พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๑๔ วันอันแสนวุ่นวาย ๑

กระทู้สนทนา
ตอนที่ผ่านมา

บทที่ ๑ http://pantip.com/topic/32585189
บทที่ ๒ http://pantip.com/topic/32602706
บทที่ ๓ http://pantip.com/topic/32624570
บทที่ ๔ http://pantip.com/topic/33134702
บทที่ ๕ http://pantip.com/topic/33193541
บทที่ ๖ http://pantip.com/topic/33210238
บทที่ ๗ http://pantip.com/topic/33227741
บทที่ ๘ http://pantip.com/topic/33244919
บทที่ ๙ http://pantip.com/topic/33262874
บทที่ ๑๐ http://pantip.com/topic/33324239
บทที่ ๑๑ http://pantip.com/topic/33496047
บทที่ ๑๒ http://pantip.com/topic/33511561
บทที่ ๑๓ http://pantip.com/topic/33528973

สัตว์พันปี : บทที่ ๑๔ วันอันแสนวุ่นวาย ๑

การประกวดธิดาลูกไม้แดงในหัวข้อสุดท้ายคือความดี เริ่มต้นขึ้นหลังจากมีการจัดเก็บเวทีโดยยกเตาและอุปกรณ์ครัวออกไปเรียบร้อยแล้ว คำถามที่มาจากกรรมการมีเพียงข้อเดียว เพื่อความยุติธรรมจึงให้เขียนคำตอบเอาไว้ในกระดาษ ใครเขียนเองได้ก็เขียนไป ใครที่ไม่รู้หนังสือก็จะมีคนเขียนให้

ในโลกนี้การศึกษายังไม่เปิดกว้าง ยิ่งเป็นตำบลบ้านนอกก็ยิ่งหาคนมีความรู้ได้ยาก มีผู้ประกวดเพียงสามรายเท่านั้นที่สามารถเขียนคำตอบเองได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโบ้ กลายเป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง ผู้คนเริ่มสงสัยและตั้งคำถามว่าแม่นางผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ซึ่งก็ไม่ได้รับการเฉลยใดๆ จากผู้ส่งเข้าประกวดอย่างจวินถงและคนที่รู้ความจริงอย่างหยางเจี้ยน

จวินถงไม่รู้ความเป็นมาของไป๋หลินแน่ชัด แต่แสร้งทำเป็นอุบไว้เพราะกลัวเสียหน้า ส่วนหยางเจี้ยนจงใจปิดปากเงียบ  เขาไม่ต้องการให้ฐานะธิดาประมุขพรรคเทพสวรรค์นำภัยมาสู่ตัวนาง

เมื่อผู้เข้าแข่งขันเขียนคำตอบลงในกระดาษจนครบทุกคนแล้ว ผู้ดำเนินรายการก็ประกาศคำถามอีกครั้ง

“คำถามเพื่อทดสอบคุณธรรมคือ หากท่านได้ปลาใหญ่มาตัวหนึ่ง ท่านจะทำเช่นไร”

การอ่านคำตอบเรียงกันตามลำดับการขึ้นมาบนเวที ดังนั้นคำตอบของโบ้จึงได้อ่านในตอนท้าย บางคนพาซื่อก็ตอบว่าเอาไปทำอาหาร บางคนไหวตัวทันก็ตอบว่าเอาไปให้บิดามารดา เพื่อที่จะได้คะแนนความกตัญญู ที่แหวกแนวหน่อยก็มีนำไปขายแล้วนำเงินมาซื้อของให้คนในครอบครัว

“โบ้จะไหวไหมนะ” หน่อมเปรยขณะเงี่ยหูฟังคำตอบของผู้เข้าประกวด

ชาวเจียงเฉียงถือเรื่องความดีเป็นสำคัญ ต่อให้ชนะมาสองรายการถ้าตอบไม่ดีก็มีโอกาสถูกโห่ไล่ได้เหมือนกัน

“ไม่รู้เหมือนกัน อย่างอิโบ้อะไรก็เกิดขึ้นได้” เจ้ว่า

หลังจากประสบความล้มเหลวจากการสอนทำอาหาร ความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนของเจ้ก็ดิ่งลงเหว ต่อให้โบ้ตอบกรรมการไปว่า ‘ไม่ทันได้ทำอะไรค่ะ ปลาตัวแค่นี้ไม่พอท้องหรอก’ เจ้ก็ไม่ประหลาดใจ

“ไม่แน่นะเจ้ โบ้มันออกจะบ้านางงาม เดี๋ยวมันก็มโนแจ่มเองนั่นแหละ” แว่นว่าแล้วก้มลงนับเงินที่ทุกคนเอามารวมกัน “ร้อยยี่สิบแปดทอง เจ็ดสิบขาว กับอีกสิบสี่แดง แค่นี้จะพอไหมนะ”

ในระหว่างที่รอให้ผู้เข้าประกวดเขียนคำตอบ มีการประกาศว่าจะจัดการประมูลขนมหลังการประกวดทันที ให้ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมประมูลมาซื้อป้ายประมูล ป้ายนี้ใช้เป็นบัตรผ่านสำหรับขึ้นมาบนเวที ต้องเสียเงินก่อนหนึ่งทองเพื่อเป็นค่าร่วมประมูล พวกแว่นเลยให้องครักษ์ไปซื้อมา โดยตั้งใจว่าจะส่งเจ้ไปเป็นตัวแทนเก็บกู้อาวุธชีวภาพฝีมือโบ้

เท่าที่สังเกตมีผู้เข้าร่วมการประมูลประมาณสิบคน นั่นหมายถึงมีเศรษฐีอยู่สิบรายให้แข่งขันด้วย แม้เงินหนึ่งทองจะมีค่ามากสำหรับคนธรรมดา แต่กลับเป็นแค่เศษเงินเท่านั้นสำหรับชนชั้นพ่อค้าและขุนนาง

“รู้อย่างนี้พกเงินมามากกว่านี้ก็ดีหรอก”

ทั้งเนื้อทั้งตัวแว่นมีเงินรวมกันประมาณสิบทอง  เจ้เองก็พกมาพอๆ กัน ส่วนอีกร้อยทองที่ได้มาเป็นของหน่อม นับว่าโชคดีที่เพื่อนคนนี้ยังมีนิสัยพกเงินแบบเผื่อเหลือเผื่อขาดอยู่

“ถ้าไม่พอค่อยขอจากพี่หก ไม่ก็ใช้เครื่องประดับเราแทนก็ได้” หน่อมยกแขนที่มีกำไรหยกเนื้อดีขึ้นมาให้ดู

“หยกเขียวธรรมดาแบบนี้จะได้ราคาสักเท่าไรกัน” แว่นมองอย่างพิจารณา

ในการเดินทางครั้งนี้ทุกคนต่างก็ได้รับคำแนะนำว่าให้ใช้เครื่องประดับน้อยชิ้น เน้นแบบเรียบๆ ดูธรรมดาที่สุดเพื่อป้องกันอันตราย เขาประเมินราคาของมีค่าไม่เก่ง ก็เลยไปขอซื้อพวกปิ่นกับเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ มาจากนางกำนัลรับใช้ ทั้งเนื้อทั้งตัวที่สวมนี่ให้ไปสามทอง คนขายนี่ยิ้มแก้มปริทีเดียว แสดงว่าคงเกินราคาจริงพอสมควร

“ไหน...ขอดูหน่อย” เจ้แบมือ หน่อมเลยถอดกำไลส่งให้

เจ้พลิกกำไลหยกไปมา จากนั้นก็ชูสามนิ้วประกอบคำพูด

“ประเมินจากราคาร้านรับจำนำนะ”

พวกพ่อค้าเครื่องประดับกับพวกร้านรับจำนำมาที่หอคณิกาบ่อย มีทั้งที่นำสินค้ามาขายและรับซื้อเครื่องประดับ เพื่อไม่ให้ถูกโกงก็ต้องรู้ราคาเอาไว้บ้าง

“สามทองหรือสามสิบทอง” แว่นถามอย่างมีความหวัง

“สามร้อยทองต่างหาก หยกแบบนี้เรียกหยกมรกต สีเขียวเข้มเนื้อละเอียด ราคาซื้อจริงน่าจะสักสี่ร้อยด้วยซ้ำ”

“แพงอย่างนั้นเชียว” หน่อมดูประหลาดใจ แสดงว่าคงได้จากใครมาไม่ได้ซื้อเอง

“คนใหญ่คนโตให้แกมารึเปล่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ควรขายนะ” เจ้เตือน

“ไม่เป็นไรหรอก ท่านแม่ให้เรามาใส่เล่น บอกว่าถ้านางกำนัลคนไหนทำความชอบมากๆ จะถอดให้เป็นรางวัลก็ได้”

ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าขายได้ไม่มีปัญหา เจ้ก็ยินดีรับมาเอาไว้ใช้ประมูล แต่ก่อนจะเอาไปก็โดนคนรอบคอบอย่างแว่นห้ามเอาไว้ก่อน

“ของนี่เกรดดีแค่ไหน หายากหรือเปล่า ถ้าอลังการระดับที่มีแค่ในวังก็เอาไปใช้ไม่ได้หรอกนะ จะโดนเปิดเผยฐานะ ไม่ก็เป็นเรื่องยุ่งยากเปล่าๆ”

“หายากอยู่ แต่ก็ไม่เท่าไรหรอก ฉันมีคล้ายๆ แบบนี้โหลหนึ่งได้”

กำไลหยกมรกตพวกนี้เป็นของกำนัลจากบรรดาชายหนุ่มที่มาหลงเสน่ห์ เจ้มักรับไว้ในกรณีที่อีกฝ่ายขอแค่ให้ได้สนทนากัน ไม่ก็ดูการร่ายรำอย่างใกล้ชิด ด้วยถือว่าเป็นค่าจ้าง

เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ของดีเลิศจนเกินไปแว่นก็ไม่ขัด ประจวบเหมาะกับที่บนเวทีกำลังประกาศคำตอบของโบ้พอดี ทุกคนก็เลยเงี่ยหูฟัง

“แม่นางมู่ตอบว่าหากได้ปลาใหญ่มา นางจะแบ่งเป็นสี่ส่วน ส่วนแรกนำไปทำอาหารให้บิดามารดา ส่วนที่สองถวายแด่นักบวช ส่วนที่สามแบ่งปันให้เพื่อนบ้าน ส่วนที่สี่ให้ผู้ยากไร้เป็นทาน”

เสียงโห่ร้องอย่างชื่นชมดังขึ้นอีกครั้ง โบ้เลยยิ้มหวานเชิดหน้า โบกไม้โบกมือเตรียมรับมงกุฎเต็มที่

“ตอบได้ดีมากเลย ครอบคลุมคุณธรรมหลักๆ ด้วย กตัญญู ทำนุบำรุงศาสนา มีน้ำใจและเมตตา” หน่อมปรบมือให้รัวๆ

“โชคดีไปที่ปลาในจินตนาการมันตัวใหญ่ เลยกินกันได้ทั้งหมู่บ้าน” แว่นแซวขำๆ

ส่วนเจ้ไม่เอ่ยอะไรเพราะกำลังหยิบเงินใส่ถุงตามประเภทเหรียญ เสร็จแล้วก็กลับไปใส่หมวกผ้าโปร่งอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมการประมูล

ผลการประกวนธิดาลูกไม้แดงออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าผู้ชนะคือแม่นางมู่ไป๋หลิน งานนี้ไม่มีสายสะพายแต่มีมงกุฎดอกไม้ประดับด้วยลูกไม้สีแดงเล็กๆ ให้เป็นที่ระลึก ส่วนของรางวัลนั้นมีทั้งทองคำ เงิน ผ้าทอเนื้อดี รวมถึงเครื่องประดับมีค่าหนึ่งชุดใหญ่ รวมมูลค่ากว่าสามสิบทอง ซึ่งถือว่าเป็นรางวัลที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากชนะติดกันทั้งสามรายการเลยนั่นเอง

พิธีการมอบรางวัลของที่นี่ไม่วุ่นวาย ให้กรรมการทั้งสามท่านผลัดกันมอบของ เสร็จแล้วธิดาลูกไม้แดงก็จะนั่งแทนที่ในตำแหน่งของกรรมการเพื่อให้ทุกคนได้ชมโฉมจนกว่าการประมูลขนมจะเสร็จสิ้น เงินที่ได้จากการประมูลนี้จะเป็นของผู้จัดงาน ซึ่งก็คือทางการนั่นเอง

ผู้เข้าร่วมประมูลแต่ละคนทยอยกันขึ้นไปบนเวที ทั้งหมดล้วนเป็นบุรุษ เจ้ซึ่งเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวและขึ้นไปทั้งที่ยังสวมหมวกผ้าโปร่งจึงเด่นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนเริ่มซุบซิบเกี่ยวกับตัวเจ้กัน แต่ก็หาได้สั่นคลอนความมั่นใจไม่ หลงฟางเซียนเกิดมาเพื่อเป็นที่จับจ้องฉันใด อดีตนางโชว์อย่างเจ้ก็เป็นฉันนั้น

“มีท่านที่ต้องการประมูลอีกหรือไม่ ถ้ามีกรุณาก้าวขึ้นมาบนเวที” ผู้ดำเนินรายการตะโกนถาม

ดูจากรูปการณ์แล้วไม่น่าจะมีใครขึ้นเวทีมาอีก ทว่าจวินถงกลับทำให้ประหลาดใจด้วยการเดินขึ้นเวทีขอเข้ารวมประมูลด้วย ชายหนุ่มมายืนอยู่ข้างๆ เจ้อย่างจงใจ การปิดบังใบหน้ากลายเป็นการเชิญชวนจอมเจ้าชู้ให้หันมาสนใจเสียแล้ว

จวินถงเชื่อหมดใจว่าสตรีที่ปิดบังหน้าตาในเมืองชนบทแบบนี้ หากไม่อัปลักษณ์อย่างยิ่งก็ต้องงามหยาดฟ้ามาดิน จึงมายืนอยู่ข้างๆ มองผ่านผ้าโปร่งอย่างไม่รักษามารยาทเพื่อจะได้ไขข้อข้องใจ ชายหนุ่มยิ้มกริ่มเมื่อรู้ตัวว่ามองไม่พลาด ผ้าโปร่งที่นางใช้เนื้อบางเบาจนไม่อาจปิดบังความงามที่มีได้ สตรีที่สวยอย่างเย้ายวนเช่นนี้เกิดมาจวินถงเพิ่งเคยเห็น ชายหนุ่มหมายใจจะกระชากหมวกนางไปให้พ้นจากใบหน้า ทว่าอีกฝ่ายกลับรู้ทัน นางเบี่ยงตัวหลบและขยับตัวหนีไปอีกด้าน ทุกการเคลื่อนไหวงดงามเป็นธรรมชาติราวกับร่ายรำ

‘นางต้องเป็นสตรีชั้นเลิศแน่’

ในขณะที่จวินถงมัวแต่จ้องเจ้ไม่วางตา การประมูลก็ดำเนินไปอย่างเงียบๆ มูลค่าของขนมพุ่งสูงไปกว่าห้าสิบทอง มีคนใจไม่สู้เดินลงเวทีไปกว่าครึ่ง พอราคาขึ้นไปถึงร้อยทอง ทั้งเวทีก็เหลือแต่เจ้กับจวินถงเท่านั้น

“ท่านลู่ ท่านสนใจจะให้ราคาที่สูงกว่าหรือไม่”

หลานเจ้าเมืองบ้ากามมัวแต่มองผู้หญิงเลยไม่รู้ว่าการประมูลใกล้ยุติ พอมีคนเรียกเลยพยักหน้าเออออไป

“ไม่ทราบว่าท่านลู่จะให้ราคาเท่าไร”

ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยคำว่าสองเท่าเพราะต้องการเอาหน้า แต่ถ้อยคำนั้นกลับหยุดชะงักเพราะสตรีตรงหน้าใช้มือแหวกผ้าโปร่งออกมา เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติ

“หากท่านลู่ให้ราคาสูงกว่านี้ข้าคงไม่กล้าสู้” สาวงามมาดนางพญาจงใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “แต่ถ้าท่านลู่จะยอมหลีกทางให้ ข้าจะถือว่าเป็นบุญคุณอย่างยิ่ง”

หากเป็นที่เมืองหลวง คณิกาอันดับหนึ่งลงทุนวิงวอนเช่นนี้มีหรืออีกฝ่ายจะไม่ยอม ทว่าลู่จวินถงไม่รู้ว่านางเป็นใคร และหวังสูงกว่าการได้สนทนากัน จึงวางท่าขึงขัง

“แม่นางเอ่ยเช่นนี้ไม่คิดว่าเห็นแก่ตัวไปหรือ ขึ้นชื่อว่าการประมูล ใครมีเงินมากคนนั้นก็สมควรได้ไป เห็นที่ข้าคงยอมให้ง่ายๆ ไม่ได้”

ริมฝีปากสีแดงของเจ้กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม พวกหื่นกามในหอคณิกามีมากมาย มีหรือเธอจะไม่ทราบวิธีรับมือ

“ถ้าเช่นนั้นก็น่าเสียดายนัก ขนมนี่ข้าตั้งใจประมูลเอาไว้เพื่อแสวงหามิตร หากท่านเอาไปเราคงไร้ซึ่งวาสนา”

ถ้อยความยั่วเย้านี้สื่อว่ามิตรที่เอ่ยคือจวินถง หากเขาอยากสานสัมพันธ์กับนางต่อก็ต้องยอมเปิดทางให้  อ่อยกันซึ่งหน้ามีหรืออีกฝ่ายจะไม่ติดกับ

ชายหนุ่มกระซิบบอกเงื่อนไขบางอย่างกับเจ้ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด ไม่มีใครรู้ว่าข้อแลกเปลี่ยนนี้คืออะไร แต่ในท้ายที่สุดจวินถงก็ถอนตัว ยอมให้เจ้ประมูลขนมฝีมือโบ้ไปในราคาร้อยทอง


เมื่อการประมูลสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่ก็จัดขนมสองในสามส่วนใส่กล่องห่อผ้าเป็นอย่างดีมอบให้เจ้ ส่วนที่เหลือเตรียมเอาไว้ให้ผู้โชคดีที่สุดในวันนี้หรือก็คือหน่อม ที่นี่มีธรรมเนียมที่ปฏิบัติมายาวนานว่าจะมอบขนมฝีมือธิดาลูกไม้แดงหรือขนมของผู้ที่ชนะในหัวข้อความเป็นกุลสตรีให้แก่ผู้ที่สัตว์เสี่ยงทายเลือก จึงไม่ต้องเหนื่อยเก็บกู้อาวุธชีวภาพที่เหลือ

สี่สาวมารวมตัวกันอีกครั้งเมื่อผู้คนเริ่มแยกย้ายกันกลับบ้าน เจ้กับแว่นเตรียมบ่นตัวสร้างปัญหาอย่างโบ้เต็มที่ เสียดายไม่มีโอกาสได้พูดเพราะมัวแต่ช่วยกันปฏิเสธคนที่มาขอซื้อขนมต่อจากหน่อม ขนาดว่ามีองครักษ์มาดเข้มกับหยางเจี้ยนยืนคุม คนพวกนั้นก็ยังไม่ยอมไปไหนไกล ส่วนหนึ่งเพราะความสวยของทั้งสี่เป็นเหตุ

“พวกเรากลับโรงเตี๊ยมกันดีกว่า” แว่นชวนเพราะเห็นว่าอยู่นานไปก็รังแต่จะมีพวกช่างตื๊อมาวุ่นวายไม่เลิก

“แล้วพี่หกกับจางหลงเล่า” หน่อมเริ่มเป็นห่วง

องค์ชายหกเงียบหายนานเกินไปแล้ว ส่วนคนที่ถูกใช้ให้ไปตามก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา

“ฝากเถ้าแก่ร้านกับเสี่ยวเอ้อบอกก็ได้ว่าพวกเรากลับกันก่อน รออีกสักชั่วยามถ้าพี่หกยังไม่กลับมาค่อยให้จางไห่ไปตามหา”

แว่นยังใจเย็นอยู่ได้เพราะองค์ชายหกไม่ใช่เด็กเล็กและยังมีฝีมือการต่อสู้ พวกที่อยู่ตรงนี้เสียอีกที่น่าเป็นห่วง ถูกแทะโลมด้วยสายตาจนแทบจะพรุนแล้ว

หน่อมยังมีความลังเลแม้จะได้ฟังเหตุผล พี่หกเป็นคนมีความรับผิดชอบ ไม่มีทางทิ้งน้องสาวให้อยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน จึงหันไปถามความเห็นองครักษ์

“ข้าน้อยเห็นด้วยกับคุณหนูเฉินขอรับ” จางไห่ตอบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่