ใต้เงาแห่งปีกสีดำ บทที่ 3 พฤกษาล่าเนื้อ

กระทู้สนทนา
โรส ฟลอร่า ตั้งใจจะตามล่าล้างแค้นเจ้าปีศาจที่เคยพรากคนสำคัญไปจากเธอ
หากเมื่อได้พบเขา เงาทมิฬจากปีกสีดำคู่นั้นกลับมิใช่ความชั่วอันน่าชิงชังอย่างที่เคยเข้าใจ
*/*/*/*/*/


ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



             บทที่ 3
             พฤกษาล่าเนื้อ


             งานศพของอาร์กและพรรคพวกของเขาจัดอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก โรสยอมควักเงินส่วนตัวจ่ายค่าจัดงานทั้งหมดและจ้างคนนำเถ้าของพวกเขาส่งกลับสู่บ้าน

             น่าสงสารเหล่าญาติที่รอการกลับไปของพวกเขา แม้ควรทำใจยอมรับความเสี่ยงจากการทำงานนี้ตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม

             ไม่เหมือนเธอ... ซึ่งไม่เหลือใครให้ต้องห่วงใยในความรู้สึกนัก

             หญิงสาวทอดถอนใจพลางขยับเท้า เธอเข้าสถานพยาบาลรักษาข้อเท้าจนบรรเทาขึ้นมาก หลังจากวันนี้จึงตั้งใจว่าจะออกเดินทางตามหาเจ้าปีศาจเหยี่ยวดำอีกครั้ง

             ดังนั้นตอนนี้จึงขอทิ้งทวนหาของอร่อยกินให้อิ่มหนำสำราญก่อนจะต้องไปอดอยากระหว่างการเดินทางเสียก่อนเถอะ

             ระหว่างเดินทอดน่องจากตลาดเพื่อกลับสู่ที่พักโดยหอบอาหารจำพวกขนมหวานเต็มอ้อมแขน หญิงสาวก็สังเกตเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนรุมล้อมมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ข้างทาง ความอยากรู้อยากเห็นเป็นตัวชักนำให้โรสเดินเข้าไปดูบ้าง เธออ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเจ้าสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง มันมีใบหน้าและลำตัวยาวคล้ายกิ้งก่าขนาดใหญ่พอที่จะให้ผู้ชายร่างกายกำยำสามคนโอบรอบ ผิวหนังขรุขระสีน้ำตาลคล้ำตลอดทั้งตัว  ปีกที่คล้ายค้างคาวและหางยาวแหลมของมันกำลังกระพือพัดแกว่งไกวจนเกิดเป็นคลื่นลมขนาดย่อม รอยยิ้มยามแยกเขี้ยวของเจ้าสัตว์ตัวนี้ไม่น่าประทับใจพอจะชวนให้เด็ก สตรีและคนชรานึกอยากจะเข้าใกล้ไปแสดงความเอ็นดูสักเท่าใดนัก กระนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากที่อดรนทนไม่ได้กับความใคร่รู้ในตัวตนของเจ้าสัตว์ประหลาดจนพากันมามุงดูอย่างไม่ขาดสาย พร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม

             “นั่นมันตัวอะไรเนี่ย!”

             โรสซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่พ่ายแพ้ต่อความใคร่รู้อุทานหลังจากแหวกกลุ่มฝูงชนจนได้มายืนประจันหน้าสบตากับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ และดูเหมือนคำถามที่ไม่ได้เจาะจงให้ใครมาตอบจะมีผู้ต้องการสนอง ชายวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ หันมาฉีกยิ้มให้อย่างยินดีที่จะได้บอกเล่าข่าวสารซื่งตนก็เพิ่งรู้มาได้ไม่ถึงครึ่งวันให้คนแปลกหน้าฟัง

             “มังกรน่ะ มันเป็นพาหนะขึ้นชื่อจากทวีปเอย์โกเกรอส เชียวนะ มีแต่ที่นั่นถึงจะมีเจ้าสัตว์ประหลาดพันธุ์นี้ เพราะมันไม่มีความสามารถจะบินได้นานและไกลพอจะข้ามมหาสมุทรจึงแพร่พันธุ์ได้แต่บนทวีปเอย์โกเกรอสเท่านั้น ข้าไม่นึกเลยว่าราชาแห่งมิเนอร์เวี่ยนจะกล้าลงทุนสั่งซื้อมันมา เพราะราคาของมังกรตัวหนึ่งเอาไปซื้อคฤหาสน์ได้ทั้งหลังเลยทีเดียว และค่าขนส่งทางเรือต่อหนึ่งตัวก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลยด้วยซ้ำ แต่นี่มีตั้งสิบตัว!”

             โรสพยักหน้าหงึกหงักรับท่าทางที่ดูตื่นเต้นราวกับตัวคนเล่าเองจะได้เป็นผู้หนึ่งที่ครอบครองเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ หญิงสาวไม่ได้สนใจฟังในสิ่งที่เขายังคงจ้อต่อไม่หยุดนัก แต่มองเลยไปสำรวจเจ้ามังกรทั้งหลาย บนหลังของมันถูกผูกเอาไว้ด้วยโลหะที่ทำเป็นแท่นสำหรับให้คนยืนถือบังเหียน ด้านหลังมีที่นั่งเป็นตั่งเตี้ยกว้างพอสำหรับสองคนโอบล้อมไว้ด้วยกระบังกันตก นอกจากจะมองสำรวจตัวมังกรแล้วโรสยังสำรวจกลุ่มคนที่มากับมันด้วย บางคนกำลังดูแลให้อาหารมังกร บางคนก็ยืนจับกลุ่มพูดคุยกัน หลายคนในนั้นโรสจำได้ว่าเป็นทหารจากหลาย ๆ หน่วยของมิเนอร์เวี่ยน และหนึ่งในนั้นก็ดันมีคนที่เธอไม่อยากเจอเสียด้วย

             บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีม่วงประกายแดงสะดุดตาผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาหา เขาส่งรอยยิ้มโปรยเสน่ห์ซึ่งคิดว่าน่าจะประทับใจแก่ผู้พบเห็นมาให้ แต่โรสกลับรู้สึกเอียนอย่างบอกไม่ถูก เธอนึกอยากลองเอาถังน้ำที่เจ้ามังกรกำลังดื่มอยู่มาครอบหัวเขาดูสักที เผื่อจะกันสายตาหวานเลี่ยนนั่นไปได้บ้าง

             “ไงจ๊ะคนสวย ไม่ได้พบกันเสียนาน รู้ไหม ข้าคิดถึงเจ้าอยู่ทุกคืนวัน ไม่ว่ายามหลับยามตื่น หัวใจของข้ามันแสนหดหู่ทรมานเมื่อไม่ได้พบหน้าเจ้า แล้วเจ้าล่ะ...คิดถึงข้าบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มทำเสียงออดอ้อนจนโรสแทบขนลุก

             “ไม่เลย เซเบียส ข้ามีความสุขและอยู่สบายดีทุกวันที่ไม่ได้เห็นหน้าเจ้า จนกระทั่งวันนี้” โรสยิ้มตอบอย่างจริงใจ ใช่! เธอไม่เคยตอบใครได้จริงใจเท่านี้มาก่อนเลย

              หญิงสาวคาดหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าสลดหดหู่ของเขา แต่ก็ผิดคาด

             “โอ! ลูกแมวน้อยของข้า ยังปากไม่ตรงกับใจเหมือนเดิมเลยนะ หากคิดถึงข้าก็จงเอ่ยออกมาตามตรงเถิด จะต้องเหนียมอายไปไย“

             โรสถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกว่าขนตามแขนของตัวเองเริ่มลุกชันด้วยถ้อยประโยคชวนคลื่นเหียนของผู้ชายตรงหน้า หากไม่คิดว่าน่าจะสืบข่าวคราวจากมิเนอร์เวี่ยนเอาไว้บ้างสักหน่อยจะเป็นการดี เธอคงรีบเดินจากไปตั้งแต่เขาหันมาแล้ว

             โรสปัดแขนของเซเบียสออกก่อนที่มันจะได้แตะถูกมือเธอแล้วแกล้งยิ้มอย่างเอียงอายพลางรีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

             “นั่นคือมังกรใช่ไหม เคยได้ยินมานานแล้วเรื่องโครงการที่มิเนอร์เวี่ยนจะสั่งซื้อมันมา โอ...ดูมันสิ! ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ”

             “เจ้าสนใจมันหรือ มาสิ ข้าจะพาเจ้าเข้าไปดูใกล้ ๆ เป็นพิเศษ”

             เซเบียสพาโรสเดินเข้าไปใกล้มังกรตัวหนึ่ง มันหันมาทางชายหนุ่มแล้วก้มหัวลงต่ำจนเขาลูบหัวมันเล่นได้ หญิงสาวคิดว่าเจ้ามังกรตัวนี้คงจะเป็นตัวที่อยู่ในความดูแลของเซเบียสแน่

             “ที่จริงทางมิเนอร์เวี่ยนก็สั่งซื้อไปตั้งนานแล้วล่ะ  แต่ฟาร์มเลี้ยงมังกรที่เอย์โกเกรอสไม่มีพันธุ์ที่เราต้องการ อ้อ! หมายถึงพันธุ์ที่จะสามารถใช้ในการรบได้น่ะ เลยต้องใช้เวลาในการรวบรวมนานไปสักหน่อยกว่าจะได้จำนวนตามที่เราสั่งไป” ชายหนุ่มอธิบาย “พวกนี้จะแข็งแรงและดุร้ายกว่าพันธุ์ทั่วไปที่ใช้ในการเดินทางธรรมดา แต่ว่าถ้าเจ้าอยากลองสัมผัสก็จับมันได้นะ เวลาปรกติมันไม่ได้ดุร้ายอย่างที่รูปกายภายนอกของมันเป็นหรอก”

             เซเบียสมองโรสซึ่งกำลังสนใจแต่เจ้ามังกรด้วยสายตากรุ้มกริ่มพลางโอบแขนไปด้านหลังช่วงเอวของหญิงสาว “จะลองขี่ดูก็ได้นะ”

             “เซเบียส เจ้าพาใครเข้ามาน่ะ!”

             เซเบียสสะดุ้งชักมือกลับเพราะเสียงแหลมกึ่งตวาดขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวร่างระหง ทรวดทรงกลมกลึงสมส่วนงดงาม แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเขียวผ่ายาวด้านข้างถึงต้นขา เส้นผมสีทองละเอียดหยิกเป็นลอนรับกับใบหน้าขาวโค้งมน จมูกได้รูปเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างคนถือดี นัยน์ตาสีเขียวใสที่มองสำรวจโรสตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าฉายแววหยามหยันอยู่ในที

             “นั่นใครหรือ” โรสถามเสียงแผ่วก่อนจะผงะรีบถอยห่างจากเซเบียสออกมาอีกนิดหน่อย เมื่อเห็นใบหน้าของเขาขึ้นสีระเรื่อตอนที่เธอเผลอไปกระซิบข้างหู

             “นางเป็นจอมเวทชื่อ คาเมช่า เพิ่งมาทำงานที่มิเนอร์เวี่ยนได้ไม่นาน เห็นว่ามาจากเกาะเต่า”

             “เกาะเต่า! ที่อยู่ทางตอนใต้ของลีโอวาเนสใช่ไหม เกาะที่ว่าบูชาเต่าเป็นเทพเจ้าน่ะ”

             คราวนี้โรสเป็นฝ่ายมองคาเมช่าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าบ้าง นอกจากชุดสีเขียวขลิบเงินที่นางใส่แล้ว เครื่องประดับทั้งหมดล้วนมีสีเขียวเป็นส่วนหนึ่งด้วยทุกชิ้น

             ชั่วครู่...เซเบียสรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นพล่านผ่านสายตาของหญิงสาวทั้งสองซึ่งกำลังจ้องสบประสานสายตากันกำลังลั่นเปรี๊ยะ ๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบคำถามของคาเมช่า

             “เอ่อ...นางชื่อโรสน่ะ เป็นสหายของข้าเอง มีอะไรอย่างนั้นหรือ”

             “เปล่า ก็แค่คิดว่าทหารของมิเนอร์เวี่ยนนี่ช่างหละหลวมต่อหน้าที่เสียจริง ยอมให้คนนอกเข้ามายุ่มย่ามในเวลาปฏิบัติภารกิจได้ โดยเฉพาะกับสาว ๆ ที่ดูเหมือนจะมีดีแค่หน้าตา”

             อีกครั้ง...ที่เซเบียสรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งพล่าน คราวนี้มันผ่านหน้าเขาไปแบบเฉียด ๆ  ยังผลให้เกิดอาการหน้าชาเล็กน้อย แต่สำหรับโรส เหมือนเธอจะโดนเข้าไปเต็ม ๆ

             “ทำอะไรกันอยู่”

             ก่อนจะเกิดสงครามขนาดย่อม เสียงเข้มดุดันของบุรุษผู้หนึ่งก็ได้หยุดมันเอาไว้ เขาเป็นชายร่างกายกำยำสูงใหญ่มีผิวสีแทนแบบคนกรำแดด ผมสีน้ำตาลเข้มถักเป็นเปียเล็ก ๆ หกแถวรวบผมยาว ๆ ของเขาไปไว้ด้านหลังเผยให้เห็นรอยถากเป็นแผลเป็นที่คิ้วซ้าย

             บุคคลทั้งสามต่างเรียกเขาอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “หัวหน้ายู!” ซึ่งเป็นสรรพนามที่ใช้เรียกอดีตหัวหน้าหน่วยหนึ่งในกองลาดตระเวนของมิเนอร์เวี่ยน ทั้งโรสและเซเบียสเคยสังกัดอยู่ในกองของเขา

             เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองทั้งสามเป็นเชิงปรามว่าอย่าได้ก่อการวิวาทหรือส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรในบริเวณความรับผิดชอบของเขา

             ทว่าเมื่อคาเมช่าสบสายตาเข้ากับยู หล่อนก็เดินสะบัดหน้าจากไปทันที ปล่อยให้ผู้บังคับบัญชามองตามไปด้วยแววตาที่แฝงนัยอะไรบางอย่าง โรสรับรู้ได้ในทันทีว่าทำไมผู้ชายอย่างเซเบียสถึงไม่ไปตอแยกับคนสวยขนาดนั้น

             “ไม่ได้พบกันนานนะ โรส ฟลอร่า คงไม่ใช่เหตุบังเอิญที่เราได้มาพบเจ้าที่นี่” ยูยิ้มทักอย่างเป็นกันเอง เขายังคงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อคราวที่อยู่ร่วมสังกัดเดียวกัน

             “ก็ทำนองนั้น แต่ข้าแปลกใจมากกว่า ที่เพียงแค่ข่าวลือก็ทำให้ท่านถูกทางมิเนอร์เวี่ยนส่งมาแถวนี้พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายที่ข้าไม่เคยเห็น” โรสหรี่ตามองยูแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “หรือจะรู้กันอยู่ก่อนแล้ว ว่าไม่ใช่แค่เพียงข่าวลือ”

             ยูหัวเราะอย่างคนถูกรู้ทัน

             “ใช่ ความจริงแล้วเมื่อเดือนก่อนข้ากับลูกน้องสองสามคนได้มายังเมืองซาคอนแห่งนี้ และในคืนหนึ่งข้าก็ได้พบเห็นกับสิ่งที่กษัตริย์ของเราเฝ้าตามหา ข้าได้เห็นด้วยตาของตัวเอง ก็เลยถือโอกาสอาสามา”

             “ท่านน่ะหรือ! อาสามา” โรสทำสีหน้าคล้ายไม่อยากเชื่อ เพราะหัวหน้ายูที่เธอเคยรู้จัก เป็นทหารที่ต้องการเพียงปกป้องแผ่นดินเกิด เขาไม่เห็นด้วยเรื่องการรุกรานเผ่าพันธุ์ปีศาจและไม่เคยหวังในลาภยศเงินทองที่กษัตริย์ทรงเสนอให้

             “บางทีคนเราก็ต้องการทางลัดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา” ยูเอ่ยเสียงแผ่ว

             โรสได้ยินไม่ถนัดและไม่อาจเข้าใจได้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่หากช่วยเหลืออดีตหัวหน้าผู้อารีกับเธอได้สักครั้งก็ยินดี

             “ถ้าอย่างนั้น หากมีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้กรุณาบอกข้ามาเถอะค่ะ ข้าอยากช่วย”

             ยูจ้องโรสด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ราวกับเคลือบแคลงหญิงสาวว่ามีเจตนาใดในคำพูดนั้นกันแน่

             “ขอบใจที่คิดอยากช่วย แต่เจ้าไม่ใช่คนในสังกัดของข้าแล้ว สำหรับข้าในตอนนี้เจ้าก็คือคนนอก ไม่ได้มีความเกี่ยวพันหรือมีธุระอันใดต่อกันอีก ออกไปจากบริเวณนี้เสียเถอะ นี่ไม่ใช่สถานที่คนนอกอย่างเจ้าสมควรจะเข้ามา เซเบียสช่วยพานางออกไปจากบริเวณนี้ด้วย”

             ยูสั่งเซเบียสแล้วเดินจากไป ทิ้งให้โรสยืนงงมองหน้าชายหนุ่มข้าง ๆ ตาปริบ ๆ ต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของอดีตหัวหน้า ดวงตาของเขาที่มองเธอเมื่อครู่นั้นมันเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงระแวดระวัง เธอมีอะไรที่เขาสมควรต้องระวังอย่างนั้นหรือ

             “ถ้ายังไงไปกินข้าวกับข้าก่อนไหม” เซเบียสเอ่ยชวนหญิงสาวระหว่างที่พาเธอออกมาส่งด้านนอก

             “ขอบใจที่ชวนนะ แต่เอาไว้คราวหน้าดีกว่า พอดีข้ามีธุระ แล้วเจอกันใหม่คราวหน้านะ” โรสยิ้มหวานให้เซเบียส โดยซ่อนความยินดีที่จะได้ออกห่างจากผู้ชายคนนี้ไว้อย่างมิดชิด

             อยู่ใกล้นาน ๆ แล้วกลัวจะอดใจจนกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีออกไปไม่ได้จริง ๆ

             */*/*/*/*
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่