เมื่อวานได้โอกาสดี ที่จะไปสวนสันติธรรมครับ จึงเตรียมอาหารไปถวายทาน และฟังพระธรรมเทศนาของ พระอาจารย์ปราโมทย์ ช่วงเช้าก่อนฉันอาหาร
เมื่อไปถึงสวนสันติธรรมเวลา 07.15 ทันหลวงพ่อปราโมทย์ได้แสดงธรรมพอดี ก็เป็นครั้งแรก ได้ฟังเทศน์สดจากพระอาจารย์ปราโมทย์
มีใจความว่า การที่นักปฏิบัติธรรม ยังไม่ถึงที่สุดจากทุกข์ เพราะยังไม่เห็นไตรลักษ์แสดงตัวการปฏิบัติที่ ตึง เกิน หรือ หย่อนเกิน ไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้ นักปฏิบัติธรรมจึงต้องเลี่ยง จากที่สุดโต่ง 2 อย่าง อย่างแรก คือการตามใจตัวเอง เพลิดเพลินในกาม มีความคิดปรุงแต่งในกาม มากที่สุด รองลงมาการกระทบทางตา คือมองเห็น รองลงมา คือ การะทบทางหู คือการได้ยิน อย่างที่สอง คือการฝืนตัวเอง ได้แก่การเพ่งสมถะ โดยนักปฏิบัติต้องกำหนดรู้ ว่าเมื่อจิตเพลิดเพลินในกาม ก็รู้ มีสติ ความเพลิดเพลินในกามก็คลายลง จิตก็จะเหวี่ยงมาสู่การเพ่งสมถะ ก็กำนดรู้ มีสติ อยู่ในการเพ่ง เพ่งอยู่ก็รู้ เพลินอยู่ก็รู้ เมื่อกำหนดรูปนาม เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิต ย่อมเห็นไตรลักษณ์ในที่สุด และยังยก พระสูตรหนึ่ง ความว่า
ครั้งหนึ่ง เทวดา ได้เข้ามา ถามพระพุทธเจ้าว่า เพราะเหตุไร พระองค์จึงข้ามโอฆะ - ห้วงน้ำ คือกิเลส เสียได้
พระพุทธเจ้าทรงตอบ ว่า ดูก่อน อาวุโส เรา ข้ามโอฆะได้ ด้วยความไม่พัก และไม่เพียร
เทวดาถามต่ออีกว่า เมื่อไม่พักไม่เพียรจะข้ามห้วงโอฆะ ได้อย่างไร
พระพุทธเจ้า ตอบว่า เมื่อพักอยู่ก็จะจมลง เมื่อเพียรอยู่ก็จะลอยขึ้น
เมื่อไม่พักไม่เพียร ข้ามโอฆะได้ดังนี้แล
และยังเทศน์ อื่นๆอีก แต่ จขกท จำไม่ได้แล้ว เมื่อถึงเวลาสมควร จึงหยุด และฉันอาหาร จขกท จึงเลี่ยงออกมา บอกกับภรรยาว่า ทานเราทำไว้ดีแล้ว คำสอนที่ดีเราได้ฟังแล้ว จึงชวนกันกลับออกมา และนำมาเล่าให้เพื่อนๆในห้องศาสนาได้รับฟัง
เมื่อได้ไปสวนสันติธรรมครั้งแรก
เมื่อไปถึงสวนสันติธรรมเวลา 07.15 ทันหลวงพ่อปราโมทย์ได้แสดงธรรมพอดี ก็เป็นครั้งแรก ได้ฟังเทศน์สดจากพระอาจารย์ปราโมทย์
มีใจความว่า การที่นักปฏิบัติธรรม ยังไม่ถึงที่สุดจากทุกข์ เพราะยังไม่เห็นไตรลักษ์แสดงตัวการปฏิบัติที่ ตึง เกิน หรือ หย่อนเกิน ไม่ทำให้พ้นทุกข์ได้ นักปฏิบัติธรรมจึงต้องเลี่ยง จากที่สุดโต่ง 2 อย่าง อย่างแรก คือการตามใจตัวเอง เพลิดเพลินในกาม มีความคิดปรุงแต่งในกาม มากที่สุด รองลงมาการกระทบทางตา คือมองเห็น รองลงมา คือ การะทบทางหู คือการได้ยิน อย่างที่สอง คือการฝืนตัวเอง ได้แก่การเพ่งสมถะ โดยนักปฏิบัติต้องกำหนดรู้ ว่าเมื่อจิตเพลิดเพลินในกาม ก็รู้ มีสติ ความเพลิดเพลินในกามก็คลายลง จิตก็จะเหวี่ยงมาสู่การเพ่งสมถะ ก็กำนดรู้ มีสติ อยู่ในการเพ่ง เพ่งอยู่ก็รู้ เพลินอยู่ก็รู้ เมื่อกำหนดรูปนาม เห็นความเปลี่ยนแปลงของจิต ย่อมเห็นไตรลักษณ์ในที่สุด และยังยก พระสูตรหนึ่ง ความว่า
ครั้งหนึ่ง เทวดา ได้เข้ามา ถามพระพุทธเจ้าว่า เพราะเหตุไร พระองค์จึงข้ามโอฆะ - ห้วงน้ำ คือกิเลส เสียได้
พระพุทธเจ้าทรงตอบ ว่า ดูก่อน อาวุโส เรา ข้ามโอฆะได้ ด้วยความไม่พัก และไม่เพียร
เทวดาถามต่ออีกว่า เมื่อไม่พักไม่เพียรจะข้ามห้วงโอฆะ ได้อย่างไร
พระพุทธเจ้า ตอบว่า เมื่อพักอยู่ก็จะจมลง เมื่อเพียรอยู่ก็จะลอยขึ้น
เมื่อไม่พักไม่เพียร ข้ามโอฆะได้ดังนี้แล
และยังเทศน์ อื่นๆอีก แต่ จขกท จำไม่ได้แล้ว เมื่อถึงเวลาสมควร จึงหยุด และฉันอาหาร จขกท จึงเลี่ยงออกมา บอกกับภรรยาว่า ทานเราทำไว้ดีแล้ว คำสอนที่ดีเราได้ฟังแล้ว จึงชวนกันกลับออกมา และนำมาเล่าให้เพื่อนๆในห้องศาสนาได้รับฟัง