สัตว์พันปี : บทที่ ๙ คำทำนาย
เมืองห่าวซินมีขนาดเป็นสองเท่าของเมืองหลวง แบ่งเขตการปกครองเป็นสิบหกอำเภอ โดยแต่ละอำเภอจะมีผลไม้ขึ้นชื่อแตกต่างกันไป ทั้งยังมีการจัดงานเทศกาลเกือบทุกสัปดาห์ เรียกว่าเที่ยวชมได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ เสียดายที่มีเวลาจำกัดเพียงสี่วัน องค์ชายหกซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแล จึงมาถามความต้องการว่าอยากไปที่ใดเป็นพิเศษหรือไม่
หลังจากพูดคุยตกลงกันสักพักก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปที่เมืองอิงเถาเพื่อเที่ยวชม ‘เทศกาลลูกไม้แดง’ ในช่วงฤดูนี้ชาวเมืองจะนำเอาผลไม้สีแดงหลากชนิดมาประกอบอาหาร แล้วแจกจ่ายให้กัน รวมถึงมีการละเล่นเพื่อความบันเทิงมากมาย งานลูกไม้แดงจัดติดกันนานเจ็ดวัน นี่เพิ่งจัดไปได้สองวันเท่านั้น จึงไม่ต้องรีบร้อนเดินทาง
กำหนดการในวันแรกเป็นการเที่ยวชมธรรมชาติกันแบบเรื่อยเฉื่อยไปก่อน กะเวลาให้เดินทางถึงอำเภอที่เป็นจุดหมายปลายทางก่อนมืดเป็นอันใช้ได้
คณะเดินทางนำโดยองค์ชายหก ออกจากบริเวณเขตที่ประทับตั้งแต่เช้าตรู่ ด้านหน้ามีขบวนเสด็จของฮองเฮาร่วมเดินทางไปด้วย จุดหมายปลายทางของฮองเฮาคือวัดแห่งหนึ่งในอำเภอเกาจื่อ อำเภอนี้เป็นทางผ่านไปยังอิงเถาอยู่แล้ว พระนางจึงมีรับสั่งให้มาเสียด้วยกัน
กลุ่มของแว่นตามขบวนเสด็จไปอย่างกระชั้น แต่กลับดูเหมือนเป็นคนละกลุ่มกันเพราะพาหนะเทียบชั้นกันไม่ได้เลย องค์ชายสามจอมเจ้ากี้เจ้าการย้ำหนักหนาว่าให้ไปอย่างชาวบ้านสามัญจะสนุกกว่า ทุกคนไม่นึกค้าน รถม้าหรูหราจึงถูกเก็บออกไป เหลือเพียงรถที่แสนธรรมดาสองคัน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็หาที่ดูธรรมดาที่สุดมาสวมใส่ เพื่อไม่ให้สะดุดตามากนัก
แว่นกับหน่อมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่พาซีอิ๋งกับซูเสียมาด้วย เพราะอยากให้พวกนางได้พักผ่อน หลังจากต้องเหน็ดเหนื่อยคอยรับใช้มาหลายวัน คณะเดินทางประกอบด้วยสี่สาวและสี่หนุ่ม ผู้ชายสองคนแรกคือองค์ชายหกและหยางเจี้ยน ส่วนสองคนหลังเป็นทหารองครักษ์
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ทันสองยามสายก็มาถึงวัดซึ่งเป็นจุดหมาย ตัววัดตั้งอยู่บนเนินเขา ขึ้นบันไดไปร้อยขั้นจึงจะเจอกับประตูใหญ่ ขณะนี้ประตูวัดปิดเอาไว้แน่นหนา จะเปิดก็ตอนหลังเที่ยงและปิดทันทีก่อนมืด เพื่อไม่ให้ผู้ที่มาทำบุญรบกวนกิจของนักบวช
ขบวนเสด็จและคณะของแว่นจึงหยุดพักรอที่ลานกว้างด้านล่างก่อน จุดนี้มีนักเดินทางและพ่อค้ากลุ่มใหญ่ กระจายตัวกันอยู่ทั่วบริเวณ เพื่อความปลอดภัยของฮองเฮา เหล่าทหารจึงมาเชิญให้ออกไปจากจุดที่หมายตาจะใช้เป็นที่พัก
ฮองเฮาทรงกำชับว่าอย่าใช้ความรุนแรง รวมถึงไม่ทรงเปิดเผยตัว แต่คนเหล่านั้นก็เดาได้ว่าต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ จึงยอมหลบไปรวมกลุ่มอยู่กับอีกด้านหนึ่งโดยไม่อิดออด
องค์ชายหกขอแยกทางจากขบวนเสด็จตรงนี้ เพื่อทำตัวให้กลมกลืนกับชาวบ้าน เขาเห็นว่าหากปกปิดสถานะที่แท้จริงเอาไว้จะทำให้เดินทางได้ราบรื่นกว่า ฮองเฮาทรงเห็นด้วย จึงทรงกำชับเหล่าข้าราชบริพารอีกหนว่าไม่ให้เผลอหลุดปากเอ่ยถึงองค์ชายหกกับองค์หญิงสิบ
หลังจากเข้ามารวมกลุ่มกับสามัญชนได้ระยะหนึ่ง องค์ชายผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยมก็กลายเป็นขวัญใจประชาชน ชายหนุ่มถูกเชิญให้มานั่งร่วมวงกับเหล่านักเดินทางและสนทนากันอย่างครึกครื้น
ส่วนทางฝั่งผู้หญิงแบ่งเป็นสองกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด กลุ่มแรกคือชาวบ้านธรรมดา กลุ่มที่สองคือพวกแว่น หญิงชาวบ้านตลอดจนบุตรธิดาพ่อค้าไม่กล้าเข้ามาทักพวกแว่นก่อน ด้วยเห็นว่าพวกนางทั้งสี่นางต่างก็งดงาม ดูเป็นคุณหนูที่มีชาติตระกูลสูง คงไม่อยากมาเสวนากับคนต่ำต้อย ทั้งที่พวกแว่นอยากผูกมิตรด้วยแท้ๆ แต่พวกนางกลับหลบตาแล้วเบือนหน้าหนี คนส่งยิ้มให้ก่อนเลยไปต่อไม่ถูก เป็นเหตุให้ต่างฝ่ายต่างเงียบ
“ตบเลยดีไหมคะเจ้ ยิ้มให้แล้วทำเป็นหยิ่งแบบนี้” โบ้พูดเป็นภาษาไทย
“เจ้านี่ละก็ อย่าพูดภาษาไทยสิ” เจ้เตือนเพราะเสียงโบ้ใช่ว่าจะค่อย
“นี่เจ้แค่เตือนหรือด่าหนูว่าอิดอกคะ” โบ้ยังไม่ลืมคำแปลภาษาไทยที่สอนองค์ชายหกไปเมื่อวันก่อน เลยกระซิบถามเพื่อความมั่นใจ
“ทั้งคู่” เจ้จิกตาใส่
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งเถียงกันเลย” แว่นห้ามก่อนจะเถียงกันยาว “มาก่อไฟต้มน้ำกันดีกว่า”
ขณะนี้ยังไม่มีใครได้กินอาหารกลางวัน ในรถมีหมั่นโถวกับเนื้อตากแห้งอยู่ เอามาอุ่นสักหน่อยก็รับประทานได้แล้ว
“ข้าจะก่อไฟเอง” หน่อมอาสา
องค์ชายหกหันขวับมามองน้องสาวในทันทีที่ได้ยิน ลี่จูไม่เคยก่อไฟหุงหาอาหารเอง อย่างมากก็แค่ปรุงอาหารโดยมีคนจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ ชายหนุ่มเลยค่อนข้างเป็นห่วง แต่ก็ปล่อยให้นางทำไปเพราะเห็นว่ามีฟางเซียนกับไป๋หลินอยู่ด้วย
แล้วองค์ชายหกก็ต้องประหลาดใจเมื่อน้องสาวใช้เวลาก่อกองไฟแค่อึดใจเดียว ถึงจะมาขอต่อไฟจากคนอื่น ลี่จูก็ยังทำได้อย่างคล่องแคล่ว ความสามารถเหล่านี้ติดตัวมาจากโลกเดิม ต้องขอบคุณชีวิตทหารเกณฑ์ที่ทำให้คุณหนูอย่างหน่อมทำอะไรเป็นมากขึ้น ตอนฝึกในป่าเขาต้องก่อไฟหุงหาอาหารทั้งที่ฝนตกปรอยๆ เทียบกันแล้วการก่อไฟในตอนนี้ง่ายกว่ากันมาก
นอกจากลี่จูแล้ว คนที่เหลือล้วนมีท่าทีคุ้นเคยกับการทำอาหารกลางแจ้ง พวกนางทำงานในส่วนของตัวเองราวกับรู้หน้าที่ เมื่อคนหนึ่งกำลังยุ่งอีกคนก็จะจัดเตรียมของที่ต้องใช้มาไว้ใกล้มืออย่างรู้ใจ หากไม่ทราบมาก่อนว่าทั้งสี่เพิ่งคบหา เขาคงคิดว่าพวกนางเป็นสหายเก่าแก่
ในขณะที่กำลังลอบสังเกตอยู่นั้น นักเดินทางผู้หนึ่งก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า
“ผู้หญิงที่มากับเจ้าเป็นญาติกันรึ”
“ถูกต้องทีเดียว ลี่จูกับกุ้ยฮวาเป็นน้องสาวข้า” องค์ชายหกชี้ให้ดูว่าใครเป็นใคร
“แล้วคนไหนเป็นเมียเจ้าล่ะ” คนที่นั่งเยื้องกันถามบ้าง
“ท่านเข้าใจผิดแล้วพี่ชาย ข้ายังโสด” องค์ชายหกหัวเราะออกมาเมื่อมีคนเข้าใจผิด
จริงอยู่ที่อายุของเขาอยู่ในวัยที่สามารถแต่งงานได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดรีบร้อนมีครอบครัว
“แล้วแม่นางอีกสองคนที่เหลือเล่า เกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างไร”
องค์ชายลี่หยางนิ่งคิดหาคำตอบ สตรีที่เดินทางรอนแรมกับบุรุษซึ่งไม่ใช่ญาติมักถูกมองว่าไม่ดี องค์ชายหกเลยช่วยปกป้องเกียรติให้ โดยไม่ถงไม่ถามกันเลยสักคำเดียวว่าต้องการหรือเปล่า
“ฟางเซียนเป็นพี่สะใภ้ข้า” องค์ชายหกผายมือไปทางเจ้ ทำเอาคนถูกยัดเยียดสถานะอาซ้อให้สะดุ้ง “ส่วนไป๋หลินเป็นน้องสาวของพี่หยางเจี้ยน”
เมื่อคนที่เอ่ยถึงปลีกตัวออกจากกลุ่มไปสำรวจสถานที่ได้ระยะหนึ่งแล้ว องค์ชายหกเลยจัดการแต่งเรื่องว่าเขากับหยางเจี้ยนเป็นสหายกัน พอดีสองพี่น้องมีธุระที่เมืองอิงเถา จึงร่วมเดินทางไปด้วย
“น้องสาวของสหายเจ้าหน้าตางาม ในเมื่อเจ้ายังโสดไม่คิดจะทาบทามสู่ขอนางบ้างรึ”
คราวนี้เป็นโบ้ที่หูผึ่ง คนเป็นโรคแพ้คำชมยิ้มปลื้ม ก่อนจะแกล้งหันไปสบตากับองค์ชายลี่หยางอย่างขวยเขิน
“คนอย่างข้าไม่อาจเอื้อมหรอก เทพธิดาอย่างนางสมควรจะได้ครองคู่กับคนที่ดีกว่านี้”
ประโยคปฏิเสธนี้คงฟังดูดี ถ้าไม่มีคนมากระซิบแปลความหมายให้
“องค์ชายหกจะบอกว่า ‘ให้ตายเขาก็ไม่เอาแก’ ” แว่นว่า เนื่องจากหมั่นไส้ตุ๊ดแรมโบ้ที่ยังเคลิ้มไปกับคำว่าเทพธิดาแบบไร้สติ
พอรู้ตัวโบ้ก็หน้าเหี่ยว วันก่อนโดนพูดใส่หน้าว่าแรด วันนี้โดนปฏิเสธอย่างชัดเจนจนนอหด ดูแล้วก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย
โชคดีที่โบ้ไม่ใช่คนคิดมาก สลดได้อึดใจก็ยิ้มออก เมื่อมีนางกำนัลนำอาหารถาดใหญ่มาให้
“นายหญิงของข้าให้นำของพวกนี้มาให้พวกท่าน ตอบแทนที่ช่วยแบ่งที่ด้านในให้พวกเรา” นางกำนัลอาวุโสกล่าว
พวกนางแบ่งอาหารให้ทุกคนอย่างทั่วถึง มีลำเอียงให้ของดีกับองค์หญิงองค์ชายบ้าง เพราะจงใจนำมาให้เป็นพิเศษ
อาหารที่ได้มารวมกับของที่เจ้เพิ่งอุ่นเสร็จร้อนๆ เยอะเกินกว่าคนแปดคนจะกินหมด พวกแว่นจึงช่วยกันสอดส่ายสายตาหาคนที่ตกหล่นไม่ได้รับของแจกเพื่อแบ่งอาหารให้
“ข้าเอาหมั่นโถวกับเนื้อย่างไปให้ท่านตาตรงนั้นก่อนนะ” หน่อมบอกก่อนเดินไปแถวดงไผ่
เมื่อเดินไปถึงตัวแล้วเขาก็กล่าวทักทายคนที่กำลังนั่งเหม่อ
“ท่านตา ท่านเดินทางคนเดียวหรือ”
ชายชราไม่กระดุกกระดิกตัวเลยแม้แต่น้อย หน่อมจึงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกเท่าตัว เพราะคิดว่าคู่สนทนาหูตึง
“นี่เจ้าพูดกับข้ารึ” ชายชราเอี้ยวตัวมาหาด้วยท่าทางประหลาดใจ
“เจ้าค่ะ ข้าเห็นท่านอยู่ลำพัง ก็เลยนำอาหารมาให้ ท่านตามีน้ำดื่มไหม หากไม่มีข้าจะไปนำมาให้”
“ขอบคุณเจ้ามาก เรื่องน้ำไม่ต้องลำบากหรอก ข้ามีไว้ดื่มเยอะแยะ” ชายชราเอ่ยพลางตบขวดน้ำเต้าข้างตัว
หน่อมเห็นคนแก่แล้วอดนึกถึงอาม่าที่บ้านไม่ได้ ก็เลยชวนคุยว่าจะไปไหน หากเป็นทางผ่านจะได้ติดรถม้าไปด้วยกัน
“เจ้าช่างมีน้ำใจงาม” ชายชรากล่าวชมก่อนจะบอกว่าเป็นคนแถวนี้ แกมาเดินเล่นทอดอารมณ์ตามประสาคนแก่
หน่อมเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าชายชราตัดผมสั้น ชายเจียงเฉียงจะตัดผมเวลาไว้ทุกข์ให้บิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่ แต่ไม่มีผู้ใหญ่คนใดตัดผมเพื่อไว้ทุกข์ให้ลูกหลาน อายุท่านตาน่าจะสักเจ็ดสิบปีเห็นจะได้ หน่อมเลยรู้สึกว่ามันแปลก
ริ้วรอยบนใบหน้าของชายชราบ่งบอกว่าผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย แม้จะแสดงออกว่าเป็นคนอารมณ์ดีมีเมตตา หน่อมก็ยังไม่กล้าละลาบละล้วงถาม
“ข้าไว้ทุกข์ให้ภรรยาที่ตายไปมากว่าสี่สิบปีแล้ว” ชายชราเอ่ยราวกับอ่านใจได้
หน่อมรู้ตัวว่าเสียมารยาทจ้องผมคู่สนทนานานเกินไปจึงกล่าวขออภัย
“อย่าคิดมากเลย แม่นางน้อยเป็นคนดีมีน้ำใจ ได้สนทนากับเจ้าข้าเสียอีกที่รู้สึกเป็นวาสนา”
ชายชราถามกลับว่าหน่อมเป็นคนที่ไหนและมาที่นี่มีวัตถุประสงค์อะไร
“ข้าเป็นชาวเมืองหลวง มาที่นี่เพื่อท่องเที่ยว พอดีวัดแห่งนี้เป็นทางผ่านก็เลยแวะมา”
“เจ้าก็อยากได้คำทำนายจากท่านนักพรตรึ”
พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๒ สัตว์พันปี : บทที่ ๙ คำทำนาย
เมืองห่าวซินมีขนาดเป็นสองเท่าของเมืองหลวง แบ่งเขตการปกครองเป็นสิบหกอำเภอ โดยแต่ละอำเภอจะมีผลไม้ขึ้นชื่อแตกต่างกันไป ทั้งยังมีการจัดงานเทศกาลเกือบทุกสัปดาห์ เรียกว่าเที่ยวชมได้ทั้งปีไม่มีเบื่อ เสียดายที่มีเวลาจำกัดเพียงสี่วัน องค์ชายหกซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแล จึงมาถามความต้องการว่าอยากไปที่ใดเป็นพิเศษหรือไม่
หลังจากพูดคุยตกลงกันสักพักก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปที่เมืองอิงเถาเพื่อเที่ยวชม ‘เทศกาลลูกไม้แดง’ ในช่วงฤดูนี้ชาวเมืองจะนำเอาผลไม้สีแดงหลากชนิดมาประกอบอาหาร แล้วแจกจ่ายให้กัน รวมถึงมีการละเล่นเพื่อความบันเทิงมากมาย งานลูกไม้แดงจัดติดกันนานเจ็ดวัน นี่เพิ่งจัดไปได้สองวันเท่านั้น จึงไม่ต้องรีบร้อนเดินทาง
กำหนดการในวันแรกเป็นการเที่ยวชมธรรมชาติกันแบบเรื่อยเฉื่อยไปก่อน กะเวลาให้เดินทางถึงอำเภอที่เป็นจุดหมายปลายทางก่อนมืดเป็นอันใช้ได้
คณะเดินทางนำโดยองค์ชายหก ออกจากบริเวณเขตที่ประทับตั้งแต่เช้าตรู่ ด้านหน้ามีขบวนเสด็จของฮองเฮาร่วมเดินทางไปด้วย จุดหมายปลายทางของฮองเฮาคือวัดแห่งหนึ่งในอำเภอเกาจื่อ อำเภอนี้เป็นทางผ่านไปยังอิงเถาอยู่แล้ว พระนางจึงมีรับสั่งให้มาเสียด้วยกัน
กลุ่มของแว่นตามขบวนเสด็จไปอย่างกระชั้น แต่กลับดูเหมือนเป็นคนละกลุ่มกันเพราะพาหนะเทียบชั้นกันไม่ได้เลย องค์ชายสามจอมเจ้ากี้เจ้าการย้ำหนักหนาว่าให้ไปอย่างชาวบ้านสามัญจะสนุกกว่า ทุกคนไม่นึกค้าน รถม้าหรูหราจึงถูกเก็บออกไป เหลือเพียงรถที่แสนธรรมดาสองคัน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็หาที่ดูธรรมดาที่สุดมาสวมใส่ เพื่อไม่ให้สะดุดตามากนัก
แว่นกับหน่อมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่พาซีอิ๋งกับซูเสียมาด้วย เพราะอยากให้พวกนางได้พักผ่อน หลังจากต้องเหน็ดเหนื่อยคอยรับใช้มาหลายวัน คณะเดินทางประกอบด้วยสี่สาวและสี่หนุ่ม ผู้ชายสองคนแรกคือองค์ชายหกและหยางเจี้ยน ส่วนสองคนหลังเป็นทหารองครักษ์
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ทันสองยามสายก็มาถึงวัดซึ่งเป็นจุดหมาย ตัววัดตั้งอยู่บนเนินเขา ขึ้นบันไดไปร้อยขั้นจึงจะเจอกับประตูใหญ่ ขณะนี้ประตูวัดปิดเอาไว้แน่นหนา จะเปิดก็ตอนหลังเที่ยงและปิดทันทีก่อนมืด เพื่อไม่ให้ผู้ที่มาทำบุญรบกวนกิจของนักบวช
ขบวนเสด็จและคณะของแว่นจึงหยุดพักรอที่ลานกว้างด้านล่างก่อน จุดนี้มีนักเดินทางและพ่อค้ากลุ่มใหญ่ กระจายตัวกันอยู่ทั่วบริเวณ เพื่อความปลอดภัยของฮองเฮา เหล่าทหารจึงมาเชิญให้ออกไปจากจุดที่หมายตาจะใช้เป็นที่พัก
ฮองเฮาทรงกำชับว่าอย่าใช้ความรุนแรง รวมถึงไม่ทรงเปิดเผยตัว แต่คนเหล่านั้นก็เดาได้ว่าต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ จึงยอมหลบไปรวมกลุ่มอยู่กับอีกด้านหนึ่งโดยไม่อิดออด
องค์ชายหกขอแยกทางจากขบวนเสด็จตรงนี้ เพื่อทำตัวให้กลมกลืนกับชาวบ้าน เขาเห็นว่าหากปกปิดสถานะที่แท้จริงเอาไว้จะทำให้เดินทางได้ราบรื่นกว่า ฮองเฮาทรงเห็นด้วย จึงทรงกำชับเหล่าข้าราชบริพารอีกหนว่าไม่ให้เผลอหลุดปากเอ่ยถึงองค์ชายหกกับองค์หญิงสิบ
หลังจากเข้ามารวมกลุ่มกับสามัญชนได้ระยะหนึ่ง องค์ชายผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยมก็กลายเป็นขวัญใจประชาชน ชายหนุ่มถูกเชิญให้มานั่งร่วมวงกับเหล่านักเดินทางและสนทนากันอย่างครึกครื้น
ส่วนทางฝั่งผู้หญิงแบ่งเป็นสองกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด กลุ่มแรกคือชาวบ้านธรรมดา กลุ่มที่สองคือพวกแว่น หญิงชาวบ้านตลอดจนบุตรธิดาพ่อค้าไม่กล้าเข้ามาทักพวกแว่นก่อน ด้วยเห็นว่าพวกนางทั้งสี่นางต่างก็งดงาม ดูเป็นคุณหนูที่มีชาติตระกูลสูง คงไม่อยากมาเสวนากับคนต่ำต้อย ทั้งที่พวกแว่นอยากผูกมิตรด้วยแท้ๆ แต่พวกนางกลับหลบตาแล้วเบือนหน้าหนี คนส่งยิ้มให้ก่อนเลยไปต่อไม่ถูก เป็นเหตุให้ต่างฝ่ายต่างเงียบ
“ตบเลยดีไหมคะเจ้ ยิ้มให้แล้วทำเป็นหยิ่งแบบนี้” โบ้พูดเป็นภาษาไทย
“เจ้านี่ละก็ อย่าพูดภาษาไทยสิ” เจ้เตือนเพราะเสียงโบ้ใช่ว่าจะค่อย
“นี่เจ้แค่เตือนหรือด่าหนูว่าอิดอกคะ” โบ้ยังไม่ลืมคำแปลภาษาไทยที่สอนองค์ชายหกไปเมื่อวันก่อน เลยกระซิบถามเพื่อความมั่นใจ
“ทั้งคู่” เจ้จิกตาใส่
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งเถียงกันเลย” แว่นห้ามก่อนจะเถียงกันยาว “มาก่อไฟต้มน้ำกันดีกว่า”
ขณะนี้ยังไม่มีใครได้กินอาหารกลางวัน ในรถมีหมั่นโถวกับเนื้อตากแห้งอยู่ เอามาอุ่นสักหน่อยก็รับประทานได้แล้ว
“ข้าจะก่อไฟเอง” หน่อมอาสา
องค์ชายหกหันขวับมามองน้องสาวในทันทีที่ได้ยิน ลี่จูไม่เคยก่อไฟหุงหาอาหารเอง อย่างมากก็แค่ปรุงอาหารโดยมีคนจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้ ชายหนุ่มเลยค่อนข้างเป็นห่วง แต่ก็ปล่อยให้นางทำไปเพราะเห็นว่ามีฟางเซียนกับไป๋หลินอยู่ด้วย
แล้วองค์ชายหกก็ต้องประหลาดใจเมื่อน้องสาวใช้เวลาก่อกองไฟแค่อึดใจเดียว ถึงจะมาขอต่อไฟจากคนอื่น ลี่จูก็ยังทำได้อย่างคล่องแคล่ว ความสามารถเหล่านี้ติดตัวมาจากโลกเดิม ต้องขอบคุณชีวิตทหารเกณฑ์ที่ทำให้คุณหนูอย่างหน่อมทำอะไรเป็นมากขึ้น ตอนฝึกในป่าเขาต้องก่อไฟหุงหาอาหารทั้งที่ฝนตกปรอยๆ เทียบกันแล้วการก่อไฟในตอนนี้ง่ายกว่ากันมาก
นอกจากลี่จูแล้ว คนที่เหลือล้วนมีท่าทีคุ้นเคยกับการทำอาหารกลางแจ้ง พวกนางทำงานในส่วนของตัวเองราวกับรู้หน้าที่ เมื่อคนหนึ่งกำลังยุ่งอีกคนก็จะจัดเตรียมของที่ต้องใช้มาไว้ใกล้มืออย่างรู้ใจ หากไม่ทราบมาก่อนว่าทั้งสี่เพิ่งคบหา เขาคงคิดว่าพวกนางเป็นสหายเก่าแก่
ในขณะที่กำลังลอบสังเกตอยู่นั้น นักเดินทางผู้หนึ่งก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงอันดังว่า
“ผู้หญิงที่มากับเจ้าเป็นญาติกันรึ”
“ถูกต้องทีเดียว ลี่จูกับกุ้ยฮวาเป็นน้องสาวข้า” องค์ชายหกชี้ให้ดูว่าใครเป็นใคร
“แล้วคนไหนเป็นเมียเจ้าล่ะ” คนที่นั่งเยื้องกันถามบ้าง
“ท่านเข้าใจผิดแล้วพี่ชาย ข้ายังโสด” องค์ชายหกหัวเราะออกมาเมื่อมีคนเข้าใจผิด
จริงอยู่ที่อายุของเขาอยู่ในวัยที่สามารถแต่งงานได้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดรีบร้อนมีครอบครัว
“แล้วแม่นางอีกสองคนที่เหลือเล่า เกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างไร”
องค์ชายลี่หยางนิ่งคิดหาคำตอบ สตรีที่เดินทางรอนแรมกับบุรุษซึ่งไม่ใช่ญาติมักถูกมองว่าไม่ดี องค์ชายหกเลยช่วยปกป้องเกียรติให้ โดยไม่ถงไม่ถามกันเลยสักคำเดียวว่าต้องการหรือเปล่า
“ฟางเซียนเป็นพี่สะใภ้ข้า” องค์ชายหกผายมือไปทางเจ้ ทำเอาคนถูกยัดเยียดสถานะอาซ้อให้สะดุ้ง “ส่วนไป๋หลินเป็นน้องสาวของพี่หยางเจี้ยน”
เมื่อคนที่เอ่ยถึงปลีกตัวออกจากกลุ่มไปสำรวจสถานที่ได้ระยะหนึ่งแล้ว องค์ชายหกเลยจัดการแต่งเรื่องว่าเขากับหยางเจี้ยนเป็นสหายกัน พอดีสองพี่น้องมีธุระที่เมืองอิงเถา จึงร่วมเดินทางไปด้วย
“น้องสาวของสหายเจ้าหน้าตางาม ในเมื่อเจ้ายังโสดไม่คิดจะทาบทามสู่ขอนางบ้างรึ”
คราวนี้เป็นโบ้ที่หูผึ่ง คนเป็นโรคแพ้คำชมยิ้มปลื้ม ก่อนจะแกล้งหันไปสบตากับองค์ชายลี่หยางอย่างขวยเขิน
“คนอย่างข้าไม่อาจเอื้อมหรอก เทพธิดาอย่างนางสมควรจะได้ครองคู่กับคนที่ดีกว่านี้”
ประโยคปฏิเสธนี้คงฟังดูดี ถ้าไม่มีคนมากระซิบแปลความหมายให้
“องค์ชายหกจะบอกว่า ‘ให้ตายเขาก็ไม่เอาแก’ ” แว่นว่า เนื่องจากหมั่นไส้ตุ๊ดแรมโบ้ที่ยังเคลิ้มไปกับคำว่าเทพธิดาแบบไร้สติ
พอรู้ตัวโบ้ก็หน้าเหี่ยว วันก่อนโดนพูดใส่หน้าว่าแรด วันนี้โดนปฏิเสธอย่างชัดเจนจนนอหด ดูแล้วก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อย
โชคดีที่โบ้ไม่ใช่คนคิดมาก สลดได้อึดใจก็ยิ้มออก เมื่อมีนางกำนัลนำอาหารถาดใหญ่มาให้
“นายหญิงของข้าให้นำของพวกนี้มาให้พวกท่าน ตอบแทนที่ช่วยแบ่งที่ด้านในให้พวกเรา” นางกำนัลอาวุโสกล่าว
พวกนางแบ่งอาหารให้ทุกคนอย่างทั่วถึง มีลำเอียงให้ของดีกับองค์หญิงองค์ชายบ้าง เพราะจงใจนำมาให้เป็นพิเศษ
อาหารที่ได้มารวมกับของที่เจ้เพิ่งอุ่นเสร็จร้อนๆ เยอะเกินกว่าคนแปดคนจะกินหมด พวกแว่นจึงช่วยกันสอดส่ายสายตาหาคนที่ตกหล่นไม่ได้รับของแจกเพื่อแบ่งอาหารให้
“ข้าเอาหมั่นโถวกับเนื้อย่างไปให้ท่านตาตรงนั้นก่อนนะ” หน่อมบอกก่อนเดินไปแถวดงไผ่
เมื่อเดินไปถึงตัวแล้วเขาก็กล่าวทักทายคนที่กำลังนั่งเหม่อ
“ท่านตา ท่านเดินทางคนเดียวหรือ”
ชายชราไม่กระดุกกระดิกตัวเลยแม้แต่น้อย หน่อมจึงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกเท่าตัว เพราะคิดว่าคู่สนทนาหูตึง
“นี่เจ้าพูดกับข้ารึ” ชายชราเอี้ยวตัวมาหาด้วยท่าทางประหลาดใจ
“เจ้าค่ะ ข้าเห็นท่านอยู่ลำพัง ก็เลยนำอาหารมาให้ ท่านตามีน้ำดื่มไหม หากไม่มีข้าจะไปนำมาให้”
“ขอบคุณเจ้ามาก เรื่องน้ำไม่ต้องลำบากหรอก ข้ามีไว้ดื่มเยอะแยะ” ชายชราเอ่ยพลางตบขวดน้ำเต้าข้างตัว
หน่อมเห็นคนแก่แล้วอดนึกถึงอาม่าที่บ้านไม่ได้ ก็เลยชวนคุยว่าจะไปไหน หากเป็นทางผ่านจะได้ติดรถม้าไปด้วยกัน
“เจ้าช่างมีน้ำใจงาม” ชายชรากล่าวชมก่อนจะบอกว่าเป็นคนแถวนี้ แกมาเดินเล่นทอดอารมณ์ตามประสาคนแก่
หน่อมเพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้เองว่าชายชราตัดผมสั้น ชายเจียงเฉียงจะตัดผมเวลาไว้ทุกข์ให้บิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่ แต่ไม่มีผู้ใหญ่คนใดตัดผมเพื่อไว้ทุกข์ให้ลูกหลาน อายุท่านตาน่าจะสักเจ็ดสิบปีเห็นจะได้ หน่อมเลยรู้สึกว่ามันแปลก
ริ้วรอยบนใบหน้าของชายชราบ่งบอกว่าผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย แม้จะแสดงออกว่าเป็นคนอารมณ์ดีมีเมตตา หน่อมก็ยังไม่กล้าละลาบละล้วงถาม
“ข้าไว้ทุกข์ให้ภรรยาที่ตายไปมากว่าสี่สิบปีแล้ว” ชายชราเอ่ยราวกับอ่านใจได้
หน่อมรู้ตัวว่าเสียมารยาทจ้องผมคู่สนทนานานเกินไปจึงกล่าวขออภัย
“อย่าคิดมากเลย แม่นางน้อยเป็นคนดีมีน้ำใจ ได้สนทนากับเจ้าข้าเสียอีกที่รู้สึกเป็นวาสนา”
ชายชราถามกลับว่าหน่อมเป็นคนที่ไหนและมาที่นี่มีวัตถุประสงค์อะไร
“ข้าเป็นชาวเมืองหลวง มาที่นี่เพื่อท่องเที่ยว พอดีวัดแห่งนี้เป็นทางผ่านก็เลยแวะมา”
“เจ้าก็อยากได้คำทำนายจากท่านนักพรตรึ”