รอคอยปาฏิหารย์จากห้อง ICU

สวัสดีครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่สมัครล็อคอินและอ่านกะทู้พันทิปมานานมาก ๆ ให้เพื่อนยืมล็อคอินไปใช้บ้างตามโอกาส แต่ไม่เคยคิดที่จะโพสแชร์เรื่องราวอะไรของตัวเองมาก่อน จนมาถึงวันนี้ วันที่ผมรู้สึกว่า ผมได้เผชิญกับสิ่ง ๆ หนึ่ง เกินที่ผมและครอบครัวจะรับไหว เลยอยากจะแชร์เรื่องราวนี้ให้อมยิ้มทุกท่านได้อ่านกัน

          เรื่องมีอยู่ว่า พี่สาวของผมได้ตั้งครรภ์สักพัก พอที่บ้านรู้ ทุกคนดีใจและมีความสุขมากที่จะได้มีสมาชิกใหม่เข้ามาในครอบครัว รวมถึงผมด้วย ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เวลาผ่านไปก็เริ่มไปฝากครรภ์และไปตามหมอนัดทุกครั้งตามปกติ พอช่วง 4-5 เดือนก็ไปอัลตร้าซาวด์ ปรากฎว่าผมได้หลานชาย ทั้งผม แฟนพี่ผมและที่บ้านต่างตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก คอยดูแลประคบประหงมอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นพี่ผมก็ยังคงไปทำงานตามปกติ จนใกล้กำหนดคลอด แต่ก็ยังไปตามหมอนัดเสมอ กำหนดคลอดของน้องคือวันที่ 17 มกราคม 2558 สุขภาพครรภ์แข็งแรงดี ไม่มีปัญหา ฝากครรภ์และเตรียมตัวคลอดที่โรงพยาบาลชื่อดังย่านราชประสงค์ ยิ่งวันใกล้กำหนดคลอด พี่ผมก็ปวดท้องบ่อยมาก จนพากันไปโรงพยาบาลหลายที แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด เลยต้องกลับมาบ้านก่อน ผมก็ไม่ได้นอน คอยฟังเสียงว่าพี่จะเจ็บท้องเมื่อไหร่ เพราะผมต้องเป็นคนขับรถไปส่ง จนกลางดึกวันที่ 18 มกราคม พี่ก็เจ็บท้องมาก เลยรีบขับรถพาไปโรงพยาบาล พอถึงมือหมอและทำการตรวจเช็ค ทางพยาบาลก็ออกมาบอกว่า ปากมดลูกเปิด 5 เซนแล้ว จะรับตัวไว้เลย ผมและป้าก็ไปดำเนินเรื่องเพื่อส่งพี่แอดมิด และทางพยาบาลก็บอกให้ญาติกลับได้เลย พรุ่งนี้ให้มาเยี่ยมใหม่ ผมก็กระวนกระวายนอนไม่หลับ เป็นห่วงทั้งพี่และน้อง วันรุ่งขึ้นผมก็ต้องไปทำงาน แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะเปิดตำราตั้งชื่อน้อง ทั้งเอานามสกุลไปหาค้นหาเลข และตั้งชื่อให้ตัวเลขของชื่อบวกกับตัวเลขของนามสกุล แล้วได้เลขออกมาที่ดี ผมเลือกชื่อน้องจนถึงตี 4 จนได้ชื่อที่ผมชอบและความหมายของตัวเลขและอายตนะ6 ดีทั้งหมด พอรุ่งเช้า ที่บ้านผมก็รีบไปโรงพยาบาลเพื่อไปดูพี่ และรีบโทรมาบอกผม พี่คลอดน้องออกมาตอน 06.14 วันที่ 19 มกราคม 2558 ด้วยน้ำหนักตัว 3,800 กรัม สุขภาพแข็งแรง  ผมรู้เท่านั้น ผมก็ดีใจมาก ผมเลยบอกชื่อน้องที่ผมตั้งไว้พร้อมทั้งชื่อเล่น ทุกคนก็โอเคกับชื่อนี้ และเอาชื่อไปจดสูติบัตร พอผมเลิกงาน ผมก็รีบไปหาน้อง เห็นหน้าน้องแล้วมีความสุขมาก น้องนอนหลับปุ๋ย ด้วยความที่น้องคลอดครบกำหนด 40 สัปดาห์ ผมและเล็บจึงยาว เลยข่วนหน้าตัวเอง มีรอยแดง จึงช่วยกันใส่ถุงมือถุงเท้าให้น้อง ครอบครัวเรามีความสุขมาก คืนนั้นแม่ผมอยู่เฝ้าน้องกับพี่ผมทั้งคืน ช่วงเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น (20 มกราคม) พยาบาลก็เอาน้องไปวัดไข้ วัดอุณหภูมิและก็ส่งกลับมาให้ ช่วงสายที่บ้านผมก็ทยอยไปเยี่ยมน้อง ผมก็ทำงาน ทั้ง ๆ ที่ใจจริงอยากจะลางานหาไปน้องจะแย่ ผมเลิกงาน 2 ทุ่มค่อนข้างจะดึกไปซักหน่อย วันนั้นพี่ผมกับแฟนพี่ผมอยู่เฝ้า ที่บ้านผมกลับบ้านกันแล้วเนื่องจากอยู่ตั้งแต่เช้า จะได้ให้พี่กับน้องพักผ่อน และพี่ก็บอกให้ผมไปซื้อเบาะน้อง มุ้งและผ้ายางเตรียมไว้ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ยังไม่ได้ซื้อ เนื่องจากยังเลือกลายที่ชอบไม่ได้ เลยจะดูหลาย ๆ ที่ คืนนั้นผมก็เลยไม่ได้หาไปน้อง ต้องไปซื้อของแทน
          พอเข้าเช้าตรู่วันที่ 21 มกราคม พยาบาลก็เอาน้องไปวัดไข้ วัดอุณหภูมิตามปกติ สักพักก็เดินมาบอกพี่ผมว่า คุณแม่กลับบ้านได้เลยนะคะ แต่ยังไม่ส่งตัวน้องให้ พี่ผมก็งง ถามว่าน้องเป็นอะไร พยาบาลตอบว่า อุณหภูมิน้องไม่ขึ้น ตอนนี้ส่องไฟอยู่ พี่ผมตกใจมาก รีบไปดูน้อง เห็นน้องส่องไฟอยู่ และเข้าตู้อบ ผมแปลกใจตรงที่ ทำไมอุณหภูมิน้องถึงลด ในห้องเปิดแอร์อยู่ที่ 28 องศา และใช้ผ้าห่อตัวน้องและห่มผ้าทับอีกที และเลื่อนผ้าม่านปิดไม่ให้แอร์ลงมาโดนน้อง พี่ผมเฝ้าน้องอยู่หน้าห้องตลอดเวลา เห็นน้องผวา และเริ่มชัก หายใจจนหน้าอกพองโต พี่ผมตกใจมาก วิ่งร้องไห้ มาหาแม่ และรีบไปตามพยาบาล พยาบาลก็รีบกุลีกุจอ มาดูน้อง โทรตามหมอมาเช็คอาการ ทุกคนตรงนั้นทั้งหมดนอกจากพี่ผมที่เป็นแม่ของน้อง ถูกกันจากบริเวณนั้น ให้ไปรอข้างนอก ตอนนั้นผมทำงาน ก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น  ประมาณบ่าย 2 โมง ไลน์ในกรุ๊ปครอบครัวผมก็เด้งขึ้นมา บอกว่าน้องอาการไม่ดีเลย ผมนี่งงเลย ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่บ้านก็เล่าให้ผมฟัง ดังที่ผมเล่าไปก่อนหน้านี้ ผมก็งงว่า ทำไม น้องเป็นอะไร น้องดูแข็งแรงมากเลยที่ผมเห็น ประมาณบ่าย 2 โมงกว่า ไลน์กรุ๊ปที่บ้านเด้งขึ้นมาอีก หมอเอาน้องเข้าไอซียูแล้ว เห็นคำนี้ปุ๊บ ผมน้ำตาคลออัตโนมัติ ในใจคิดแต่ว่า ทำไมถึงเป็นขนาดนั้น แม่บอกว่า น้องชักและหยุดหายใจ หมอต้องส่งเข้าไอซียู ผมยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมถึงเป็นได้ ผมเข้าไปเซิชในกูเกิ้ลเกี่ยวกับอาการหยุดหายใจของเด็ก ส่วนใหญ่พบว่าจะเป็นในทารกที่คลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวน้อย แต่หลานผมคลอดตามกำหนดและน้ำหนักตัว 3,800 กรัม ซึ่งสมบูรณ์มาก และหมอยังคงให้คำตอบไม่ได้ถึงสาเหตุ ได้เรียกให้หมอผู้เชี่ยวชาญทางด้านหัวใจ ปอด ไต มาช่วยดู สักพักพยาบาลออกมาบอกว่า น้องโอเคแล้วค่ะ สบายใจได้ มันเหมือนยกภูเขาขนาดมหึมาออกจากอก มันโล่งอย่างบอกไม่ถูก ผมก็ได้แต่ขอบคุณพระเจ้า ทุกคนที่บ้านผมต่างก็ใจชื้นละมีความหวัง แต่พอประมาณ 4 โมงกว่า พยาบาลก็ออกมาบอกว่า น้องชักขึ้นมาอีก หายใจเองไม่ได้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ทางหมอเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถ พอผมได้อ่านประโยคนี้ของกรุ๊ปไลน์ที่บ้าน ภูเขาลูกเดิมก็หล่นมาใส่อกผมอีกครั้ง รู้สึกว่ามันจะใหญ่กว่าเดิมด้วย เค้าบอกว่าอาการน้องไม่ดีเลย ประมาณ 5 โมงกว่า ให้กลับมาดูอาการใหม่  ที่บ้านผมก็ได้แต่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น จิตใจกระวานกระวาย พอถึงเวลา 5 โมงกว่า หมอก็เรียกญาติเข้าไปคุยพร้อมกัน และบอกตรง ๆ เลยว่า นี่เป็นเคสที่หมอไม่เคยเจอมาก่อน ไม่เคยเห็นเด็กทารกที่เกิดมามีปริมาณเกลือแร่ในเลือดที่สูงมากขนาดนี้ คือน้องเป็นโรคไต หัวใจมีปัญหา มีเลือดออกในปอด และสมองไม่ปกติจากการขาดอากาศหายใจ น้องคงอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้ ให้พวกญาติทำใจไว้เลยะคะ ถ้าเกิดน้องเป็นอะไรไป ขอตัวน้องไว้เป็นอาจารย์ใหญ่ ให้เป็นกรณีศึกษาต่อไป คำพูดสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ได้ใจความประโยคนี้ อาจจะธรรมดาสำหรับคนอื่น แต่สำหรับครอบครัวผม มันเจ็บปวดสุดแสนที่จะบรรยาย ป้าผมช็อคจนต้องขอออกจากห้องก่อน ทุกคนปล่อยโฮออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ กว่าผมจะรู้เรื่องก็ประมาณเกือบ 1 ทุ่ม ผมก็ปล่อยโฮแบบกลั้นไม่อยู่เหมือนกัน ผมไม่เข้าใจ ทำไมน้องถึงเป็นขนาดนั้น ถ้าน้องมีอาการผิดปกติมาก่อนหน้านี้ ก็น่าจะตรวจเจอตั้งแต่ตอนอัลตร้าซาวด์ หมอก็ตอบได้แต่ว่า หมอไม่เคยเจอ ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน ผมร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังอยู่ที่ทำงาน แม่บอกว่าเลิกงานแล้วกลับมาบ้านเลย ไม่ต้องไปหาน้องแล้ว พยาบาลบอกให้กลับมารอที่บ้าน ถ้าคืนนี้มีเรื่องอะไรคืบหน้ายังไงเค้าจะโทรมาแจ้ง ผมคิดในใจ ผมไม่อยากกลับไปเห็นสภาพเศร้าโศกของคนที่บ้านเลย สภาพจิตใจผมตอนนี้ ก็ไม่พร้อมที่จะเป็นเสาหลักให้ใคร เพราะตัวผมเองก็สติแตก พอกลับไปบ้าน ผมเห็นพ่อนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านเลยครับ เป็นภาพที่ผมไม่อยากเห็นมาก ๆ เข้าไปในบ้านเจอพี่ร้องไห้จนตาปิดไปแล้ว แฟนพี่ผมก็ดูซึมมาก มีแต่แม่ผมที่ยังมีสติ ผมนับถือท่านมาก อย่างน้อยก็ยังไม่สติแตกกันหมดทุกคน คืนนั้นไม่เป็นอันหลับอันนอนเลยครับ ผมนอนหลับตาไม่ลงจริง ๆ กลัวเสียงโทรศัพท์ที่จะดังมากลางดึก พี่ผมบอกว่า ภาพล่าสุดที่เห็นน้อง คือตัวน้องเริ่มเขียว ใบหน้าผิดแปลกไปจากเดิม เหมือนคนละคน จนญาติผมบางคนทักว่า เค้าเปลี่ยนเด็กไปหรือเปล่า พี่ผมแทบขาดใจ รวมถึงคนในบ้านเอง ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่