สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผม สมัยก่อนผมใช้แต่บัตรผ่าน Facebook เข้ามาตอบกระทู้บ้างเป็นครั้งคราว
ช่วงเดือนมกราคมผมและแฟนมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศมาครับ วันนี้เลยจะมารีวิวซักหน่อยครับ
ก่อนอื่น ผมขอเกริ่นนะครับว่าผมเป็น นศ. ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ผมเก็บตังกับแฟนคนล่ะ 1,000 ต่อเดือนโดยอดออมจากค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเช่น การกินหรู การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพื่อนำเงินเก็บเหล่านี้ออกมาท่องโลกกว้างกัน
ทริปนี้เราตั้งงบไว้ที่คนล่ะไม่เกิน 6,000 บาท สำหรับทั้ง ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าที่พัก ค่าตั๋ว ไป-กลับ กรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์ และ ตัวขาไปสำหรับ ขอนแก่น-กรุงเทพฯ ส่วนขากลับเนื่องจากหาตั๋วถูกๆไม่ได้เราจึงใช้นครชัยแอร์ครับ
ส่วนบทความผมกับแฟนได้เขียนลงในบล็อกส่วนตัวและขอนำมาลงในพันธิปเพื่อชวนเพื่อนๆออกมาท่องเที่ยวด้วยกันครับ
มาเริ่มกันเลย
ก่อนอื่น ขอสวัสดีปีใหม่ 2558 ทุกท่าน ขอให้มีความสุข ความเจริญ เฮงเฮงเฮง ตลอดปี นะคะ
เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปเที่ยว มาเลเซีย ครั้งนี้ ไม่ใช่การเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก แต่ก็เหมือนครั้งแรกที่ได้เที่ยวต่างประเทศ เอ๊ะ ยังไง คือ การได้นั่งเครื่องบินไปไกลๆ ต่างบ้านต่างเมืองอะไรหลายๆอย่างที่ต่างจากประเทศไทย ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ตอบเลยว่ามาก และก็เป็นครั้งแรกเลยที่จะได้สนทนาภาษาอังกฤษชีวิตประจำวันกับชาวต่างชาติ จากที่ได้ร่ำเรียนภาษาอังกฤษมาแต่เล็กแต่น้อยมาดูกันว่า เลเวลการสนทนาเอาตัวรอดจะเป็นยังไง ความรู้ที่มีมางัดมาใช้ได้หมดมั๊ย จะพูดแล้วเมื่อยมือขนาดไหนกัน
อย่าเกริ่นไว้มาก…..เริ่มเดินทางไปกับกระเหรี่ยงไทยสองคน ด้วยกันเลย อู๊ดๆ
ทริปนี้ต้องเริ่มด้วยการจองเที่ยวบินไปมาเลเซีย บอกเลยว่า เป็นการรอคอยการไปเที่ยวที่เนิ่นนานมาก โปร 0 บาท (เสียแค่ค่าภาษีสนามบิน คนละ2000บาทติดเศษนิดๆ) จาก air asia จองกันตั้งแต่ มิถุนายน57 กว่าจะได้บินจริงๆ มกราคม 58 ถือว่านานมาก

ได้ตั๋วบินแล้วระหว่างที่รอเวลาไป ก็เก็บเงินรอช็อปปิ้งเลยค่ะ ศึกษาเส้นทาง ข้อมูลประเทศมาเลเซีย จองโรงแรมที่พักผ่านexpedia ไว้ให้เรียบร้อย และเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมต่อการเดินทาง ที่ขาดไม่ได้คือ Passport!!
วันที่8 มกราคม 2558
ออกเดินทางจากท่าอากาศยานขอนแก่น 8.30น. FD 3251(V4NUJR) ถึง ท่าอากาศยานดอนเมือง 9.30 น.

แล้วก็เช็คอิน ต่อ ไปประเทศมาเลเซีย FD 313 (J8643C) เช็คอินด้วยตัวเอง มีบริการถ่ายรูปให้ฟรีด้วยนะจ้า
เช็คอินเสร็จแล้ว ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ เดินลงไปกิน Food court อยู่ในดอนเมือง

โดยเดินไปทางเชื่อมไประหว่างอาคาร พอเดินข้ามไปและจะเจอสำนักงานAir Asia เดินเข้าไปอีกเรื่อยๆๆ จะเจอลานกว้างๆให้ เลี้ยวขวา แล้วกดลิต์ฟลงไปชั้นล่างสุด

จะเจอมินิมาร์ทให้เลี้ยวขาว เดินไปอีกนิดหน่อย ก็ถึง Food court สีส้มๆ

ข้าวขาหมูมา อร่อย ราคาถูก อิ่มท้องไปหนึ่งมื้อ
เอาล่ะได้เวลาต้องเข้าGATE จัดแจงเอกสารเขียนนู่นนี่นิดหน่อยตามธรรมเนียมไทย แล้วก็ผ่าน ตม. มีติดขัดนิดหน่อยเรื่อง ของเหลว เจ้าหน้าที่บอกว่า ของเหลวเกิน200ml ต้องทิ้งของเหลวนะ เราก็เสียดายของเหลวที่แบกไป ยืนทำใจสักพักเล็กๆกว่าจะทิ้งมันไปเพราะยังเต็มขวดอยู่เลย แต่ก็ต้องตัดใจไปซื้อเอาข้างหน้าก็ได้ ตามไปอ่านความรู้เกี่ยวกับมาตรการจำกัดปริมาณของเหลว คลิก ได้เลยจ้า
เดินมาอีกนิดก็เจอ king power duty free เดินเล่นสักหน่อย มีให้ชิมก็ชิม (ติดใจทองม้วนรสชีส) มีให้ลองก็ลอง ฮ่าๆ ไม่ได้ของอะไรเลยเพราะของแพงมากจ้า นี่ขนาดปลอดภาษีแล้วนะ ยังแพง
ระหว่างรอ ขึ้นเครื่อง เห็นป้าย อิ่มกับทรู เลยวิ่งใส่ค่ะ เช็คสิทธิแลกซื้อทันที true black card ของฟรีกินไว้ก่อนของบนเครื่องแพง!

ตุนใส่ท้องเข้าไว้ ได้มา2 set ก็ได้นั่งกินไป

ดูเครื่องบินขึ้น-ลง ชิลๆ
ได้เวลาขึ้นเครื่อง เที่ยวบิน12.00น ตามเวลาประเทศไทย

จะนำเราสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่2 KLIA2 เวลาประมาณ 15.10น ตามเวลาที่มาเลเซีย (เวลาที่ประเทศมาเลเซีย เร็วกว่าไทย1ชั่วโมง สรุปแล้วเราจะอยู่บนฟ้า เพียง2ชั่วโมงเท่านั้นจ้า)

ก่อนจะlanding มีพายุเข้า สภาพอาการย่ำแย่ เมฆหนา ยากต่อการlanding เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน เครื่องบินสั่นไปมา แต่ก็ถึงพื้นดินได้ปลอดภัยนะ
มองจากเข้าบนจะเห็นต้นปาล์มเยอะมากๆๆ

ถึงแล้ว มาเลเซีย

ถึงแล้วจริงๆ มาเลเซียมีพายุเข้า ฝนตกหนัก ฟ้าแลบ จนฝรั่งหัวทองพูดประชด ออกมาว่า ‘beautiful weather’
จริงๆแล้วภูมิอากาศของประเทศมาเลเซีย นี่ จะคล้ายๆภาคใต้ของไทย จะร้อนมาก อุณหภูมิอยู่ประมาณ 30 องศาอัพ และก็ฝนตกตลอดทั้งปี
ลงจากเครื่องแล้วก็จะเจอภาษาที่ใช้ในมาเลเซีย

แปลไทยว่า ทางออก
จาก gate ไปยัง ตม. ก่อนที่จะ ถึงตม. นั้น มีเรื่องแปลกใจ คือ ก่อนจะถึง ด่าน ตม.นั้น มี กลุ่มคนที่ถูกจับลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฏหมายนั่งรวมตัวอยู่ก่อนถึงด่าน และก็จะมีตำรวจยืนคุมอยู่ กระเหรี่ยงไทยสองคนกำpassport แน่นมือเลยกว่าหาย กลัวไม่ได้เข้ามาเลเซีย ฮ่าๆๆๆ อันนี้ไม่กล้าถ่ายรูป กลัวค่ะ เพราะ กฏหมายที่มาเลเซียแรงมาก กลัวทำไม่ถูก กลัวถูกส่งกลับไทย
สนามบินที่นี่ดีค่ะ มีfree wifi แค่login ผ่าน facebook ก็ใช้งานได้ ตอนนี้ก็ยังพอติดต่อกับโลกโซเชียลได้บ้าง
จากนั้น หนทางจะเข้าไปกัวลาลัมเปอร์ได้มี 3ทางให้เลือก คือ รถไฟฟ้าความเร็วสูง แท็กซี่ และ รสบัส เรียงลำดับราคา และความเร็ว เลยค่ะ
ครั้งนี้เลือกใช้รถบัส ใช้เวลา 40นาที ได้ดูเมืองชมวิวไปในตัว ราคาตั๋วอยู่ที่ 10ริงกิตต่อคน (ประมาณ100 บาท)

รถบัสจะจอดให้ลงที่ KL sentarl ใจกลางเมือง กัวลาลัมเปอร์ คนเยอะมากๆๆ คนเดินชนไหล่เบียดกันเป็นเรื่องธรรมดา จะเห็นได้ว่า มีผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ ส่วนใหญ่ที่แยกได้เด่นๆจะเป็นคนจีน แขก และก็ทมิฬ KL sentarl จะเป็นห้างใหญ่ๆ และก็ ท่ารถไฟฟ้า หมายความว่า รถไฟฟ้าทุกสายจะผ่านที่นี่คนที่ใช้บริการก็สามารถเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าได้ เทียบแล้วก็คล้ายๆ siam บ้านเราแต่ดีกว่ามาก ขอยืนยันว่า ดีมากๆๆ

ถึงแล้ว KL sentarl ก็ทำการหาร้านโทรศัพท์เพื่อซื้อซิม สำหรับนักท่องเที่ยวเอาไว้โทรศัพท์ เล่นinternet ไว้ติดต่อโลกโซเชียล อันนี้ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือปล่าวว่าแพง(30บาทเล่นได้150mb ) จัดการกับซิมเสร็จ ก็มุ่งหน้าสู่ตึกแฝดเลยจ้า
ถึงแล้ว Twin tower สวยสมคำล่ำลือ มาถึงมาเลเซียแล้วต้องมาถ่ายรูปคู่กับแตกแฝดให้ได้นะ กระเหรี่ยงไทยนี่ก็ยืนแอ็คท่าได้สักพักใหญ่

บรรยากาศรอบๆ ตึกแฝด

หัวหน้าทัวร์อู๊ดๆ ก็ขอถ่ายรูปบ้าง

ลูกทัวร์อู๊ดๆ ก็ขอบ้างสิ อิอิ

Suria KLCC
ท้องเริ่มร้อง ก็เริ่มหา food court
และแล้วเหตุการณ์ ก็เกิดขึ้นกับกระเหรี่ยงไทยสองคน
กระเหรี่ยง : What’s this? (ชี้แกงต่างๆในตู้)
พ่อค้าบัง : curry chicken , fish , beef (ก็ไล่เมนูยาวๆ)
กระเหรี่ยงไทยก็ฟังไม่ทันสิ พูดเร็วและก็สำเนียงแปลกๆ แม้บัดนิจะเอาไรดีวะ ก็ชี้ๆ
กระเหรี่ยง : What’s this? (แกงอันนี้น่ากินสุดๆ)
พ่อค้าบัง : Lamb
กระเหรี่ยง : (มองหน้ากัน) อะไรวะ Lamb
กระเหรี่ยง : What’s this? (ยังชี้แกงเดิม)
พ่อค้าบัง : Lamb
กระเหรี่ยง : What’s this? (ยังชี้แกงเดิมอีก)
พ่อค้าบัง : Lamb! Lamb! ! Lamb!! ! Lamb! !!! (เริ่มขึ้นเสียงขึ้นไปเรื่อยๆ ถือทัพพีเท้าสะเอว อารมณ์แบบว่าจะเอามั้ย จะกินมั้ย ถามอยู่นั่นแหละ พูดกี่ครั้งแล้วไม่ได้ยินหรอ)
กระเหรี่ยง : (พ่อค้าขึ้นเสียงแล้วสั่งๆไปเถอะ) Oh lamb (ทำหน้าเข้าใจที่แบบว่าไม่เข้า) OK , this (ชี้)lamb
จากนั้นได้อาหารแล้วก็มานั่งเปิด ดิกแปล lamb นี่อะไร สุดท้ายคือ เนื้อแกะ หื้มมมม….เนื้อแกะ โอ้ยยยย ไม่เคยกิน อยู่ไทยไม่เคยกิน มานี่สั่งแล้วก็ต้องกิน!! T^T

จากการสุ่มแล้วได้ แกงกระหรี่เนื้อแกะ + เนื้อวัว +ข้าวผัด เครื่องเทศมาเต็ม ไม่อยากจะคิดถึงตอนเลอ
ผลลัพท์ของเนื้อแกะคืออร่อยติดใจอยากกินอีก ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยู่เมืองไทยแพง อยู่นี่ถูกกินให้คุ้มๆ
ชาชัก กรรมวิธีชงเหมือนบ้านเรา

รสชาติจืดมากๆ
อีกเครื่องดื่มที่ทำให้เราต้องค้นหาคำตอบ คือ 100plus (ฮันเรตพลัส) ไม่รู้ว่า น้ำรสอะไร

ขอบอกว่า ต้องกินคู่กับข้าว+แกงกระหรี่ต่างๆ ถ้าใครคิดจะไปมาเลเซียต้องลอง จ้า
ท้องอิ่มได้เวลาเดินย่อยใน Suria KLCC สักหน่อย ตื่นตาตื่นใจกับการแสดงน้ำพุ ของ Suria KLCC Park สวยมากๆๆ นั่งชมสักพักก็ต้องกลับที่พักเพราะ รถไฟฟ้าหมด 23.00 เกือบไปไม่ทันรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้าย กระเหรี่ยงไทยเกือบตกรถไฟฟ้า มัวแต่ลั้ลลากับตู้กดน้ำอัดลม

รสชาติคล้ายๆ น้ำสไปร์
นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีPWTC เดินไปอีก 500ก็จะถึง โรงแรม kita hotel ที่จองผ่าน expedia ไว้ เช็คอินเสร็จ ทำธุระส่วนตัวและเข้านอนเก็บแรง ชาร์ตแบตไว้ลุยวันต่อ
เดี๋ยวจะมีเรื่องตลกของกระเหรี่ยงไทยกับโรงแรมนี้ให้อ่านกันในตอนต่อไปนะจ๊ะ
หมดทริปของวันนี้แล้ว………. อู๊ดๆ
ปล.ข้อดี ข้อแตกต่างจากเมืองไทย ::
1.ยืนต่อคิวแลกเหรียญขึ้นรถไฟ คนต่อแถวยืนรอจะรีบแค่ไหน ก็จะไม่แซงคิวเด็ดขาด!

2.ตู้แลกเหรียญจะรับแบงค์ รับเหรียญ และมีการทอนเงิน สะดวกมากๆ ไม่ต้องเสียเวลาแลกเหรียญให้วุ่นวาย และมีจุดบริการไว้หลายตู้มากๆ

3.รถไฟฟ้าที่นี่จะตรงเวลามาก จะมีป้ายบอกว่าอีกกี่นาทีรถไฟฟ้าจะถึงชานชลา รถไฟฟ้าจะถึงชานชลาตามที่ป้ายบอกเป๊ะๆ

4.บันไดเลื่อนในสถานีรถไฟฟ้า ทุกคนจะยืนชิดซ้ายเป็นแถว จะเว้นช่องว่างไว้ด้านขวา ให้คนรีบๆได้เดินขึ้นไปถึงก่อน และจะเป็นอย่างนี้ทุกสถานี (ลองยืนด้านขวามาแล้ว โดนมองหน้าจ้า แหะๆ)
5.มีน้ำตู้หยอดเหรียญแช่เย็น (น้ำอัดลม,เก๊กฮวย,ชาเขียว บลาๆ) ราคาถูกกว่าที่อื่นๆ กระป๋องละ 1ริงกิต (ประมาณ 10บาท)
เดี๋ยวมาต่อนะครับ.
เที่ยว ขอนแก่น - มาเลเซีย 4วัน3คืน ด้วยงบ 5,400 บาท สไตล์เด็กบ้านนอก ตอนที่ 1
ช่วงเดือนมกราคมผมและแฟนมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศมาครับ วันนี้เลยจะมารีวิวซักหน่อยครับ
ก่อนอื่น ผมขอเกริ่นนะครับว่าผมเป็น นศ. ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ผมเก็บตังกับแฟนคนล่ะ 1,000 ต่อเดือนโดยอดออมจากค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเช่น การกินหรู การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพื่อนำเงินเก็บเหล่านี้ออกมาท่องโลกกว้างกัน
ทริปนี้เราตั้งงบไว้ที่คนล่ะไม่เกิน 6,000 บาท สำหรับทั้ง ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าที่พัก ค่าตั๋ว ไป-กลับ กรุงเทพฯ-กัวลาลัมเปอร์ และ ตัวขาไปสำหรับ ขอนแก่น-กรุงเทพฯ ส่วนขากลับเนื่องจากหาตั๋วถูกๆไม่ได้เราจึงใช้นครชัยแอร์ครับ
ส่วนบทความผมกับแฟนได้เขียนลงในบล็อกส่วนตัวและขอนำมาลงในพันธิปเพื่อชวนเพื่อนๆออกมาท่องเที่ยวด้วยกันครับ
มาเริ่มกันเลย
ก่อนอื่น ขอสวัสดีปีใหม่ 2558 ทุกท่าน ขอให้มีความสุข ความเจริญ เฮงเฮงเฮง ตลอดปี นะคะ
เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปเที่ยว มาเลเซีย ครั้งนี้ ไม่ใช่การเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก แต่ก็เหมือนครั้งแรกที่ได้เที่ยวต่างประเทศ เอ๊ะ ยังไง คือ การได้นั่งเครื่องบินไปไกลๆ ต่างบ้านต่างเมืองอะไรหลายๆอย่างที่ต่างจากประเทศไทย ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ตอบเลยว่ามาก และก็เป็นครั้งแรกเลยที่จะได้สนทนาภาษาอังกฤษชีวิตประจำวันกับชาวต่างชาติ จากที่ได้ร่ำเรียนภาษาอังกฤษมาแต่เล็กแต่น้อยมาดูกันว่า เลเวลการสนทนาเอาตัวรอดจะเป็นยังไง ความรู้ที่มีมางัดมาใช้ได้หมดมั๊ย จะพูดแล้วเมื่อยมือขนาดไหนกัน
อย่าเกริ่นไว้มาก…..เริ่มเดินทางไปกับกระเหรี่ยงไทยสองคน ด้วยกันเลย อู๊ดๆ
ทริปนี้ต้องเริ่มด้วยการจองเที่ยวบินไปมาเลเซีย บอกเลยว่า เป็นการรอคอยการไปเที่ยวที่เนิ่นนานมาก โปร 0 บาท (เสียแค่ค่าภาษีสนามบิน คนละ2000บาทติดเศษนิดๆ) จาก air asia จองกันตั้งแต่ มิถุนายน57 กว่าจะได้บินจริงๆ มกราคม 58 ถือว่านานมาก
ได้ตั๋วบินแล้วระหว่างที่รอเวลาไป ก็เก็บเงินรอช็อปปิ้งเลยค่ะ ศึกษาเส้นทาง ข้อมูลประเทศมาเลเซีย จองโรงแรมที่พักผ่านexpedia ไว้ให้เรียบร้อย และเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมต่อการเดินทาง ที่ขาดไม่ได้คือ Passport!!
วันที่8 มกราคม 2558
ออกเดินทางจากท่าอากาศยานขอนแก่น 8.30น. FD 3251(V4NUJR) ถึง ท่าอากาศยานดอนเมือง 9.30 น.
แล้วก็เช็คอิน ต่อ ไปประเทศมาเลเซีย FD 313 (J8643C) เช็คอินด้วยตัวเอง มีบริการถ่ายรูปให้ฟรีด้วยนะจ้า
เช็คอินเสร็จแล้ว ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ เดินลงไปกิน Food court อยู่ในดอนเมือง
โดยเดินไปทางเชื่อมไประหว่างอาคาร พอเดินข้ามไปและจะเจอสำนักงานAir Asia เดินเข้าไปอีกเรื่อยๆๆ จะเจอลานกว้างๆให้ เลี้ยวขวา แล้วกดลิต์ฟลงไปชั้นล่างสุด
จะเจอมินิมาร์ทให้เลี้ยวขาว เดินไปอีกนิดหน่อย ก็ถึง Food court สีส้มๆ
ข้าวขาหมูมา อร่อย ราคาถูก อิ่มท้องไปหนึ่งมื้อ
เอาล่ะได้เวลาต้องเข้าGATE จัดแจงเอกสารเขียนนู่นนี่นิดหน่อยตามธรรมเนียมไทย แล้วก็ผ่าน ตม. มีติดขัดนิดหน่อยเรื่อง ของเหลว เจ้าหน้าที่บอกว่า ของเหลวเกิน200ml ต้องทิ้งของเหลวนะ เราก็เสียดายของเหลวที่แบกไป ยืนทำใจสักพักเล็กๆกว่าจะทิ้งมันไปเพราะยังเต็มขวดอยู่เลย แต่ก็ต้องตัดใจไปซื้อเอาข้างหน้าก็ได้ ตามไปอ่านความรู้เกี่ยวกับมาตรการจำกัดปริมาณของเหลว คลิก ได้เลยจ้า
เดินมาอีกนิดก็เจอ king power duty free เดินเล่นสักหน่อย มีให้ชิมก็ชิม (ติดใจทองม้วนรสชีส) มีให้ลองก็ลอง ฮ่าๆ ไม่ได้ของอะไรเลยเพราะของแพงมากจ้า นี่ขนาดปลอดภาษีแล้วนะ ยังแพง
ระหว่างรอ ขึ้นเครื่อง เห็นป้าย อิ่มกับทรู เลยวิ่งใส่ค่ะ เช็คสิทธิแลกซื้อทันที true black card ของฟรีกินไว้ก่อนของบนเครื่องแพง!
ตุนใส่ท้องเข้าไว้ ได้มา2 set ก็ได้นั่งกินไป
ดูเครื่องบินขึ้น-ลง ชิลๆ
ได้เวลาขึ้นเครื่อง เที่ยวบิน12.00น ตามเวลาประเทศไทย
จะนำเราสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่2 KLIA2 เวลาประมาณ 15.10น ตามเวลาที่มาเลเซีย (เวลาที่ประเทศมาเลเซีย เร็วกว่าไทย1ชั่วโมง สรุปแล้วเราจะอยู่บนฟ้า เพียง2ชั่วโมงเท่านั้นจ้า)
ก่อนจะlanding มีพายุเข้า สภาพอาการย่ำแย่ เมฆหนา ยากต่อการlanding เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน เครื่องบินสั่นไปมา แต่ก็ถึงพื้นดินได้ปลอดภัยนะ
มองจากเข้าบนจะเห็นต้นปาล์มเยอะมากๆๆ
ถึงแล้ว มาเลเซีย
ถึงแล้วจริงๆ มาเลเซียมีพายุเข้า ฝนตกหนัก ฟ้าแลบ จนฝรั่งหัวทองพูดประชด ออกมาว่า ‘beautiful weather’
จริงๆแล้วภูมิอากาศของประเทศมาเลเซีย นี่ จะคล้ายๆภาคใต้ของไทย จะร้อนมาก อุณหภูมิอยู่ประมาณ 30 องศาอัพ และก็ฝนตกตลอดทั้งปี
ลงจากเครื่องแล้วก็จะเจอภาษาที่ใช้ในมาเลเซีย
แปลไทยว่า ทางออก
จาก gate ไปยัง ตม. ก่อนที่จะ ถึงตม. นั้น มีเรื่องแปลกใจ คือ ก่อนจะถึง ด่าน ตม.นั้น มี กลุ่มคนที่ถูกจับลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฏหมายนั่งรวมตัวอยู่ก่อนถึงด่าน และก็จะมีตำรวจยืนคุมอยู่ กระเหรี่ยงไทยสองคนกำpassport แน่นมือเลยกว่าหาย กลัวไม่ได้เข้ามาเลเซีย ฮ่าๆๆๆ อันนี้ไม่กล้าถ่ายรูป กลัวค่ะ เพราะ กฏหมายที่มาเลเซียแรงมาก กลัวทำไม่ถูก กลัวถูกส่งกลับไทย
สนามบินที่นี่ดีค่ะ มีfree wifi แค่login ผ่าน facebook ก็ใช้งานได้ ตอนนี้ก็ยังพอติดต่อกับโลกโซเชียลได้บ้าง
จากนั้น หนทางจะเข้าไปกัวลาลัมเปอร์ได้มี 3ทางให้เลือก คือ รถไฟฟ้าความเร็วสูง แท็กซี่ และ รสบัส เรียงลำดับราคา และความเร็ว เลยค่ะ
ครั้งนี้เลือกใช้รถบัส ใช้เวลา 40นาที ได้ดูเมืองชมวิวไปในตัว ราคาตั๋วอยู่ที่ 10ริงกิตต่อคน (ประมาณ100 บาท)
รถบัสจะจอดให้ลงที่ KL sentarl ใจกลางเมือง กัวลาลัมเปอร์ คนเยอะมากๆๆ คนเดินชนไหล่เบียดกันเป็นเรื่องธรรมดา จะเห็นได้ว่า มีผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติ ส่วนใหญ่ที่แยกได้เด่นๆจะเป็นคนจีน แขก และก็ทมิฬ KL sentarl จะเป็นห้างใหญ่ๆ และก็ ท่ารถไฟฟ้า หมายความว่า รถไฟฟ้าทุกสายจะผ่านที่นี่คนที่ใช้บริการก็สามารถเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าได้ เทียบแล้วก็คล้ายๆ siam บ้านเราแต่ดีกว่ามาก ขอยืนยันว่า ดีมากๆๆ
ถึงแล้ว KL sentarl ก็ทำการหาร้านโทรศัพท์เพื่อซื้อซิม สำหรับนักท่องเที่ยวเอาไว้โทรศัพท์ เล่นinternet ไว้ติดต่อโลกโซเชียล อันนี้ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือปล่าวว่าแพง(30บาทเล่นได้150mb ) จัดการกับซิมเสร็จ ก็มุ่งหน้าสู่ตึกแฝดเลยจ้า
ถึงแล้ว Twin tower สวยสมคำล่ำลือ มาถึงมาเลเซียแล้วต้องมาถ่ายรูปคู่กับแตกแฝดให้ได้นะ กระเหรี่ยงไทยนี่ก็ยืนแอ็คท่าได้สักพักใหญ่
บรรยากาศรอบๆ ตึกแฝด
หัวหน้าทัวร์อู๊ดๆ ก็ขอถ่ายรูปบ้าง
ลูกทัวร์อู๊ดๆ ก็ขอบ้างสิ อิอิ
Suria KLCC
ท้องเริ่มร้อง ก็เริ่มหา food court
และแล้วเหตุการณ์ ก็เกิดขึ้นกับกระเหรี่ยงไทยสองคน
กระเหรี่ยง : What’s this? (ชี้แกงต่างๆในตู้)
พ่อค้าบัง : curry chicken , fish , beef (ก็ไล่เมนูยาวๆ)
กระเหรี่ยงไทยก็ฟังไม่ทันสิ พูดเร็วและก็สำเนียงแปลกๆ แม้บัดนิจะเอาไรดีวะ ก็ชี้ๆ
กระเหรี่ยง : What’s this? (แกงอันนี้น่ากินสุดๆ)
พ่อค้าบัง : Lamb
กระเหรี่ยง : (มองหน้ากัน) อะไรวะ Lamb
กระเหรี่ยง : What’s this? (ยังชี้แกงเดิม)
พ่อค้าบัง : Lamb
กระเหรี่ยง : What’s this? (ยังชี้แกงเดิมอีก)
พ่อค้าบัง : Lamb! Lamb! ! Lamb!! ! Lamb! !!! (เริ่มขึ้นเสียงขึ้นไปเรื่อยๆ ถือทัพพีเท้าสะเอว อารมณ์แบบว่าจะเอามั้ย จะกินมั้ย ถามอยู่นั่นแหละ พูดกี่ครั้งแล้วไม่ได้ยินหรอ)
กระเหรี่ยง : (พ่อค้าขึ้นเสียงแล้วสั่งๆไปเถอะ) Oh lamb (ทำหน้าเข้าใจที่แบบว่าไม่เข้า) OK , this (ชี้)lamb
จากนั้นได้อาหารแล้วก็มานั่งเปิด ดิกแปล lamb นี่อะไร สุดท้ายคือ เนื้อแกะ หื้มมมม….เนื้อแกะ โอ้ยยยย ไม่เคยกิน อยู่ไทยไม่เคยกิน มานี่สั่งแล้วก็ต้องกิน!! T^T
จากการสุ่มแล้วได้ แกงกระหรี่เนื้อแกะ + เนื้อวัว +ข้าวผัด เครื่องเทศมาเต็ม ไม่อยากจะคิดถึงตอนเลอ
ผลลัพท์ของเนื้อแกะคืออร่อยติดใจอยากกินอีก ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยู่เมืองไทยแพง อยู่นี่ถูกกินให้คุ้มๆ
ชาชัก กรรมวิธีชงเหมือนบ้านเรา
รสชาติจืดมากๆ
อีกเครื่องดื่มที่ทำให้เราต้องค้นหาคำตอบ คือ 100plus (ฮันเรตพลัส) ไม่รู้ว่า น้ำรสอะไร
ขอบอกว่า ต้องกินคู่กับข้าว+แกงกระหรี่ต่างๆ ถ้าใครคิดจะไปมาเลเซียต้องลอง จ้า
ท้องอิ่มได้เวลาเดินย่อยใน Suria KLCC สักหน่อย ตื่นตาตื่นใจกับการแสดงน้ำพุ ของ Suria KLCC Park สวยมากๆๆ นั่งชมสักพักก็ต้องกลับที่พักเพราะ รถไฟฟ้าหมด 23.00 เกือบไปไม่ทันรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้าย กระเหรี่ยงไทยเกือบตกรถไฟฟ้า มัวแต่ลั้ลลากับตู้กดน้ำอัดลม
รสชาติคล้ายๆ น้ำสไปร์
นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีPWTC เดินไปอีก 500ก็จะถึง โรงแรม kita hotel ที่จองผ่าน expedia ไว้ เช็คอินเสร็จ ทำธุระส่วนตัวและเข้านอนเก็บแรง ชาร์ตแบตไว้ลุยวันต่อ
เดี๋ยวจะมีเรื่องตลกของกระเหรี่ยงไทยกับโรงแรมนี้ให้อ่านกันในตอนต่อไปนะจ๊ะ
หมดทริปของวันนี้แล้ว………. อู๊ดๆ
ปล.ข้อดี ข้อแตกต่างจากเมืองไทย ::
1.ยืนต่อคิวแลกเหรียญขึ้นรถไฟ คนต่อแถวยืนรอจะรีบแค่ไหน ก็จะไม่แซงคิวเด็ดขาด!
2.ตู้แลกเหรียญจะรับแบงค์ รับเหรียญ และมีการทอนเงิน สะดวกมากๆ ไม่ต้องเสียเวลาแลกเหรียญให้วุ่นวาย และมีจุดบริการไว้หลายตู้มากๆ
3.รถไฟฟ้าที่นี่จะตรงเวลามาก จะมีป้ายบอกว่าอีกกี่นาทีรถไฟฟ้าจะถึงชานชลา รถไฟฟ้าจะถึงชานชลาตามที่ป้ายบอกเป๊ะๆ
4.บันไดเลื่อนในสถานีรถไฟฟ้า ทุกคนจะยืนชิดซ้ายเป็นแถว จะเว้นช่องว่างไว้ด้านขวา ให้คนรีบๆได้เดินขึ้นไปถึงก่อน และจะเป็นอย่างนี้ทุกสถานี (ลองยืนด้านขวามาแล้ว โดนมองหน้าจ้า แหะๆ)
5.มีน้ำตู้หยอดเหรียญแช่เย็น (น้ำอัดลม,เก๊กฮวย,ชาเขียว บลาๆ) ราคาถูกกว่าที่อื่นๆ กระป๋องละ 1ริงกิต (ประมาณ 10บาท)
เดี๋ยวมาต่อนะครับ.