http://pantip.com/topic/33247561
บทที่ 7
ฟ้าเริ่มสางรำไรพร้อมกับแสงไฟจากหน้ารถก็สาดเป็นลำยาวมาจรดกระท่อมป้อมยามของเขา ฤกษ์สุรัตน์ขับรถมาเองคนเดียว พยาบาลราศีก็ช่างตื่นเร็วดีเหลือเกิน คงได้ยินเสียงรถนั่นแหละ หล่อนถึงได้กระวีกระวาดออกมารับหน้า
"เมื่อคืนนี้เสียงคุณไม่ค่อยดีเลย ผมเป็นห่วงก็เลยต้องแวะมาดูให้สบายใจแต่เช้ามืด"
"ก็มึนๆ กับงงๆ นิดหน่อยค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างปกติดีค่ะ"
"หนาวจัง"
"ก็พระอาทิตย์โผล่แค่เสี้ยวเดียวเอง ดูหมอกสิ หนาเหมือนแป้งเสียขนาดนี้ คุณก็ช่างเสี่ยงนะคะ ขับขึ้นมาได้"
"คิดว่าจะมีอะไรยับยั้งผมได้หรือ"
เสียงร้อนเช่นนั้นแฝงเลศนัยเสน่หา ไม่เว้นแม้แต่ตาพราวระยับที่เปล่งแต่แสงกระหายในกาม พยาบาลราศีได้ยินและได้เห็นอย่างวาบหวามปลื้มปริ่ม หล่อนไม่ขัดข้องเลยตอนเจ้านายสุดที่รักประกบจูบแน่นแล้วเขยื้อนขยี้ดูดดื่ม ไม่เพียงไม่ขัดข้องนะ หล่อนยังสนองตอบอย่างเต็มใจและอย่างปรารถนาไม่แพ้กันอีกด้วย
ชมทองบอกตัวเองว่าช่างโชคดีเหลือหลายที่ออกมาเดินเตร็ดเตร่แก้หนาวแถวร่องสวนดอกไม้ ทำให้มีโอกาสได้ชมฉากรักวาบหวิวกลางมวลหมอกในยามที่พระอาทิตย์โผล่แค่เสี้ยวเดียวเองตามที่พยาบาลไร้จรรยาบรรณฉอเลาะไปเมื่อครู่นี้
น่าสมเพชแท้ สองคนช่างกล้านัก เสนอสนองจูบเร่าร้อนเมามัน ตัวก็กอดกันกลมดิก ฝ่ามือสองคู่พาซุกซนเฟ้นฟอนทั่วลำตัวของกันและกันด้วยจังหวะกระหายจัด ไม่อายฟ้าอายดินกันเสียบ้าง เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ แล้วก็ไม่มีความรู้สึกนี้อยู่ก่อน
สงสารพิมพ์เช้ายิ่ง ถ้าเพียงแต่เธอจะนอนพิการไร้ความรู้สึกตามที่ทุกคนเข้าใจ เขาก็คงไม่สงสารเท่าไหร่หรอก แต่ก็เปล่านี่ เธอรู้สึกตัวแล้ว สื่อสารได้ทุกอย่างเหมือนคนปกติ หนำซ้ำ แนวโน้มที่เธอจะหวนคืนสู่พิมพ์เช้าคนเดิมก็มีสูงอีกด้วย
เขานี่แหละจะช่วยเธอ จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้านายสาวผู้อาภัพคนนั้นลุกจากเตียงได้อีกครั้ง เดินเหินเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องอาศัยเก้าอี้รถเข็นตัวนั้นอีก แล้วหลังจากนั้น เธออยากทำอะไร เขาก็พร้อมจะร่วมด้วยช่วยลุยแบบไม่เกี่ยงไม่ค้าน
เหตุผลน่ะหรือ ง่ายจะตาย ก็ฉากพิศวาสวาบหวิวกลางมวลหมอกนั่นยังไง นานตั้งห้านาทีแล้ว ยังจูบดูดดื่มกันไม่เลิก ฝ่ายชายรุกหนักถึงขั้นล้ำมือซุกซนกันใต้ร่มผ้าแล้ว แม่ฝ่ายหญิงก็ช่างไม่รักนวลสงวนตัว แอ่นอกกระดกก้นให้เชยชมกันแบบถึงอกถึงใจ ยั่วยุอารมณ์ให้เดือดระอุกันอีกเล็กน้อยด้วยเสียงครางแหบพร่าเป็นช่วงๆ
"ไปต่อข้างในดีไหม ผมมีเวลาสองสามชั่วโมง วันนี้มีนัดกับพ่อเลี้ยงชุเกต" ฤกษ์สุรัตน์เสนอเสียงกระเส่าขณะลากจูบเชยชมลำคอระหงของคุณพยาบาลคู่ขา
"เจ้าของที่ดินที่.. "
"ใช่ เจ้าของที่ดินที่ผมเล็งไว้นั่นแหละ"
"ยังไม่ยอมขายหรือคะ"
"ใครว่า" ฤกษ์สุรัตน์เว้นจังหวะเฟ้นฟอนเพื่อยกใบหน้าขึ้น เขายิ้มกว้างเย้ยหยันไปยังเจ้าของชื่อ "วันนี้นัดเซ็นสัญญาซื้อขายกันเลยเชียวละ"
"อุ๊ย แบบนี้ก็สมใจแย่สิคะ" พยาบาลราศีอุทานลิงโลดเอาใจกันใหญ่
"ก็แน่อยู่แล้ว ผมถึงขึ้นมาแบ่งปันความสมใจกับคุณนี่ไง ไป เข้าข้างในกันเถอะ ขอแวะดูหน้าคุณพิมพ์สักแป๊บด้วย"
หนุ่มยามค่อยเคลื่อนตัวห่างที่ซ่อนพลางส่ายหน้าสะทกสะท้อน สามีใช้คำว่าดูหน้าแทนคำว่าเยี่ยมหรือคำว่าดูอาการหรอกหรือ ฟังแล้วรู้สึกแย่เป็นบ้า เหมือนว่าเจ้าตัวประสงค์เยาะเย้ยให้สะใจเสียมากกว่า
แล้วเขาก็ไม่เชื่อด้วยนะว่าเจ้านายหนุ่มจะแวะแป๊บเดียว ทายล่วงหน้าได้เลยว่าเจ้าตัวต้องซ้ำเติมเย้ยหยันเจ้านายสาวผู้น่าสงสารของเขาด้วยบทพลอดพิศวาสแหงๆ แล้วพิมพ์เช้าก็ต้องประทับภาพเชือดเฉือนหัวใจภรรยาเช่นนั้นอย่างอดทนอดกลั้น ดูสิ แค่นึกภาพอยู่ตรงนี้ หัวใจเขาก็แสนเวทนากับเจ็บร้าวแทนเธออย่างบอกไม่ถูกแล้ว
"คืนนี้ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมสามีคนหนึ่งต้องรังแกภรรยาคนหนึ่งให้ตกอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายอย่างนั้น แล้วถ้าทำร้ายกันถึงขนาดนั้นได้ ก็ไม่สู้ฆ่าให้ตายแล้วสาปแช่งให้ตกนรกห้ามผุดห้ามเกิดไปเลยเสียยังดีกว่า"
เขางึมงำความตั้งใจตนขณะก้าวเนิบไปตามร่องสวนดอกไม้ อากาศหนาวจับขั้วหัวใจ เสื้อแจ๊กเก็ตตัวใหญ่โคร่งและเนื้อหนามากก็แทบจะทานไม่ไหว ทั้งที่ข้างในก็สวมเสื้อกั๊กไหมพรมอีกชั้นแล้วนะ อ้อ โน่นแน่ะ นายแสเยี่ยมหน้าออกจากครัวมาพอดี กาแฟสองถ้วยในมือคงสำหรับตัวเองและเผื่อแผ่มายังเขาด้วยแน่ๆ
ใช่ว่าอยากทำร้ายหรือต้องการให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ที่เขาต้องการเพียงการแก้แค้นเพื่อชดเชยชีวิตทุกช่วงเวลาที่ตกระกำลำบากแสนสาหัสมาอย่างยาวนานเท่านั้น
พยาบาลราศีลอบสังเกตสายตาอ่อนโยนลงวูบหนึ่งของฤกษ์สุรัตน์ด้วยใจไม่สบายนัก เขายืนยันหนักแน่นเสมอว่าไม่เคยรักพิมพ์เช้าฉันชู้สาว และไม่มีวันรักบุตรสาวของศัตรูเป็นอันขาด แต่แววอ่อนโยนที่เห็นก็ไม่วายก่อความระแวงลึกขึ้น
"กว่าเธอจะตายคงอีกหลายสิบปี ทรมานน่าดู" เขาปรารภ
"ไม่หรอกค่ะ เธอจะอยู่หรือตายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณต่างหาก" หล่อนแย้ง
"ผมไม่ต้องการให้เธอตายหรอก เพราะเธอคือเครื่องทรมานชั้นดีที่ผมจะเก็บไว้ใช้กับพ่อของเธอ"
ฤกษ์สุรัตน์ยักไหล่พร้อมเบะปากนิดๆ แม้สายตาอาจดูอ่อนโยนลง แต่ไฟพยาบาทในห้วงใจแค้นก็ไม่เคยสร่างมอด ก็แน่ละ เขาอดทนและเข้มแข็งกับโชคชะตาอุบาทว์บัดซบมาตั้งเท่าไหร่ ชีวิตในวัยเยาว์ยิ่งเสียกว่าตกนรกขุมลึกสุดลึกเสียด้วยซ้ำ
เขาต้องสูญเสียมารดาในอาคารที่ไฟกำลังลุกท่วม ท่านวิ่งออกมาได้แล้ว แต่ประตูบานนั้นร่วงลงมาขวางกั้น ไฟมันร้อนนี่ เขาเข้าใจว่าท่านพยายามเอาตัวให้รอดจากพระเพลิงอย่างเต็มกำลังแล้ว ทว่า เขากลับเห็นท่านถูกครอกต่อหน้าต่อตา
"ช่วยแม่ผมสิครับ ช่วยแม่ผมด้วย คุณท่าน บอกพวกเขาช่วยแม่ผมด้วย อย่าเพิ่งให้กลับ"
"ฉันไม่ใช่เทวดานะ จะได้ต่อรองกับพญามัจจุราชได้ แม่แกน่ะถึงที่ตายแล้วละไอ้หนู ไม่มีใครช่วยได้หรอก"
"ผมจะลองเข้าไปช่วย พอจะมีทางอยู่บ้าง ให้พนักงานดับเพลิงช่วยฉีดน้ำตรงทางเข้าให้หน่อย ผมฝ่าไปเอง"
นั่นคือเสียงอาสาแข็งขันอย่างมีน้ำใจของ 'ผู้จัดการวีระ' แต่เจ้านายเลือดเย็นไร้น้ำใจอย่างคุณบวรมั่นในวันวานกลับปฏิเสธเสียงกระด้างปนเดือด หนำซ้ำยังติเตียนผู้จัดการโรงงานผู้มีน้ำใจงามเสียอีกว่า
"อยากเป็นพระเอกหรือ ฉันไม่ยอมเสียคนทำงานเก่งๆ อย่างเธอไปแลกกับแม่บ้านกระจอกๆ คนหนึ่งหรอกนะ"
"แม่ผมนะ" เขาในวันนั้นตะคอกคับแค้นกลั้วน้ำตานอง
"เออ แม่แกแล้วทำไม ต่อให้ช่วยออกมาได้ แล้วยังไง นึกหรือว่าแม่แกจะรอด เผลอๆ จะมาเป็นภาระให้ฉันต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชย ค่าสวัสดิการเลี้ยงดูปูเสื่อไปสักพักใหญ่ๆ อีก เงินทั้งนั้น ฉันเป็นนักธุรกิจนะ ไม่ใช่พ่อพระ"
ตอนสามขวบ เขาต้องกำพร้าบิดากรรมกรก่อสร้าง ท่านพลัดตกจากนั่งร้านชั้นหกและเสียชีวิตทันทีเมื่อถึงพื้นข้างล่าง มารดาหม้ายต้องกัดฟันเลี้ยงดูเขากับน้องสาวน้องชายฝาแฝดอย่างมานะบากบั่น
ท่านเคยยอมแม้แต่จะไปนั่งขอทานอย่างคนจนตรอก เพื่อหาเงินในภาวะเร่งด่วนไปซื้อยาแก้ไข้มาให้น้องสาวตัวร้อนจัดวัยขวบนิดๆ กินประทังไปก่อน ทว่า แม่หนูน้อยบอบบางเกินกว่าจะทานทนพิษไข้ที่สูงแทบปรอทแตก ไม่ทันข้ามค่ำคืนนั้น เจ้าตัวก็จากไปอย่างสงบในอ้อมอกของพี่ชายคนนี้ ใต้ชายคาตึกร้างอันมืดมิด อับชื้น และท่ามกลางห่าฝนคลั่ง
ผ่านไปอีกหนึ่งปี น้องชายวัยห่างกันแค่สามชั่วโมงของน้องสาวฝาแฝดก็จำต้องพรากจากเพื่อชีวิตและอนาคตที่ดี สามีภรรยาฝรั่งขอไปเลี้ยงเพราะถูกชะตาตอนเจอกันที่โรงพยาบาล พ่อหนูน้อยเป็นไข้เลือดออก มารดาไม่มีเงินติดตัว ท่านต้องขายเลือดเพื่อให้ได้เงินจำนวนเล็กน้อย แล้วรีบพาคนดีไปรักษาก่อนจะสายเกินแก้ซ้ำรอย และนั่นแหละคือรอยแยกของโชคชะตา
"คุณฤกษ์ คุณฤกษ์คะ"
พยาบาลราศีสะกิดแขนเบาๆ อย่างเกรงใจ เขาเงียบไปนานทีเดียว หล่อนใจหมองลงพร้อมกับน้ำตาหยดนั้น มันร่วงลงจากเบ้าแดงก่ำ ภวังค์ที่เขาก่อเองคงสร้างความสะเทือนใจมาสู่อย่างยิ่งยวดเลยใช่ไหม ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เผยความอ่อนแอเพียงวูบออกมาให้เห็น
"ผมไม่เป็นไร" เขากระแอม กะพริบตาถี่ๆ หยดน้ำตาก็ร่วงพรูๆ
"นึกถึงความหลังหรือคะ"
"ใช่ ความหลังที่ผมไม่มีวันลืม ผมจะจำไว้จนกว่าจะถึงวันที่ได้เห็นศัตรูตายลงตรงหน้าและแทบเท้าของผมนี่"
เสียงที่เค้นออกมาจากใจอันพยาบาทลึกนั้น บางขณะฟังคล้ายคำราม บางขณะก็เครือดั่งคร่ำครวญ แต่ที่แน่ๆ ก็คือน้ำตาสะเทือนใจแห้งหายไม่เหลือสักหยดแล้ว และสายตาที่เลื่อนกลับไปดูสภาพภรรยาเคราะห์ร้ายนอนลืมตาโพลงปนทื่อบนเตียงนั้นก็ย้อนกลับมาล้นหลามด้วยแววสะใจดังเดิม แล้วพยาบาลคู่พิศวาสก็ชื่นชอบแววตาเลือดเย็นเช่นนั้นมากกว่า
"เมื่อคืนนี้เสียงคุณฟังดูแย่" สามีจอมอาฆาตของพิมพ์เช้าค่อยวกกลับมาถามข้อสงสัยเดิมหลังสิ้นความสนใจเหยื่อ
"อ้อ ฉันตกใจตื่นกลางดึกน่ะค่ะ มึนๆ นิดหน่อย ผะอืดผะอมปุบปับก็เลยเข้าไปอ้วกในห้องน้ำ คุณฤกษ์โทรเข้ามาตอนนั้นพอดีน่ะค่ะ"
"เป็นอะไร"
"ไม่เป็นอะไรค่ะ คงลุกขึ้นนั่งเร็วเกินไปตอนตกใจแล้วสะดุ้งตื่น"
"แต่เหตุการณ์ปกติดีใช่ไหมครับ"
เจ้านายกึ่งคู่พิศวาสถามเรื่อยๆ เขาเดินเข้าไปใกล้ร่างนอนนิ่งของเหยื่ออีกเล็กน้อย และไม่ได้สนใจคำตอบที่ตนก็ไม่ถึงกับใคร่รู้มากมาย ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะพยาบาลราศีก็ไม่อยากตอบอยู่พอดี
เมื่อคืนวาน หล่อนได้ยินเสียงใครก็ไม่ทราบร้อง 'ว้าย' แม้จะมั่นใจว่าผลุนผลันออกจากห้องน้ำเร็วมากถึงมากที่สุดก็ว่าได้ แต่ช่างแปลกแท้ที่หล่อนกลับไม่พบเห็นอะไรเลย นอกจากเหยือกน้ำหล่นจากโต๊ะเล็กหัวเตียง แตกกระจาย น้ำนองพื้น
หล่อนปรี่ไปประชิดหน้าเตียง สำรวจเหยื่อพิการจนแน่ใจว่าไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จึงรีบออกไปสำรวจข้างนอก เจอหนุ่มยามชมทองหาวหวอดอยู่ในกระท่อมป้อมยาม หล่อนไม่ได้ถามไถ่อะไร เพราะสรุปความเอาเองว่ายามยังไม่หลับ ถ้ามีเหตุไม่ปกติจริง เจ้าตัวก็คงเอะอะไปแล้ว
ทว่า เหตุผลที่หล่อนขออุบเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมรายงานให้เจ้านายหนุ่มทราบในทันทีก่อน ก็เป็นเพราะความระแวงลึกๆ นั่นเอง หล่อนไม่เชื่อว่าตนตาฝาด ซ้ำยังมั่นใจด้วยว่าเตียงที่ไร้ร่างของพิมพ์เช้านอนนิ่งทื่อนั่นแหละคือต้นเหตุของอาการผะอืดผะอมหนักหน่วง
และเพราะตกใจว่าตนบกพร่องร้ายแรง เพราะพรั่นพรึงว่าถ้าฤกษ์สุรัตน์ทราบเรื่องเข้า เขาต้องเดือดดาลจัดพานตัดรักตัดสวาทและอาจถึงขั้นไล่ออกอีกด้วย นั่นแหละ ความรู้สึกทั้งหมดนั้นผุดขึ้นเหมือนคลื่นน้ำแล้วไหลไปปนๆ กับความรู้สึกมึนชาเหมือนโดนวางยาแปลกๆ คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้หล่อนปั่นป่วนทั่วช่องท้อง สุดท้ายก็ต้องอาเจียนออกมา
เงาอลวน - บทที่ 7 - รักษ์คำ
บทที่ 7
ฟ้าเริ่มสางรำไรพร้อมกับแสงไฟจากหน้ารถก็สาดเป็นลำยาวมาจรดกระท่อมป้อมยามของเขา ฤกษ์สุรัตน์ขับรถมาเองคนเดียว พยาบาลราศีก็ช่างตื่นเร็วดีเหลือเกิน คงได้ยินเสียงรถนั่นแหละ หล่อนถึงได้กระวีกระวาดออกมารับหน้า
"เมื่อคืนนี้เสียงคุณไม่ค่อยดีเลย ผมเป็นห่วงก็เลยต้องแวะมาดูให้สบายใจแต่เช้ามืด"
"ก็มึนๆ กับงงๆ นิดหน่อยค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างปกติดีค่ะ"
"หนาวจัง"
"ก็พระอาทิตย์โผล่แค่เสี้ยวเดียวเอง ดูหมอกสิ หนาเหมือนแป้งเสียขนาดนี้ คุณก็ช่างเสี่ยงนะคะ ขับขึ้นมาได้"
"คิดว่าจะมีอะไรยับยั้งผมได้หรือ"
เสียงร้อนเช่นนั้นแฝงเลศนัยเสน่หา ไม่เว้นแม้แต่ตาพราวระยับที่เปล่งแต่แสงกระหายในกาม พยาบาลราศีได้ยินและได้เห็นอย่างวาบหวามปลื้มปริ่ม หล่อนไม่ขัดข้องเลยตอนเจ้านายสุดที่รักประกบจูบแน่นแล้วเขยื้อนขยี้ดูดดื่ม ไม่เพียงไม่ขัดข้องนะ หล่อนยังสนองตอบอย่างเต็มใจและอย่างปรารถนาไม่แพ้กันอีกด้วย
ชมทองบอกตัวเองว่าช่างโชคดีเหลือหลายที่ออกมาเดินเตร็ดเตร่แก้หนาวแถวร่องสวนดอกไม้ ทำให้มีโอกาสได้ชมฉากรักวาบหวิวกลางมวลหมอกในยามที่พระอาทิตย์โผล่แค่เสี้ยวเดียวเองตามที่พยาบาลไร้จรรยาบรรณฉอเลาะไปเมื่อครู่นี้
น่าสมเพชแท้ สองคนช่างกล้านัก เสนอสนองจูบเร่าร้อนเมามัน ตัวก็กอดกันกลมดิก ฝ่ามือสองคู่พาซุกซนเฟ้นฟอนทั่วลำตัวของกันและกันด้วยจังหวะกระหายจัด ไม่อายฟ้าอายดินกันเสียบ้าง เอ๊ะ หรือว่าจริงๆ แล้วก็ไม่มีความรู้สึกนี้อยู่ก่อน
สงสารพิมพ์เช้ายิ่ง ถ้าเพียงแต่เธอจะนอนพิการไร้ความรู้สึกตามที่ทุกคนเข้าใจ เขาก็คงไม่สงสารเท่าไหร่หรอก แต่ก็เปล่านี่ เธอรู้สึกตัวแล้ว สื่อสารได้ทุกอย่างเหมือนคนปกติ หนำซ้ำ แนวโน้มที่เธอจะหวนคืนสู่พิมพ์เช้าคนเดิมก็มีสูงอีกด้วย
เขานี่แหละจะช่วยเธอ จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้านายสาวผู้อาภัพคนนั้นลุกจากเตียงได้อีกครั้ง เดินเหินเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องอาศัยเก้าอี้รถเข็นตัวนั้นอีก แล้วหลังจากนั้น เธออยากทำอะไร เขาก็พร้อมจะร่วมด้วยช่วยลุยแบบไม่เกี่ยงไม่ค้าน
เหตุผลน่ะหรือ ง่ายจะตาย ก็ฉากพิศวาสวาบหวิวกลางมวลหมอกนั่นยังไง นานตั้งห้านาทีแล้ว ยังจูบดูดดื่มกันไม่เลิก ฝ่ายชายรุกหนักถึงขั้นล้ำมือซุกซนกันใต้ร่มผ้าแล้ว แม่ฝ่ายหญิงก็ช่างไม่รักนวลสงวนตัว แอ่นอกกระดกก้นให้เชยชมกันแบบถึงอกถึงใจ ยั่วยุอารมณ์ให้เดือดระอุกันอีกเล็กน้อยด้วยเสียงครางแหบพร่าเป็นช่วงๆ
"ไปต่อข้างในดีไหม ผมมีเวลาสองสามชั่วโมง วันนี้มีนัดกับพ่อเลี้ยงชุเกต" ฤกษ์สุรัตน์เสนอเสียงกระเส่าขณะลากจูบเชยชมลำคอระหงของคุณพยาบาลคู่ขา
"เจ้าของที่ดินที่.. "
"ใช่ เจ้าของที่ดินที่ผมเล็งไว้นั่นแหละ"
"ยังไม่ยอมขายหรือคะ"
"ใครว่า" ฤกษ์สุรัตน์เว้นจังหวะเฟ้นฟอนเพื่อยกใบหน้าขึ้น เขายิ้มกว้างเย้ยหยันไปยังเจ้าของชื่อ "วันนี้นัดเซ็นสัญญาซื้อขายกันเลยเชียวละ"
"อุ๊ย แบบนี้ก็สมใจแย่สิคะ" พยาบาลราศีอุทานลิงโลดเอาใจกันใหญ่
"ก็แน่อยู่แล้ว ผมถึงขึ้นมาแบ่งปันความสมใจกับคุณนี่ไง ไป เข้าข้างในกันเถอะ ขอแวะดูหน้าคุณพิมพ์สักแป๊บด้วย"
หนุ่มยามค่อยเคลื่อนตัวห่างที่ซ่อนพลางส่ายหน้าสะทกสะท้อน สามีใช้คำว่าดูหน้าแทนคำว่าเยี่ยมหรือคำว่าดูอาการหรอกหรือ ฟังแล้วรู้สึกแย่เป็นบ้า เหมือนว่าเจ้าตัวประสงค์เยาะเย้ยให้สะใจเสียมากกว่า
แล้วเขาก็ไม่เชื่อด้วยนะว่าเจ้านายหนุ่มจะแวะแป๊บเดียว ทายล่วงหน้าได้เลยว่าเจ้าตัวต้องซ้ำเติมเย้ยหยันเจ้านายสาวผู้น่าสงสารของเขาด้วยบทพลอดพิศวาสแหงๆ แล้วพิมพ์เช้าก็ต้องประทับภาพเชือดเฉือนหัวใจภรรยาเช่นนั้นอย่างอดทนอดกลั้น ดูสิ แค่นึกภาพอยู่ตรงนี้ หัวใจเขาก็แสนเวทนากับเจ็บร้าวแทนเธออย่างบอกไม่ถูกแล้ว
"คืนนี้ผมต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมสามีคนหนึ่งต้องรังแกภรรยาคนหนึ่งให้ตกอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายอย่างนั้น แล้วถ้าทำร้ายกันถึงขนาดนั้นได้ ก็ไม่สู้ฆ่าให้ตายแล้วสาปแช่งให้ตกนรกห้ามผุดห้ามเกิดไปเลยเสียยังดีกว่า"
เขางึมงำความตั้งใจตนขณะก้าวเนิบไปตามร่องสวนดอกไม้ อากาศหนาวจับขั้วหัวใจ เสื้อแจ๊กเก็ตตัวใหญ่โคร่งและเนื้อหนามากก็แทบจะทานไม่ไหว ทั้งที่ข้างในก็สวมเสื้อกั๊กไหมพรมอีกชั้นแล้วนะ อ้อ โน่นแน่ะ นายแสเยี่ยมหน้าออกจากครัวมาพอดี กาแฟสองถ้วยในมือคงสำหรับตัวเองและเผื่อแผ่มายังเขาด้วยแน่ๆ
ใช่ว่าอยากทำร้ายหรือต้องการให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ที่เขาต้องการเพียงการแก้แค้นเพื่อชดเชยชีวิตทุกช่วงเวลาที่ตกระกำลำบากแสนสาหัสมาอย่างยาวนานเท่านั้น
พยาบาลราศีลอบสังเกตสายตาอ่อนโยนลงวูบหนึ่งของฤกษ์สุรัตน์ด้วยใจไม่สบายนัก เขายืนยันหนักแน่นเสมอว่าไม่เคยรักพิมพ์เช้าฉันชู้สาว และไม่มีวันรักบุตรสาวของศัตรูเป็นอันขาด แต่แววอ่อนโยนที่เห็นก็ไม่วายก่อความระแวงลึกขึ้น
"กว่าเธอจะตายคงอีกหลายสิบปี ทรมานน่าดู" เขาปรารภ
"ไม่หรอกค่ะ เธอจะอยู่หรือตายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณต่างหาก" หล่อนแย้ง
"ผมไม่ต้องการให้เธอตายหรอก เพราะเธอคือเครื่องทรมานชั้นดีที่ผมจะเก็บไว้ใช้กับพ่อของเธอ"
ฤกษ์สุรัตน์ยักไหล่พร้อมเบะปากนิดๆ แม้สายตาอาจดูอ่อนโยนลง แต่ไฟพยาบาทในห้วงใจแค้นก็ไม่เคยสร่างมอด ก็แน่ละ เขาอดทนและเข้มแข็งกับโชคชะตาอุบาทว์บัดซบมาตั้งเท่าไหร่ ชีวิตในวัยเยาว์ยิ่งเสียกว่าตกนรกขุมลึกสุดลึกเสียด้วยซ้ำ
เขาต้องสูญเสียมารดาในอาคารที่ไฟกำลังลุกท่วม ท่านวิ่งออกมาได้แล้ว แต่ประตูบานนั้นร่วงลงมาขวางกั้น ไฟมันร้อนนี่ เขาเข้าใจว่าท่านพยายามเอาตัวให้รอดจากพระเพลิงอย่างเต็มกำลังแล้ว ทว่า เขากลับเห็นท่านถูกครอกต่อหน้าต่อตา
"ช่วยแม่ผมสิครับ ช่วยแม่ผมด้วย คุณท่าน บอกพวกเขาช่วยแม่ผมด้วย อย่าเพิ่งให้กลับ"
"ฉันไม่ใช่เทวดานะ จะได้ต่อรองกับพญามัจจุราชได้ แม่แกน่ะถึงที่ตายแล้วละไอ้หนู ไม่มีใครช่วยได้หรอก"
"ผมจะลองเข้าไปช่วย พอจะมีทางอยู่บ้าง ให้พนักงานดับเพลิงช่วยฉีดน้ำตรงทางเข้าให้หน่อย ผมฝ่าไปเอง"
นั่นคือเสียงอาสาแข็งขันอย่างมีน้ำใจของ 'ผู้จัดการวีระ' แต่เจ้านายเลือดเย็นไร้น้ำใจอย่างคุณบวรมั่นในวันวานกลับปฏิเสธเสียงกระด้างปนเดือด หนำซ้ำยังติเตียนผู้จัดการโรงงานผู้มีน้ำใจงามเสียอีกว่า
"อยากเป็นพระเอกหรือ ฉันไม่ยอมเสียคนทำงานเก่งๆ อย่างเธอไปแลกกับแม่บ้านกระจอกๆ คนหนึ่งหรอกนะ"
"แม่ผมนะ" เขาในวันนั้นตะคอกคับแค้นกลั้วน้ำตานอง
"เออ แม่แกแล้วทำไม ต่อให้ช่วยออกมาได้ แล้วยังไง นึกหรือว่าแม่แกจะรอด เผลอๆ จะมาเป็นภาระให้ฉันต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชย ค่าสวัสดิการเลี้ยงดูปูเสื่อไปสักพักใหญ่ๆ อีก เงินทั้งนั้น ฉันเป็นนักธุรกิจนะ ไม่ใช่พ่อพระ"
ตอนสามขวบ เขาต้องกำพร้าบิดากรรมกรก่อสร้าง ท่านพลัดตกจากนั่งร้านชั้นหกและเสียชีวิตทันทีเมื่อถึงพื้นข้างล่าง มารดาหม้ายต้องกัดฟันเลี้ยงดูเขากับน้องสาวน้องชายฝาแฝดอย่างมานะบากบั่น
ท่านเคยยอมแม้แต่จะไปนั่งขอทานอย่างคนจนตรอก เพื่อหาเงินในภาวะเร่งด่วนไปซื้อยาแก้ไข้มาให้น้องสาวตัวร้อนจัดวัยขวบนิดๆ กินประทังไปก่อน ทว่า แม่หนูน้อยบอบบางเกินกว่าจะทานทนพิษไข้ที่สูงแทบปรอทแตก ไม่ทันข้ามค่ำคืนนั้น เจ้าตัวก็จากไปอย่างสงบในอ้อมอกของพี่ชายคนนี้ ใต้ชายคาตึกร้างอันมืดมิด อับชื้น และท่ามกลางห่าฝนคลั่ง
ผ่านไปอีกหนึ่งปี น้องชายวัยห่างกันแค่สามชั่วโมงของน้องสาวฝาแฝดก็จำต้องพรากจากเพื่อชีวิตและอนาคตที่ดี สามีภรรยาฝรั่งขอไปเลี้ยงเพราะถูกชะตาตอนเจอกันที่โรงพยาบาล พ่อหนูน้อยเป็นไข้เลือดออก มารดาไม่มีเงินติดตัว ท่านต้องขายเลือดเพื่อให้ได้เงินจำนวนเล็กน้อย แล้วรีบพาคนดีไปรักษาก่อนจะสายเกินแก้ซ้ำรอย และนั่นแหละคือรอยแยกของโชคชะตา
"คุณฤกษ์ คุณฤกษ์คะ"
พยาบาลราศีสะกิดแขนเบาๆ อย่างเกรงใจ เขาเงียบไปนานทีเดียว หล่อนใจหมองลงพร้อมกับน้ำตาหยดนั้น มันร่วงลงจากเบ้าแดงก่ำ ภวังค์ที่เขาก่อเองคงสร้างความสะเทือนใจมาสู่อย่างยิ่งยวดเลยใช่ไหม ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เผยความอ่อนแอเพียงวูบออกมาให้เห็น
"ผมไม่เป็นไร" เขากระแอม กะพริบตาถี่ๆ หยดน้ำตาก็ร่วงพรูๆ
"นึกถึงความหลังหรือคะ"
"ใช่ ความหลังที่ผมไม่มีวันลืม ผมจะจำไว้จนกว่าจะถึงวันที่ได้เห็นศัตรูตายลงตรงหน้าและแทบเท้าของผมนี่"
เสียงที่เค้นออกมาจากใจอันพยาบาทลึกนั้น บางขณะฟังคล้ายคำราม บางขณะก็เครือดั่งคร่ำครวญ แต่ที่แน่ๆ ก็คือน้ำตาสะเทือนใจแห้งหายไม่เหลือสักหยดแล้ว และสายตาที่เลื่อนกลับไปดูสภาพภรรยาเคราะห์ร้ายนอนลืมตาโพลงปนทื่อบนเตียงนั้นก็ย้อนกลับมาล้นหลามด้วยแววสะใจดังเดิม แล้วพยาบาลคู่พิศวาสก็ชื่นชอบแววตาเลือดเย็นเช่นนั้นมากกว่า
"เมื่อคืนนี้เสียงคุณฟังดูแย่" สามีจอมอาฆาตของพิมพ์เช้าค่อยวกกลับมาถามข้อสงสัยเดิมหลังสิ้นความสนใจเหยื่อ
"อ้อ ฉันตกใจตื่นกลางดึกน่ะค่ะ มึนๆ นิดหน่อย ผะอืดผะอมปุบปับก็เลยเข้าไปอ้วกในห้องน้ำ คุณฤกษ์โทรเข้ามาตอนนั้นพอดีน่ะค่ะ"
"เป็นอะไร"
"ไม่เป็นอะไรค่ะ คงลุกขึ้นนั่งเร็วเกินไปตอนตกใจแล้วสะดุ้งตื่น"
"แต่เหตุการณ์ปกติดีใช่ไหมครับ"
เจ้านายกึ่งคู่พิศวาสถามเรื่อยๆ เขาเดินเข้าไปใกล้ร่างนอนนิ่งของเหยื่ออีกเล็กน้อย และไม่ได้สนใจคำตอบที่ตนก็ไม่ถึงกับใคร่รู้มากมาย ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะพยาบาลราศีก็ไม่อยากตอบอยู่พอดี
เมื่อคืนวาน หล่อนได้ยินเสียงใครก็ไม่ทราบร้อง 'ว้าย' แม้จะมั่นใจว่าผลุนผลันออกจากห้องน้ำเร็วมากถึงมากที่สุดก็ว่าได้ แต่ช่างแปลกแท้ที่หล่อนกลับไม่พบเห็นอะไรเลย นอกจากเหยือกน้ำหล่นจากโต๊ะเล็กหัวเตียง แตกกระจาย น้ำนองพื้น
หล่อนปรี่ไปประชิดหน้าเตียง สำรวจเหยื่อพิการจนแน่ใจว่าไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จึงรีบออกไปสำรวจข้างนอก เจอหนุ่มยามชมทองหาวหวอดอยู่ในกระท่อมป้อมยาม หล่อนไม่ได้ถามไถ่อะไร เพราะสรุปความเอาเองว่ายามยังไม่หลับ ถ้ามีเหตุไม่ปกติจริง เจ้าตัวก็คงเอะอะไปแล้ว
ทว่า เหตุผลที่หล่อนขออุบเรื่องนี้ไว้ไม่ยอมรายงานให้เจ้านายหนุ่มทราบในทันทีก่อน ก็เป็นเพราะความระแวงลึกๆ นั่นเอง หล่อนไม่เชื่อว่าตนตาฝาด ซ้ำยังมั่นใจด้วยว่าเตียงที่ไร้ร่างของพิมพ์เช้านอนนิ่งทื่อนั่นแหละคือต้นเหตุของอาการผะอืดผะอมหนักหน่วง
และเพราะตกใจว่าตนบกพร่องร้ายแรง เพราะพรั่นพรึงว่าถ้าฤกษ์สุรัตน์ทราบเรื่องเข้า เขาต้องเดือดดาลจัดพานตัดรักตัดสวาทและอาจถึงขั้นไล่ออกอีกด้วย นั่นแหละ ความรู้สึกทั้งหมดนั้นผุดขึ้นเหมือนคลื่นน้ำแล้วไหลไปปนๆ กับความรู้สึกมึนชาเหมือนโดนวางยาแปลกๆ คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้หล่อนปั่นป่วนทั่วช่องท้อง สุดท้ายก็ต้องอาเจียนออกมา