สวัสดีค่ะ เราจะมาเล่าการไปเที่ยวดอยอินทนนท์ครั้งแรกของเราค่ะ
หลังจากมาอยู่เชียงใหม่ได้ครบ 7 วัน ก็อยากจะมีทริปกับเค้าบ้าง เลยชวนเพื่อนซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวกัน
ไปไหนดี คิดอยู่สองนาที ไปดอยอินทนนท์แล้วกันเนาะ ดังจะตาย ไม่ใกล้ไม่ไกลขี่ไหวสบายมาก
ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเพราะ ไม่มีรถยนต์และสะดวกกว่า ราคาถูกกว่าเหมารถไป มอเตอร์ไซค์ก็รถมีเกียร์บ้านๆธรรมดา
ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวแบ่งเป็น
- ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ คนละ 20 บาท
- ค่าพาหนะ คนละ 10 บาท
- ค่าไกด์นำทางกิ่วแม่ปานคนละ 50 บาท
- ค่าเข้าพระมหาธาตุ คนละ 20 บาท
- ค่าน้ำมัน ไปกลับ เติมสองที 140 บาท ตกลงคน 70 บาท
ที่เหลือค่ากินคนละนิดหน่อย หมดกันคนละไม่เกิน 300 บาท เพราะกินแบบประหยัดสุดๆเลยค่ะ
กล้องที่ใช้ถ่ายรูปก็กล้องคอมแพคธรรมดาๆ โหมดออโต้ตลอดทริปค่ะ
เช้าวันที่ 30 พ.ค. เรานัดเพื่อนไว้ 6 โมงเช้าค่ะ เราขี่ไปรับเพื่อนแถวๆวัดเจ็ดยอด หลังจากหาเติมน้ำมันรอบแรก 70 บาท
ก็วิ่งยาวทางหลวง 121 เลียบคลองชล ไปแยกซ้ายเข้าทางหลวง 108 แถวๆ แยกสะเมิง หลังจากนั้นก็ยาวตามป้ายไปเรื่อยๆ
จนไปถึงด่านตรวจด่านที่หนึ่ง มาถึงประมาณ 7 โมงครึ่งค่ะ จ่ายค่าเสียหายเสร็จก็แว้นกันต่อ เราตกลงกันว่า ขึ้นยอดบนสุดก่อน
แล้วค่อยแวะตามทางลงมาเรื่อยๆ เราจึงขึ้นยอดดอยก่อนเลยค่ะ ระหว่างทางก็ขี่สบายๆเกียร์สามเกียร์สี่ มีบางช่วงเกียร์สองบ้าง
จนถึงช่วงสิบกว่ากิโลเมตรสุดท้าย ลากเกียร์หนึ่งอย่างเดียว อากาศก็เย็นขึ้นเรื่อยๆจนหนาว ขี่ไปมือสั่นปากสั่น
จนเห็นยอดพระมหาธาตุลิบๆไกลๆเราก็จอดหนึ่งที

ระหว่างทางก่อนถึงพระมหาธาตุ ถ่ายก่อนซักหน่อย ตื่นเต้นหมอกหมากค่ะ
หลังจากนั้นก็ขึ้นไปถึงยอดประมาณ 8 โมงเช้า ลงจากมอเตอร์ไซค์นี่สั่นเป็นเจ้าเข้า อากาศเย็นมากค่ะ
บนยอดดอย ประดิษฐานสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์ อดีตเจ้าเมืองเชียงใหม่ และเป็นที่ตั้งของสถานีเรด้าของกองทัพอากาศไทย

เดินขึ้นบันไดมาสองขั้นตื่นเต้นกับมอสเกาะท่อนไม้มาก ไม่เคยเจอชื้นขนาดนี้

เดินอีกหน่อยก็มาเจอป้ายยอดนิยม คาดว่ามีคนถ่ายรูปกับป้ายนี้ปีละหลายพันคน เราก็เช่นกัน แต่ๆๆ ป้ายนี้หลอกลวงค่ะ
จุดสูงสุดจริงๆต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย

ทางเดินมืดครึ้ม ลื่นด้วยค่ะ จนท.ข้างล่างบอกว่าเมื่อเช้าฝนตก สภาพตอนนี้คือมีแต่เมฆไหลรอบๆตัว

นี่แหละ สูงสุดในสยาม ขึ้นมาจนได้ แต่รู้สึกเหมือนสถานีเรด้าข้างๆจะสูงกว่า คิดไปเอง

เห็นทางเดินยาวต่อไปอีก ไม่รู้ไปไหน เดินได้เดินไป สรุปคือไปโผล่ห้องน้ำ ร้านค้า เลยแวะกินบะหมี่ถ้วยไข่ต้มกันตรงนั้น

เห็นนกน้อยน่ารักจิ๊บๆๆๆ เลยแชะมา

อุณหภูมิตอนนั้นประมาณแปดโมงนิดๆค่ะ เย็นมาก ใส่เสื้อกันลมมาตัวเดียว ชื่นใจ
กินเสร็จก็เดินกลับลงมา พอติดเครื่องเตรียมไปต่อมองดูน้ำมันแล้วตกใจ
''เฮ้ยแก น้ำมันหายไปไหนหมด'' งานเข้าแล้วค่ะ น้ำมันตกไปเร็วมาก เพราะขึ้นเกียร์หนึ่งตลอดช่วง 10 กิโลเมตรสุดท้าย
มัวแต่ตื่นเต้นลืมดูน้ำมัน ปลอบใจกันเองว่า พี่ทหารบนนี้อาจจะมีน้ำมันขาย ซึ่ง ไม่มีจ้า แถมพี่ยังบอกว่า
หมู่บ้านข้างล่างที่น้องผ่านมานั้นแล มีน้ำมัน
เราสองคนมองหน้ากัน เอาไงดี สุดท้ายไอเดียก็มา ''เฮ้ยแก มันลงเขาอย่างเดียว เข็นๆปล่อยมันไหลไปโลด''
เมื่อไม่มีวิธีดีกว่านี้ เราจึงต้องทำแบบนี้ ซึ่งค่อนข้างอันตรายค่ะ เพราะไม่มีแรงหน่วงจากเกียร์ เบรกมีปัญหาไปเกิดใหม่อย่างเดียว ฮ่าๆๆ
ปล่อยลงมาได้นิดนึงเห็นป้ายเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา แวะเข้าไป ทางเดินเป็นวงกลมค่ะ สามร้อยกว่าเมตร เดินสนุกๆ
พื้นที่ตรงนี้ชุ่มน้ำมากๆค่ะ ทางเดินเลยยกเป็นสะพานไม้ตลอดทาง มีทางปิดไปบ้าง คาดว่าน่าจะมีคนหลงไปแล้ว เส้นทางไม่มีอะไรมากค่ะ

เห็นสีเขียวๆแล้วชื่นใจ
ออกมาก็ปล่อยรถไหลลงไปอีกหน่อย เห็นรถจอดเต็ม เลยแวะเข้าไป เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เห็นระยะทางตอนแรกแอบท้อ
เพราะไกลเหมือนกัน แล้วยังเสียค่าไกด์อีก 200 บาท แต่พอเหลือบไปเห็นว่า เส้นทางจะเปิดให้ป่าฟื้นตัวในอีกสองวัน
''เฮ้ยแก อีกสองวันจะปิดแล้วนะเว้ย เราจะเป็นกลุ่มหน้าฝนกลุ่มเล็กๆเกือบจะกลุ่มสุดท้ายเลยนะ" สุดท้ายเลยยอมเข้าไป
แต่ๆๆๆ เรามีคนหารค่า เราจะไม่ยอมเสียคนละ 100 บาท ฮ่าๆๆ บังเอิญมีหนุ่มสาวคู่นึงกำลังจะขึ้นไปพอดี เราเลยช่วยกันหาร
ตกคนละ 50 บาท รับได้ค่า
พี่ไกด์เป็นคนในพื้นที่ค่ะ คาดว่ามาจากหมู่บ้านข้างล่างนี่แหละ พี่เค้าแนะนำให้ถือไม้ไปด้วย แต่เราอยากเดินตัวปลิว เลยไม่ถือไป

ทางเดินครึ้มเหมือนเดิม เดินช่วง 100 เมตรแรกยังชิวๆ ขึ้นบันไดที่ทำไว้อย่างดี แต่ๆๆๆ ยิ่งเดินขึ้นยิ่งเหนื่อย คนไม่ค่อยออกกำลัง
อากาศบางๆแบบนี้ เหนื่อยมากค่ะ สองคนที่หารค่าไกด์กับเราเดินแบบชิวมาก ส่วนเราบ่นอุบอิบตลอดทางขึ้น ฮ่าๆๆๆ

เดินมาหน่อยนึงก็จ๊ะเอ๋กับน้ำตกน้อยๆพอหายเหนื่อย ซึ่งหลอกลวงอีกแล้วค่ะ ถัดจากน้ำตกทางชันกว่าเดิม หันไปถามพี่ไกด์พี่เค้าบอกว่า
พี่เดินวันละอย่างน้อยๆก็สองรอบ พี่เค้าเป็นผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวเองค่ะ แต่แข็งแรงมาก เดินได้วันละสองสามรอบแบบนี้
เดินไปราวๆกิโลครึ่งเราก็พบแสงสว่าง ฮ่าๆๆ ทุ่งหญ้านั่นเองงง

จุดนี้หายเหนื่อยที่สุด คุ้มค่าที่ยอมเหนื่อยเดินมาขนาดนี้ คืออะไรมันจะสวยปานนี้ ของจริงสวยกว่าในรูปค่ะ ยืนยันได้เลย
พี่ไกด์บอกอีกหน่อยว่า ถ้าหมอกไม่หนาขนาดนี้ วิวจะสุดลูกหูลูกตาลูกยายมาก

สองคนที่หารกับเรา เค้าก็ถ่ายรูปให้กันและกันไป ส่วนเรามากับเพื่อน ตัวใครตัวมัน ฮ่าๆๆๆ

เดินมาถึงจุดชมวิวพี่ไกด์ก็ให้เราหยุดถ่ายรูปกัน เมฆไหลไปไหลมารอบตัว แต่ก็ไม่เห็นวิวอื่นใด มองเห็นทางเดินที่ต้องไปต่อลิบๆแล้ว
รู้สึกว่าทางอันตรายทีเดียวค่ะ เพราะเหมือนเดินคู่หน้าผาไปเลย พลาดมาไหลลงพร้อมเมฆแน่นอน
เราหยุดตรงนี้กันค่อนข้างนานค่ะ เราก็คุยกับพี่ไกด์ไปเรื่อยๆ

แชะรูปกันจนพอใจก็เดินกันต่อ ทางเดินมองได้ระยะสั้นๆเท่านั้นค่ะ เมฆไหลมาเป็นช่วงๆ แบบนี้เลาะหน้าผาไปเรื่อยๆ
ทางช่วงนี้ไม่เหนื่อยแล้วค่ะ เพราะเป็นทางลงกับทางราบเกือบตลอดทาง

เดินมาอีกหน่อย ก็มาเจอหินน่าตาประหลาด เราจำชื่อไม่ได้ค่ะ ตอนเดินผ่านไม่เห็นมันเลย เดินเลยมาหน่อยเมฆไปแล้วถึงเห็น

บรรยากาศข้างทางไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากหมอกกับเมฆไหล เดินมาหน่อยพี่ไกด์สะกิดให้ดูดอกกุหลาบพันปี
พี่เค้าบอกว่าถ้ามาถูกหน้ามันจะมีดอกเต็มข้างทาง แต่เราเดินมาตั้งนาน มีดอกเดียว ฮ่าๆๆๆ

หมดเขตทุ่งหญ้าก็วกกลับเข้าป่าครึ้มตามเดิม แล้วก็เจอบันไดขาขึ้น อีกแล้วค่า ขาสั่นพับๆๆ ไม่ใช่หนาว แต่เหนื่อยฮ่าๆๆๆ
ระหว่างขากลับไม่มีอะไรมาก นอกจากป่ากับลำธารเล็กๆ เราก็คิดว่า น้ำใสๆเล็กๆพวกนี้แหละ
ที่กลายเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านเมืองให้เราใช้กัน
ออกจากกิ่วแม่ปาน ฝนก็ลงเม็ดเบาๆ เราก็ปล่อยรถไหลลงไปอีกหน่อย แวะพระมหาธุาต เสียค่าเสียหาย ขึ้นไปแล้วคนเยอะมาก
เลยไม่ได้เดินเยอะแยะ เก็บรูปได้หน่อยนึง

ถ่ายรูปได้หน่อยนึงเมฆและฝนก็มาไล่ที่ ไปก็ได้ค่า
คราวนี้ปล่อยรถไหลลงเขายาวๆ บางช่วงที่ขึ้นเนินก็ติดเครื่อง ขี่ลงแบบนี้เบรกให้สุดค่ะ แล้วค่อยๆปล่อยไหลลงเรื่อยๆ
จนมาถึงหมู่บ้าน เราก็แวะเติมน้ำมัน เป็นตู้น้ำมันหยอดเหรียญ เติมไป 70 บาท ขี่ลงสบายใจแล้ว ก็แวะน้ำตกรายทางไปเรื่อย
แต่ไม่ได้เข้าไปทุกน้ำตก เพราะฝนยังไล่หลังมาติดๆ

น้ำตกสิริธาร ตอนแรกเห็นบันได(อีกแล้วเหรอ ขาหนูยังสั่นอยู่เลย) ว่าจะไม่ลงไปแล้ว แต่ระยะไม่ไกลเนาะ ไปหน่อยก็ได้
เลยเดินลงไป แชะมาหน่อยฝนมาอีกแล้ว เลยขึ้นมา ลงเขากันต่อ

น้ำตกวชิรธาร อันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไปได้ค่ะ ขี่รถไปถึงจอดปุ๊บมองเห็บปั๊บเลย แต่คนเยอะมากๆ
มีน้ำตกสิริภูมิกับน้ำตกแม่กลาง เราไม่ได้แวะเข้าไปค่ะ เพราะฝนไล่มาเรื่อยๆ ก็เลยลงจบ ลงมาถึงด่านราวๆบ่ายสองโมงค่ะ
ตอนนี้ร้อนมากแล้วค่ะ คุยกันว่าหาไรกินแล้วกลับเลยเนาะ แต่ๆๆๆ ขี่ลงไปหน่อยเอ๊ะ ป้ายน้ำตกแม่ยะ ไปเนาะ ฮ่าๆๆ
ทางเข้าน้ำตกแม่ยะแยกออกมาต่างหาก ทางลึกพอควร แล้วถนนก็ทรุดเป็นพักๆ ไม่ค่อยมีคนไป ถึงลานจอดรถก็เดินราวๆ 800 เมตรค่ะ
ทางเรียบๆเป็นเนินเล็กๆ แม้ว่าจะเดินมาเยอะแต่หนูยังไหว

พอเห็นน้ำตกเท่านั้นแหละ โอ้โห้ มันยิ่งใหญ่อะไรขนาดนี้ เรานั่งเล่นน้ำกันพักนึง พี่ฝนเจ้าเก่าก็มาถึง ราวๆบ่ายสี่โมงครึ่งก็เลยกลับกันจริงๆละ
ขากลับซิ่งหนีพี่ฝน โดยเห็นฝนอยู่ข้างหน้า ฮ่าๆๆๆ สรุปคือ ไม่รอดจ้า เปียกตั้งแต่ดอยหล่อจนถึงหางดงกันเลย
เห็นร้อนๆเลยไม่เอาเสื้อกันฝนมากัน เลยปลอบกันเองว่า เปียกดีกว่าแดดเนาะ
ถึงในเมืองหาข้าวกินหลังมอ เติมน้ำมัน เป็นอันจบทริปนี้ค่า
[CR] ขี่มอเตอร์ไซค์ ขึ้นดอยอินทนนท์ ไปเช้ากลับค่ำ วันเดียวสามฤดู
หลังจากมาอยู่เชียงใหม่ได้ครบ 7 วัน ก็อยากจะมีทริปกับเค้าบ้าง เลยชวนเพื่อนซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวกัน
ไปไหนดี คิดอยู่สองนาที ไปดอยอินทนนท์แล้วกันเนาะ ดังจะตาย ไม่ใกล้ไม่ไกลขี่ไหวสบายมาก
ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเพราะ ไม่มีรถยนต์และสะดวกกว่า ราคาถูกกว่าเหมารถไป มอเตอร์ไซค์ก็รถมีเกียร์บ้านๆธรรมดา
ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวแบ่งเป็น
- ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ คนละ 20 บาท
- ค่าพาหนะ คนละ 10 บาท
- ค่าไกด์นำทางกิ่วแม่ปานคนละ 50 บาท
- ค่าเข้าพระมหาธาตุ คนละ 20 บาท
- ค่าน้ำมัน ไปกลับ เติมสองที 140 บาท ตกลงคน 70 บาท
ที่เหลือค่ากินคนละนิดหน่อย หมดกันคนละไม่เกิน 300 บาท เพราะกินแบบประหยัดสุดๆเลยค่ะ
กล้องที่ใช้ถ่ายรูปก็กล้องคอมแพคธรรมดาๆ โหมดออโต้ตลอดทริปค่ะ
เช้าวันที่ 30 พ.ค. เรานัดเพื่อนไว้ 6 โมงเช้าค่ะ เราขี่ไปรับเพื่อนแถวๆวัดเจ็ดยอด หลังจากหาเติมน้ำมันรอบแรก 70 บาท
ก็วิ่งยาวทางหลวง 121 เลียบคลองชล ไปแยกซ้ายเข้าทางหลวง 108 แถวๆ แยกสะเมิง หลังจากนั้นก็ยาวตามป้ายไปเรื่อยๆ
จนไปถึงด่านตรวจด่านที่หนึ่ง มาถึงประมาณ 7 โมงครึ่งค่ะ จ่ายค่าเสียหายเสร็จก็แว้นกันต่อ เราตกลงกันว่า ขึ้นยอดบนสุดก่อน
แล้วค่อยแวะตามทางลงมาเรื่อยๆ เราจึงขึ้นยอดดอยก่อนเลยค่ะ ระหว่างทางก็ขี่สบายๆเกียร์สามเกียร์สี่ มีบางช่วงเกียร์สองบ้าง
จนถึงช่วงสิบกว่ากิโลเมตรสุดท้าย ลากเกียร์หนึ่งอย่างเดียว อากาศก็เย็นขึ้นเรื่อยๆจนหนาว ขี่ไปมือสั่นปากสั่น
จนเห็นยอดพระมหาธาตุลิบๆไกลๆเราก็จอดหนึ่งที
ระหว่างทางก่อนถึงพระมหาธาตุ ถ่ายก่อนซักหน่อย ตื่นเต้นหมอกหมากค่ะ
หลังจากนั้นก็ขึ้นไปถึงยอดประมาณ 8 โมงเช้า ลงจากมอเตอร์ไซค์นี่สั่นเป็นเจ้าเข้า อากาศเย็นมากค่ะ
บนยอดดอย ประดิษฐานสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์ อดีตเจ้าเมืองเชียงใหม่ และเป็นที่ตั้งของสถานีเรด้าของกองทัพอากาศไทย
เดินขึ้นบันไดมาสองขั้นตื่นเต้นกับมอสเกาะท่อนไม้มาก ไม่เคยเจอชื้นขนาดนี้
เดินอีกหน่อยก็มาเจอป้ายยอดนิยม คาดว่ามีคนถ่ายรูปกับป้ายนี้ปีละหลายพันคน เราก็เช่นกัน แต่ๆๆ ป้ายนี้หลอกลวงค่ะ
จุดสูงสุดจริงๆต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย
ทางเดินมืดครึ้ม ลื่นด้วยค่ะ จนท.ข้างล่างบอกว่าเมื่อเช้าฝนตก สภาพตอนนี้คือมีแต่เมฆไหลรอบๆตัว
นี่แหละ สูงสุดในสยาม ขึ้นมาจนได้ แต่รู้สึกเหมือนสถานีเรด้าข้างๆจะสูงกว่า คิดไปเอง
เห็นทางเดินยาวต่อไปอีก ไม่รู้ไปไหน เดินได้เดินไป สรุปคือไปโผล่ห้องน้ำ ร้านค้า เลยแวะกินบะหมี่ถ้วยไข่ต้มกันตรงนั้น
เห็นนกน้อยน่ารักจิ๊บๆๆๆ เลยแชะมา
อุณหภูมิตอนนั้นประมาณแปดโมงนิดๆค่ะ เย็นมาก ใส่เสื้อกันลมมาตัวเดียว ชื่นใจ
กินเสร็จก็เดินกลับลงมา พอติดเครื่องเตรียมไปต่อมองดูน้ำมันแล้วตกใจ
''เฮ้ยแก น้ำมันหายไปไหนหมด'' งานเข้าแล้วค่ะ น้ำมันตกไปเร็วมาก เพราะขึ้นเกียร์หนึ่งตลอดช่วง 10 กิโลเมตรสุดท้าย
มัวแต่ตื่นเต้นลืมดูน้ำมัน ปลอบใจกันเองว่า พี่ทหารบนนี้อาจจะมีน้ำมันขาย ซึ่ง ไม่มีจ้า แถมพี่ยังบอกว่า
หมู่บ้านข้างล่างที่น้องผ่านมานั้นแล มีน้ำมัน
เราสองคนมองหน้ากัน เอาไงดี สุดท้ายไอเดียก็มา ''เฮ้ยแก มันลงเขาอย่างเดียว เข็นๆปล่อยมันไหลไปโลด''
เมื่อไม่มีวิธีดีกว่านี้ เราจึงต้องทำแบบนี้ ซึ่งค่อนข้างอันตรายค่ะ เพราะไม่มีแรงหน่วงจากเกียร์ เบรกมีปัญหาไปเกิดใหม่อย่างเดียว ฮ่าๆๆ
ปล่อยลงมาได้นิดนึงเห็นป้ายเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา แวะเข้าไป ทางเดินเป็นวงกลมค่ะ สามร้อยกว่าเมตร เดินสนุกๆ
พื้นที่ตรงนี้ชุ่มน้ำมากๆค่ะ ทางเดินเลยยกเป็นสะพานไม้ตลอดทาง มีทางปิดไปบ้าง คาดว่าน่าจะมีคนหลงไปแล้ว เส้นทางไม่มีอะไรมากค่ะ
เห็นสีเขียวๆแล้วชื่นใจ
ออกมาก็ปล่อยรถไหลลงไปอีกหน่อย เห็นรถจอดเต็ม เลยแวะเข้าไป เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เห็นระยะทางตอนแรกแอบท้อ
เพราะไกลเหมือนกัน แล้วยังเสียค่าไกด์อีก 200 บาท แต่พอเหลือบไปเห็นว่า เส้นทางจะเปิดให้ป่าฟื้นตัวในอีกสองวัน
''เฮ้ยแก อีกสองวันจะปิดแล้วนะเว้ย เราจะเป็นกลุ่มหน้าฝนกลุ่มเล็กๆเกือบจะกลุ่มสุดท้ายเลยนะ" สุดท้ายเลยยอมเข้าไป
แต่ๆๆๆ เรามีคนหารค่า เราจะไม่ยอมเสียคนละ 100 บาท ฮ่าๆๆ บังเอิญมีหนุ่มสาวคู่นึงกำลังจะขึ้นไปพอดี เราเลยช่วยกันหาร
ตกคนละ 50 บาท รับได้ค่า
พี่ไกด์เป็นคนในพื้นที่ค่ะ คาดว่ามาจากหมู่บ้านข้างล่างนี่แหละ พี่เค้าแนะนำให้ถือไม้ไปด้วย แต่เราอยากเดินตัวปลิว เลยไม่ถือไป
ทางเดินครึ้มเหมือนเดิม เดินช่วง 100 เมตรแรกยังชิวๆ ขึ้นบันไดที่ทำไว้อย่างดี แต่ๆๆๆ ยิ่งเดินขึ้นยิ่งเหนื่อย คนไม่ค่อยออกกำลัง
อากาศบางๆแบบนี้ เหนื่อยมากค่ะ สองคนที่หารค่าไกด์กับเราเดินแบบชิวมาก ส่วนเราบ่นอุบอิบตลอดทางขึ้น ฮ่าๆๆๆ
เดินมาหน่อยนึงก็จ๊ะเอ๋กับน้ำตกน้อยๆพอหายเหนื่อย ซึ่งหลอกลวงอีกแล้วค่ะ ถัดจากน้ำตกทางชันกว่าเดิม หันไปถามพี่ไกด์พี่เค้าบอกว่า
พี่เดินวันละอย่างน้อยๆก็สองรอบ พี่เค้าเป็นผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวเองค่ะ แต่แข็งแรงมาก เดินได้วันละสองสามรอบแบบนี้
เดินไปราวๆกิโลครึ่งเราก็พบแสงสว่าง ฮ่าๆๆ ทุ่งหญ้านั่นเองงง
จุดนี้หายเหนื่อยที่สุด คุ้มค่าที่ยอมเหนื่อยเดินมาขนาดนี้ คืออะไรมันจะสวยปานนี้ ของจริงสวยกว่าในรูปค่ะ ยืนยันได้เลย
พี่ไกด์บอกอีกหน่อยว่า ถ้าหมอกไม่หนาขนาดนี้ วิวจะสุดลูกหูลูกตาลูกยายมาก
สองคนที่หารกับเรา เค้าก็ถ่ายรูปให้กันและกันไป ส่วนเรามากับเพื่อน ตัวใครตัวมัน ฮ่าๆๆๆ
เดินมาถึงจุดชมวิวพี่ไกด์ก็ให้เราหยุดถ่ายรูปกัน เมฆไหลไปไหลมารอบตัว แต่ก็ไม่เห็นวิวอื่นใด มองเห็นทางเดินที่ต้องไปต่อลิบๆแล้ว
รู้สึกว่าทางอันตรายทีเดียวค่ะ เพราะเหมือนเดินคู่หน้าผาไปเลย พลาดมาไหลลงพร้อมเมฆแน่นอน
เราหยุดตรงนี้กันค่อนข้างนานค่ะ เราก็คุยกับพี่ไกด์ไปเรื่อยๆ
แชะรูปกันจนพอใจก็เดินกันต่อ ทางเดินมองได้ระยะสั้นๆเท่านั้นค่ะ เมฆไหลมาเป็นช่วงๆ แบบนี้เลาะหน้าผาไปเรื่อยๆ
ทางช่วงนี้ไม่เหนื่อยแล้วค่ะ เพราะเป็นทางลงกับทางราบเกือบตลอดทาง
เดินมาอีกหน่อย ก็มาเจอหินน่าตาประหลาด เราจำชื่อไม่ได้ค่ะ ตอนเดินผ่านไม่เห็นมันเลย เดินเลยมาหน่อยเมฆไปแล้วถึงเห็น
บรรยากาศข้างทางไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากหมอกกับเมฆไหล เดินมาหน่อยพี่ไกด์สะกิดให้ดูดอกกุหลาบพันปี
พี่เค้าบอกว่าถ้ามาถูกหน้ามันจะมีดอกเต็มข้างทาง แต่เราเดินมาตั้งนาน มีดอกเดียว ฮ่าๆๆๆ
หมดเขตทุ่งหญ้าก็วกกลับเข้าป่าครึ้มตามเดิม แล้วก็เจอบันไดขาขึ้น อีกแล้วค่า ขาสั่นพับๆๆ ไม่ใช่หนาว แต่เหนื่อยฮ่าๆๆๆ
ระหว่างขากลับไม่มีอะไรมาก นอกจากป่ากับลำธารเล็กๆ เราก็คิดว่า น้ำใสๆเล็กๆพวกนี้แหละ
ที่กลายเป็นแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านเมืองให้เราใช้กัน
ออกจากกิ่วแม่ปาน ฝนก็ลงเม็ดเบาๆ เราก็ปล่อยรถไหลลงไปอีกหน่อย แวะพระมหาธุาต เสียค่าเสียหาย ขึ้นไปแล้วคนเยอะมาก
เลยไม่ได้เดินเยอะแยะ เก็บรูปได้หน่อยนึง
ถ่ายรูปได้หน่อยนึงเมฆและฝนก็มาไล่ที่ ไปก็ได้ค่า
คราวนี้ปล่อยรถไหลลงเขายาวๆ บางช่วงที่ขึ้นเนินก็ติดเครื่อง ขี่ลงแบบนี้เบรกให้สุดค่ะ แล้วค่อยๆปล่อยไหลลงเรื่อยๆ
จนมาถึงหมู่บ้าน เราก็แวะเติมน้ำมัน เป็นตู้น้ำมันหยอดเหรียญ เติมไป 70 บาท ขี่ลงสบายใจแล้ว ก็แวะน้ำตกรายทางไปเรื่อย
แต่ไม่ได้เข้าไปทุกน้ำตก เพราะฝนยังไล่หลังมาติดๆ
น้ำตกสิริธาร ตอนแรกเห็นบันได(อีกแล้วเหรอ ขาหนูยังสั่นอยู่เลย) ว่าจะไม่ลงไปแล้ว แต่ระยะไม่ไกลเนาะ ไปหน่อยก็ได้
เลยเดินลงไป แชะมาหน่อยฝนมาอีกแล้ว เลยขึ้นมา ลงเขากันต่อ
น้ำตกวชิรธาร อันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไปได้ค่ะ ขี่รถไปถึงจอดปุ๊บมองเห็บปั๊บเลย แต่คนเยอะมากๆ
มีน้ำตกสิริภูมิกับน้ำตกแม่กลาง เราไม่ได้แวะเข้าไปค่ะ เพราะฝนไล่มาเรื่อยๆ ก็เลยลงจบ ลงมาถึงด่านราวๆบ่ายสองโมงค่ะ
ตอนนี้ร้อนมากแล้วค่ะ คุยกันว่าหาไรกินแล้วกลับเลยเนาะ แต่ๆๆๆ ขี่ลงไปหน่อยเอ๊ะ ป้ายน้ำตกแม่ยะ ไปเนาะ ฮ่าๆๆ
ทางเข้าน้ำตกแม่ยะแยกออกมาต่างหาก ทางลึกพอควร แล้วถนนก็ทรุดเป็นพักๆ ไม่ค่อยมีคนไป ถึงลานจอดรถก็เดินราวๆ 800 เมตรค่ะ
ทางเรียบๆเป็นเนินเล็กๆ แม้ว่าจะเดินมาเยอะแต่หนูยังไหว
พอเห็นน้ำตกเท่านั้นแหละ โอ้โห้ มันยิ่งใหญ่อะไรขนาดนี้ เรานั่งเล่นน้ำกันพักนึง พี่ฝนเจ้าเก่าก็มาถึง ราวๆบ่ายสี่โมงครึ่งก็เลยกลับกันจริงๆละ
ขากลับซิ่งหนีพี่ฝน โดยเห็นฝนอยู่ข้างหน้า ฮ่าๆๆๆ สรุปคือ ไม่รอดจ้า เปียกตั้งแต่ดอยหล่อจนถึงหางดงกันเลย
เห็นร้อนๆเลยไม่เอาเสื้อกันฝนมากัน เลยปลอบกันเองว่า เปียกดีกว่าแดดเนาะ
ถึงในเมืองหาข้าวกินหลังมอ เติมน้ำมัน เป็นอันจบทริปนี้ค่า