝนจะไม่ตกเพื่อให้เราสามารถมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้จากจุดที่เราจะต้องเดินทาง
หลังกินอาหารเย็นในร้านท้องถิ่นเรามีเวลาที่จะเดินไปบริเวณลานกว้างขนาดใหญ่กลางเมือง ด้านหลังนอกเหนือจากภูเขาสูงที่ยอดปกคลุมด้วยหิมะแล้วจะมีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่เปิดพร้อมกับเพลงท้องถิ่นซึ่งถือว่าน่าสนใจทีเดียวครับ
ไม่นานนักเริ่มมีหนุ่ม สาว ผู้ใหญ่ เด็ก ออกไปล้อมวงเต้นประกอบเพลงที่ดังขึ้น ดูไปคล้ายๆกับการออกกำลังกายบริหารตามสวนในบ้านเราครับ แต่ที่นี่ยังถือว่าเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจมากจากวัยรุ่นทั่วไป ไม่นานจากแถวที่มี 6-7 คน ก็มีจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นหลายสิบคน จากวงเล็กๆกลายเป็นวงใหญ่ขึ้น

บริเวณลานเอนกประสงค์ของเมืองที่ชาวเมืองจำนวนมากออกมาเต้นรำพื้นเมืองช่วงเวลาเย็น
ผมยืนดูอยู่นานพอสมควรก่อนจะแยกย้ายกับสมาชิกร่วมเดินทางเพื่อไปพักผ่อนเตรียมตัวให้พร้อมกับจุดหมายปลายทางสำคัญ 2 อย่างสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ในวันนี้ นั้นคือ ทะเลสาบลาว็อก หรือ Lawok Lake และธารน้ำแข็งมิดุย หรือ Mi Dui Glacier 1 ใน 3 ธารน้ำแข็งในประเทศจีน

คนขับรถและไกด์ของเราสำหรับการเดินทางในทิเบต
โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนที่ 1
http://pantip.com/topic/33775320 เปิดเส้นทางใหม่ที่คนไทยน้อยคนนักเคยไปถึง “พระราชวังโปตาลา-วัดโจคัง-ทะเลสาบลาว็อก-ธารน้ำแข็งมิดุย”......
ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/33779378 เริ่มเดินทางจากกรุงเทพฯสู่หลังคาโลก
ตอนที่ 3
http://pantip.com/topic/33782794 ตะลุยสุสานจิ๋นซี ฮ่องเต้
ตอนที่ 4
http://pantip.com/topic/33784827 นั่งรถไฟไป "หลังคาโลก" ทิเบต
ตอนที่ 5
http://pantip.com/topic/33788603 ขอต้อนรับสู่ดินแดน ”หลังคาโลก”
ตอนที่ 6
http://pantip.com/topic/33799398 พระราชวังโปตาลา - วัดโจคัง ศูนย์รวมใจของชาวทิเบต
ตอนที่ 7
http://pantip.com/topic/33805284 จากลาซา สู่หนิงซิ ด้านหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย
ตอนที่ 9
http://pantip.com/topic/33825898 ทิเบตพลาดไม่ได้ "ทะเลสาบลาว็อก-ธารน้ำแข็งมิดุย"
ตอนที่ 10
http://pantip.com/topic/33834611 ผมเรียกที่นี่ว่า “ซัมบาลา”
ตอนที่ 11
http://pantip.com/topic/33851383 “ฉงชิ่ง” วัฒนธรรมร่วมสมัยของจีนยุคใหม่
ตอนที่ 12
http://pantip.com/topic/33864605 บทสรุปการเดินทาง จีน - ทิเบต บนเส้นทางของผม
แบกเป้จากศูนย์สู่”หลังคาโลก” ทิเบต (8)
เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่แต่เช้าอีกครั้ง เพราะสถานการณ์เบื้องหน้ากับเส้นทางการเดินทางที่ดูจะคาดเดาได้ยากไม่ต่างจากเมื่อวานทำให้เราตกลงกับไกด์ประจำทริปว่าเราพร้อมที่จะออกเดินทางแต่เช้า เพราะไม่รู้ว่าจะสามารถไปถึงจุดหมายของเราได้เมื่อใดกับการเดินทาง 260 กิโลเมตร
การเดินในวันนี้ยังไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก เรายังต้องเส้นทางมิตรภาพจากเนปาลสู่เซียงไฮ้ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างโดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปีจึงจะแล้วเสร็จ โดยตลอดทางจะมีเครื่องจักรที่ทำงานอยู่เป็นช่วงๆ โดยในเส้นทางนี้จะเปิดให้ใช้เดินทางได้แบบวันเว้นวันสลับกับการทำงานเพื่อก่อสร้างทาง
ธรรมชาติระหว่างเส้นทางในทิเบต
เส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามไหล่เขาตลอดเส้นทาง
บนเส้นทางที่แสนหฤโหดด้านข้างซ้ายมือคือเขา ด้านขวามือคือเหวลึก บางช่วงของเส้นทางรถที่สวนทางกันระยะห่างระหว่าง 2 คันผมต้องบอกว่าห่างแค่ 1-2 นิ้วเท่านั้นครับ ขณะที่บางช่วงสามารถผ่านได้เพียงคันเดียว โชคดีของผมที่ไกด์และคนขับรถคอยช่วยแก้ปัญหาให้ทั้งของคณะเราและคนอื่นๆได้ตลอดเส้นทางแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ประตูทางด้านหน้าทางเข้าสวนสน
บริเวณลานด้านหน้าต้นสนจำนวนมาก
ต้นสนขนาดใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 2,600 ปี
เมื่อเทียบกับตัวผมต้นสนต้นนี้ใหญ่มากครับ
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษเราเดินทางมาถึงจุดหมายแรกของการพักรถ จากถนนหลักเราเลี้ยวเข้าซอยไปประมาณ 500 เมตรถึงป่าสนต้นขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า Ancient Cypress Forests ด้านหน้าผมมีต้นสนขนาดใหญ่จนได้รับขนานนามว่า King of Cypress มีความสูงถึง 57 เมตร ขนาดเส้นรอบวง 5 คนโอบเลยทีเดียวอายุมากถึง 2,600 ปี
มุมเล็กๆจากด้านบนที่ทำให้เราเห็นเมืองได้จากมุมสูง
โดยรอบต้นไม้จะมีการนำผ้าสีขาวมาผูกไว้โดยรอบบริเวณ เพราะชาวทิเบตเชื่อว่าจะมีเทวดารักษาต้นไม้ประจำต้นไม้แต่ละต้น นอกจากนั้นยังมีการนำธงมนต์ตรา 5 สีมาผูกรอบบริเวณ โดย 5 สีประกอบไปด้วย สีฟ้า หมายถึง ท้องฟ้า, สีขาว หมายถึง เมฆ, สีเขียว หมายถึง น้ำ, สีแดง หมายถึง ไฟและสีเหลือง หมายถึง ดิน เพื่อเป็นการปรับสมดุลตามธรรมชาติ
ยังคงเห็นธงมนต์ตราสัญลักษณ์สำคัญได้ตลอดเส้นทาง
เส้นทางที่สำหรับผมต้องบอกว่าหวาดเสียวสุดครับ ยิ่งผมนั่งท้ายรถด้วย มองไปด้านหลังที่เป็นเหวอยู่ใกล้แค่เอื้อมทำให้หายใจไม่ทั่วท้องไปบางช่วง เราอาจจะต้องเดินลงจากรถบางจุดที่เส้นทางค่อนข้างหวาดเสียวเพราะวันนั้นฝนตกยิ่งทำให้การขับรถขึ้นเขาทำได้ยากมากขึ้น
ระหว่างจุดพักรถนอกจากเป็นที่ซื้อขายของที่ระลึกแล้วยังมีหมูด้วยนะครับ
เรามาถึงจุดที่เป็นสะพานข้ามไปอีกฝาก สะพานขนาดความยาวประมาณ 120 เมตรเป็นลักษณะคล้ายสะพานลวดขึงรถผ่านได้เพียงครั้งละ 1 คันเท่านั้น บริเวณด้านหน้าของสะพานจะมีทหารคอยยืนโบกรถในข้ามไปทีละคัน ทีละด้านสลับไปมา
เรานั่งรถ นอนหลับ ตื่น ถ่ายรูปทิวทัศน์ ซึ่งมีทั้งภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาแน่น และเทือกเขาหินที่ด้านบนยังถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนมากมาย เราผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเหล่า พักเข้าห้องน้ำธรรมชาติระหว่างทางทั้งถ่ายเบา ถ่ายหนักเราผ่านมาทุกรูปแบบ
บรรยากาศของถนนบนเส้นทางที่เราใช้เดินทาง
สิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นทิษชู่แบบแห้ง แบบเปียก ยาชนิดต่างๆ ของกินที่ควรจะหลากหลายพอสมควรเพื่อให้ไม่เบื่อ เพราะเราจะต้องใช้ชีวิตหลายชั่วโมง จริงๆควรจะบอกว่าหลายวันน่าจะถูกต้องกว่าบนรถถือเป็นสิ่งของจำเป็น
ตลอด 2 ข้างทางนอกเหนือจากวิวทิวทัศน์ที่แตกต่างจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง เราจะยังได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวทิเบต จามรี หรือที่ชาวทิเบตเรียกว่า ยัก รวมถึงแกะ สัตว์เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารถูกปล่อยให้เดินตามท้องถนนทั่วไปตลอดเส้นทาง
นอกจากนี้ตลอดทางเรายังสามารถเห็นชาวทิเบตที่ออกเดินเท้าจากบ้านด้วยการไหว้ราบ หรือ อัษฎางคประดิษฐ์ อยู่ตลอดเส้นทางจุดหมายปลายทางคือวัดโจคัง เมืองลาซาที่เราเพิ่งไปเยี่ยมชมมา จากจุดที่เราเห็นแรงศรัทธาของชาวทิเบตเหล่านั้น อาจจะต้องใช้เวลาถึง 6-8 เดือนชาวทิเบตคนนั้นถึงจะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางของเค้า
ตลอดเส้นทางด้านหนึ่งติดเขา อีกด้านติดเหวที่เบื้องล่างเป็นแม่น้ำ
อีกหลายชั่วโมงบนความสูงที่เริ่มลดลลงจากระดับ 3,100 เมตรสูงกว่าระดับน้ำทะเลเมื่อวานที่เราพักค้างคืน ในคืนนี้เมืองที่เราพักแรมจะอยู่บนความสูงเพียง 2,740 เมตรซึ่งระดับความสูงดังกล่าว ออกซิเจนกระป๋องที่เราเตรียมไว้มากมายอาจจะไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่นัก
มีการเตรียมก่อสร้างเส้นทางรถไฟซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2 ปีจึงแล้วเสร็จ
ขณะที่ถนนยังมีอีกหลายช่วงที่เครื่องจักรยังต้องทำงานกันอย่างหนัก
เราเดินทางมาถึงเมืองโพมิ ซึ่งเราจะพักค้างคืน 2 คืนเวลาประมาณ 1 ทุ่ม หรืออีกเกือบ 10 ชั่วโมงกับการเดินทาง สิ่งแรกหลังจากขนของสัมภาระทุกอย่างเข้าไปวางในห้องที่โรงแรม เราภาวนาให้พรุ่งนี้เราโชคดีกับสภาพอากาศ โดยหวังว่าฝนจะไม่ตกเพื่อให้เราสามารถมองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้จากจุดที่เราจะต้องเดินทาง
หลังกินอาหารเย็นในร้านท้องถิ่นเรามีเวลาที่จะเดินไปบริเวณลานกว้างขนาดใหญ่กลางเมือง ด้านหลังนอกเหนือจากภูเขาสูงที่ยอดปกคลุมด้วยหิมะแล้วจะมีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่เปิดพร้อมกับเพลงท้องถิ่นซึ่งถือว่าน่าสนใจทีเดียวครับ
ไม่นานนักเริ่มมีหนุ่ม สาว ผู้ใหญ่ เด็ก ออกไปล้อมวงเต้นประกอบเพลงที่ดังขึ้น ดูไปคล้ายๆกับการออกกำลังกายบริหารตามสวนในบ้านเราครับ แต่ที่นี่ยังถือว่าเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจมากจากวัยรุ่นทั่วไป ไม่นานจากแถวที่มี 6-7 คน ก็มีจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นหลายสิบคน จากวงเล็กๆกลายเป็นวงใหญ่ขึ้น
บริเวณลานเอนกประสงค์ของเมืองที่ชาวเมืองจำนวนมากออกมาเต้นรำพื้นเมืองช่วงเวลาเย็น
ผมยืนดูอยู่นานพอสมควรก่อนจะแยกย้ายกับสมาชิกร่วมเดินทางเพื่อไปพักผ่อนเตรียมตัวให้พร้อมกับจุดหมายปลายทางสำคัญ 2 อย่างสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ในวันนี้ นั้นคือ ทะเลสาบลาว็อก หรือ Lawok Lake และธารน้ำแข็งมิดุย หรือ Mi Dui Glacier 1 ใน 3 ธารน้ำแข็งในประเทศจีน
คนขับรถและไกด์ของเราสำหรับการเดินทางในทิเบต
โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/33775320 เปิดเส้นทางใหม่ที่คนไทยน้อยคนนักเคยไปถึง “พระราชวังโปตาลา-วัดโจคัง-ทะเลสาบลาว็อก-ธารน้ำแข็งมิดุย”......
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/33779378 เริ่มเดินทางจากกรุงเทพฯสู่หลังคาโลก
ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/33782794 ตะลุยสุสานจิ๋นซี ฮ่องเต้
ตอนที่ 4 http://pantip.com/topic/33784827 นั่งรถไฟไป "หลังคาโลก" ทิเบต
ตอนที่ 5 http://pantip.com/topic/33788603 ขอต้อนรับสู่ดินแดน ”หลังคาโลก”
ตอนที่ 6 http://pantip.com/topic/33799398 พระราชวังโปตาลา - วัดโจคัง ศูนย์รวมใจของชาวทิเบต
ตอนที่ 7 http://pantip.com/topic/33805284 จากลาซา สู่หนิงซิ ด้านหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย
ตอนที่ 9 http://pantip.com/topic/33825898 ทิเบตพลาดไม่ได้ "ทะเลสาบลาว็อก-ธารน้ำแข็งมิดุย"
ตอนที่ 10 http://pantip.com/topic/33834611 ผมเรียกที่นี่ว่า “ซัมบาลา”
ตอนที่ 11 http://pantip.com/topic/33851383 “ฉงชิ่ง” วัฒนธรรมร่วมสมัยของจีนยุคใหม่
ตอนที่ 12 http://pantip.com/topic/33864605 บทสรุปการเดินทาง จีน - ทิเบต บนเส้นทางของผม