บทที่ 19
http://pantip.com/topic/32260558
บทที่ 20
รถยนต์สีดำสนิทสองคันวิ่งเข้าไปจอดหน้าบ้านอุปถัมภ์ซึ่งถูกปิดเป็นการชั่วคราว ผู้ก้าวลงจากรถเป็นคนแรกคือรีไว ส่วนฮันซี่กับเพตร้าซึ่งขับรถมาอีกคัน เดินตามมาติดๆ หลังจากยืนรอจนเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย ทั้งสามจึงก้าวเข้าไปด้านในและตรงดิ่งไปที่เครื่องซักผ้าในห้องใต้ดิน ตามคำบอกเล่าของเบลทรูท
ตอนแรกฮันซี่พยายามทั้งขยับ หมุน พลิกเครื่องซักผ้าดังกล่าวแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รีไวจึงทดลองกดปุ่มให้เครื่องทำงาน ทั้งสามจึงได้ยินเสียง กริ๊ก ดังมาจากข้างใต้ เมื่อก้มหน้าลงมองก็เห็นพื้นเผยอขึ้นเล็กน้อย พอผลักเบาๆ เครื่องซักผ้าดังกล่าวก็เลื่อนถอยหลังหายเข้าไปในกำแพง
“มีห้องใต้ดินอีกชั้นจริงด้วย” ฮันซี่พึมพำด้วยความทึ่งและขยับเตรียมจะลงไปด้านล่าง แต่รีไวคว้าไหล่เธอเอาไว้
“ดูให้แน่ใจก่อนว่ามีกับดักอะไรหรือเปล่า”
“แอนนี่มั่นใจว่าซ่อนห้องนี้ไว้เป็นอย่างดี เธอคงไม่ทำอะไรซับซ้อนขนาดนั้นหรอก” นักวิทยาศาสตร์สาวแย้งแต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า
“ตรวจไว้ก่อนก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่”
“งั้นนายจะดูยังไง” ถามพลางมองห้องดำมืดด้านล่าง “ไฟสักดวงก็ไม่มี”
รีไวไม่พูดอะไรแต่กลับสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ และสะดุดกับอะไรบางอย่างใต้ฐานที่เคยวางเครื่องซักผ้า พอเอาไฟฉายส่องดูถึงได้รู้ว่าเป็นคัตเอาท์ขนาดเล็ก
“น่าจะเป็นตัวจ่ายไฟไปชั้นล่าง” เสียงค่อนข้างเบาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าคุยกับคนอื่น ส่วนมือเลื่อนไปกดปุ่มให้ไปอยู่ในตำแหน่ง “เปิด” ห้องที่มืดสนิทก็สว่างไสวขึ้นมา รีไวจึงค่อยๆก้าวลงไปตามบันได แต่พอฮันซี่จะตามเขายกมือห้าม
“เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะ”
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองพร้อมกับตอบ
“หาอะไรขัดทางเข้าเอาไว้ด้วย”
นั่นเองที่ทำให้หญิงสาวได้คิด ถ้าทางเข้าเป็นประตูลับซึ่งพอลงไปแล้วคงเลื่อนปิดเองโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่ามันจะต้องมีปุ่มเปิดอยู่ด้านล่างซึ่งคงจะมีแต่แอนนี่เท่านั้นที่รู้ว่าอยู่ตรงไหน หลังจากจัดการตามที่รีไวแนะนำและกำชับกับตำรวจถึงวิธีเปิดจนเป็นที่เข้าใจแล้ว หญิงสาวทั้งสองจึงก้าวลงบันไดไปทีละขั้น และยืนตกตะลึงตัวแข็ง เมื่อเห็นห้องที่ถูกระบุว่าเป็น “ห้องเชือด” ชัดเต็มตา
“นี่มันอะไรกัน” ฮันซี่หลุดปากออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเห็นเตียงโลหะแบบเดียวกับที่ใช้ในห้องชันสูตรตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ส่วนรอบๆมีอุปกรณ์หลากชนิดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ไล่ตั้งแต่ชิ้นเล็กๆอย่างมีดผ่าตัด กรรไกร ค้อนไปจนถึงของชิ้นใหญ่จำพวกเครื่องเจาะอย่างเช่นสว่านหรือแม้กระทั่งเลื่อยไฟฟ้า
“เข้าใจแล้วว่าทำไมเบลทรูทถึงได้เรียกที่นี่ว่าเป็นห้องเชือด” ฮันซี่พูดขณะไล่สายตาพิจารณาของไปทีละชิ้น มือที่สวมถุงมือยางเรียบร้อยแล้วหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาดู “แถมยังถูกทำความสะอาดอย่างเกลี้ยงเกลาอีกด้วย”
รีไวพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึมพลางมองพื้นกระเบื้องสีขาวที่ได้รับการชำระล้างอย่างดีจนไม่หลงเหลือคราบอะไร เขามองรอยด่างขนาดเล็กที่แทรกอยู่ในระหว่างรอยต่อของปูน
“หารอยเลือดกันก่อนดีกว่า”
พอใช้เครื่องมือพิเศษสำหรับตรวจหาเลือดโดยเฉพาะ ทั้งสามอดเย็นสันหลังวาบไม่ได้เมื่อพบคราบเลือดกระจายไปทั่วห้อง ไม่เว้นแม้บนเพดาน ด้วยปริมาณความเข้มของรอย กับลักษณะการสาดกระเซ็นทำให้พอคะเนได้ว่า เลือดเหล่านั้นจะต้องมาจากเหยื่อเป็นจำนวนมาก
รีไวมองภาพเหล่านั้นด้วยท่าทางสงบนิ่ง ฮันซี่มีอาการตื่นเต้นบ้างเล็กน้อย ส่วนเพตร้าซึ่งไม่คุ้นกับการตรวจสถานที่เกิดเหตุเท่าไหร่นักถึงกับยืนตัวสั่นหน้าถอดสี ชายหนุ่มจึงหันมาถาม
“ไหวหรือเปล่า”
เพตร้ากลืนน้ำลายลงคอและสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนผงกศีรษะรับ
“ไหว”
เธอเปิดกระเป๋าหยิบเครื่องมือออกมาเพื่อยืนยันคำพูด ชายหนุ่มมองเหมือนจะให้แน่ใจก่อนหันไปทางฮันซี่ และไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นสาวสติเฟื่องกำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวเตียงชันสูตร
“ไม่ใช่แค่ล้างอย่างเดียว ยังราดน้ำยาอีกด้วย แบบนี้คงไม่เหลือดีเอ็นเอหรืออะไรแล้วละ”
เธอพูดอย่างผิดหวังส่วนมือยังคงลูบไปตามความยาวของเตียง พอสะดุดกับอะไรก็จะก้มลงดู เมื่อเห็นว่าเป็นชิ้นส่วนต้องสงสัย หญิงสาวก็จะใช้ปากคีบหนีบมันหย่อนลงซอง
“ถึงจะระบุอะไรไม่ได้ ขอให้รู้ว่าเป็นชิ้นส่วนของมนุษย์ก็ยังดี” ฮันซี่พูดพร้อมกับกวาดตามองรอบห้องและถอนใจยาว “ให้ตายเถอะ เล่นซะสะอาดแบบนี้ คงเจออะไรยาก”
“แต่ฉันไม่คิดแบบนั้น” เสียงรีไวดังมาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง เอฟบีไอสาวหันไปมองก็เห็นเขากำลังหย่อนอะไรบางอย่างลงในซองเก็บหลักฐาน นักวิทยาศาสตร์สุดเพี้ยนอมยิ้มน้อยๆ
“แอนนี่เอ๋ย ต่อให้ทำความสะอาดดีแค่ไหนเธอก็สู้คุณชายเจ้าระเบียบแห่งเอฟบีไอไม่ได้หรอก”
ทั้งสามตรวจค้นห้องเกิดเหตุอย่างละเอียด ทุกซอกทุกมุมโดยไม่มีการหยุดพัก จนเวลาผ่านไปเกือบ 8 ชั่วโมงจึงหยุด หลังจากปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุอย่างแน่นหนาและจัดตำรวจเฝ้าไว้สองนาย ทุกคนจึงกลับไปยังเอฟบีไอ พอไปถึงก็เข้าห้องประชุมเพื่อรายงานผลกับเอลวิน
“แอนนี่เป็นคนรอบคอบอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ทั้งห้องและเครื่องมือทุกชิ้นถูกล้างจนสะสะอาด แทบไม่มีอะไรเหลือ”
ฮันซี่พูดพร้อมกับยื่นรายงานในส่วนของเธอ คิ้วเข้มของเอลวินขมวดเข้าหากัน
“แทบไม่มีอะไรเหลือ” เขาทวนคำ “แสดงว่าเธอได้อะไรมาบ้างแล้วสิ”
“ไม่ใช่ฉันหรอก ฝีมือคุณชายเจ้าระเบียบน่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับชี้หัวแม่มือไปทางรีไว “หมอนั่นเจอขนตากับเส้นผมสองเส้น แล้วก็คราบเลือดในตะแกรงช่องระบายอากาศ”
เธอหงายมือไปทางเอฟบีไอหนุ่ม เพื่อรับซองพลาสติกใส่หลักฐานสำคัญที่พูดมาทั้งหมดจากนั้นก็ส่งต่อให้เอลวิน “ปัญหาก็คือต่อให้เราตรวจเจอดีเอ็นเอ ก็ไม่มีทางรู้ว่าเป็นของแอนนี่หรือเปล่า เพราะคนระดับเลขานุการของนักการเมืองคงไม่มีทางให้ตัวอย่างเราง่ายๆ”
“แต่ถ้าเป็นลายนิ้วมือคงไม่ใช่เรื่องยาก” รีไวแทรกขึ้นมา ทั้งหมดหันไปมองเขาเป็นตาเดียว
“หมายความว่ายังไง”
“ลืมกล้องบันทึกภาพในห้องนั้นไปแล้วหรือฮันซี่” ชายหนุ่มย้อน นักวิทยาศาสตร์สาวสติเฟื่องทำท่าคิด พอนึกได้ก็ตบมือตัวเองดังฉาด
“อันนั้นน่ะเอง”
“กล้องไหนเหรอฮันซี่” เพตร้าถามด้วยความงุนงง เพราะเธอมัวแต่มองหาหลักฐานอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง เลยไม่ทันได้สังเกตว่าเพื่อนเจออะไรบ้าง
“มันเป็นกล้องบันทึกภาพอันเล็กๆ ติดไว้ที่เพดาน ถ้าไม่สังเกตก็ไม่มีทางเห็นหรอก” ฮันซี่ตอบก่อนจะหันไปทางเอลวิน “จากตำแหน่งทำให้รู้ว่าแอนนี่บันทึกภาพการทรมานเหยื่อไว้ทุกครั้ง แหมสมเป็นสาวซาดิสต์จริงๆ”
ประโยคสุดท้ายเหมือนเป็นการพูดอย่างชื่นชม จนเพตร้ากับซาช่าแอบเบ้หน้าอย่างสยอง ส่วนเอลวินหันไปถามรีไวด้วยความสงสัย
“กล้องนั่นมีอะไรหรือ”
รีไววางห่อพลาสติกที่บรรจุกล้องขนาดเล็กลงบนโต๊ะ
“ตอนติดเจ้านี่ แอนนี่คงไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาเจอ”
“งั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าเธอไม่ได้สวมถุงมือ” ฮันซี่พูดอย่างลิงโลดและฉวยถุงกล้องพลิกไปมา “ฉันจะเอาไปปัดฝุ่น เผื่อจะได้ลายนิ้วมือ”
“แต่เราจะเอามาเทียบกับอะไรล่ะ” ซาช่าถาม รีไวหันไปตอบ
“จากข้อมูลทะเบียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าแอนนี่ไม่ตุกติกแอบแก้ไขไปก่อน”
“ฐานข้อมูลแบบนั้นไมใช่ของที่จะเข้าไปกันง่ายๆ” เพตร้าแย้งแต่เอลวินส่ายหน้า
“ถ้าเป็นคำขอจากสส. เจ้าหน้าที่ก็คงปฏิเสธไม่ได้”
“งั้นต้องเร่งมือกันแล้วละ” ฮันซี่พูดพร้อมกับลุกขึ้นและชูถุงใส่กล้อง “ฉันจะจัดการเจ้านี่ก่อน ถ้าลายนิ้วมือตรงกัน เราก็ขอหมายได้ ส่วนหลักฐานอื่น” เธอหันไปทางหัวหน้าทีม “ฝากนายด้วยนะ”
นักวิทยาศาสตร์เดินตัวปลิวออกจากห้องโดยไม่รอคำตอบ เอลวินจึงหยิบซองหลักฐานที่เหลือส่งให้ซาช่า
“เอาไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบหาดีเอ็นเอ เสร็จแล้วก็กลับบ้านได้” พอเอฟบีไอสาวรับคำเขาก็หันไปทางเพตร้า “คุณด้วย”
“แต่ฉันอยากหาข้อมูลเพิ่มเติม” เธอแย้งแต่เอลวินกลับส่ายหน้า
“คุณทำงานมาทั้งวันแล้วเพตร้า กลับบ้าน พักให้เต็มที่แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาจัดการต่อ” เอลวินพูดอย่างเคร่งขรึม หญิงสาวจึงจำต้องพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้ว” พูดจบก็ลุกเดินออกจากห้อง พอทุกคนไปกันหมดแล้วรีไวจึงถาม
“แจนล่ะ”
“ไปคุ้มครองมิคาสะกับเอเลน” เอลวินตอบพร้อมกับมองหน้าที่ดูอ่อนล้าของรีไว “นายดูเหนื่อยนะ กลับบ้าน นอนพักไม่ดีกว่าเหรอ”
“ยังก่อน” ตอบพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท “ฉันมีบางอย่างจะให้นายดู”
พูดพร้อมกับวางผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ถูกม้วนเป็นก้อนกลมลงบนโต๊ะ เอลวินมองแล้วขมวดคิ้ว
“อะไรน่ะ”
“หลักฐานที่เก็บได้ตอนไรเนอร์ถูกยิง”
“ว่าไงนะ” หัวหน้าทีมอุทานและคลี่ผ้าออก พอเห็นของที่อยู่ข้างในเขาก็เงยหน้าขึ้น “นายเก็บมาจากตรงไหน”
“บริเวณที่สงสัยว่าจะเป็นที่ซ่อนของมือปืน” รีไวตอบ พอเห็นเอลวินใช้ปากกาเขี่ยของชิ้นนั้นให้พลิกไปมาเขาก็พูดต่อ “ฉันคิดว่ามันเป็นของแอนนี่”
อีกฝ่ายชะงักมือ
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“ฉันเคยเห็นเธอใส่ต่างหูแบบนี้ออกทีวี ตอนเก็บมาทีแรกก็ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ พอเอารูปไปค้นดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นต่างหูร้านดังที่ทำออกมาแค่ไม่กี่คู่ ผู้หญิงธรรมดาไม่มีทางซื้อได้แน่”
เอลวินมองต่างหูคริสตัลใสบริสุทธิ์ราวหยดน้ำที่มีทองคำล้อมรอบ
“ทำไมไม่เอามาให้ดูเร็วกว่านี้”
“ฉันอยากจะตรวจให้แน่ใจก่อน”
“รู้หรือเปล่าว่าการเก็บแบบนี้อาจทำให้หลักฐานมีการปนเปื้อน” คนเป็นหัวหน้าพูด รีไวพยักหน้า
“ฉันรู้ แต่ตอนที่เจอมันตกอยู่ในน้ำ ต่อให้มีดีเอ็นเอติดอยู่ก็คงถูกชะออกไปจนหมด”
“แบบนี้เราก็ใช้มันยืนยันอะไรไม่ได้” เอลวินพูดอย่างหมดหวัง แต่รีไวกลับส่ายหน้า
“แต่แอนนี่ไม่รู้”
เอลวินจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็งและขมวดคิ้ว
“อย่าบอกนะว่านายจะลักไก่ขอหมายตรวจดีเอ็นเอเธอ” เขาสั่นศีรษะ “แค่นั้นมันยังไม่พอหรอก
รีไว”
“ฉันถึงต้องรอผลของฮันซี่ไง”
เอฟบีไอหนุ่มตอบเสียงเรียบและลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะชงกาแฟ “เอาไหม” เขาหันมาถาม
เอลวินนิ่งไปเล็กน้อยก่อนทิ้งตัวกับพนักเก้าอี้
“ฉันขอแบบไม่ใส่น้ำตาล”
เมื่อได้ตามคำขอ ทั้งคู่ก็นั่งปรึกษาเรื่องแอนนี่กันต่อ ระหว่างนั้นรีไวก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบยกมือขึ้นเป็นเชิงขอตัวก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องพร้อมดึงมือถือออกมา พอกลับเข้าไปอีกครั้งและเห็นสีหน้าเชิงอยากรู้อย่างน่ารำคาญของเอลวินแล้ว ชายหนุ่มจึงพูดอย่างเสียไม่ได้
“ฉันโทร.ไปหาเอเลน”
เอลวินเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง
“ดึกป่านนี้แล้วเขายังไม่นอนอีกหรือ”
“ยัง” รีไวตอบพร้อมกับหลุบตาลงมองแฟ้มบนโต๊ะเหมือนจะหลบคู่สนทนา แต่ความรู้สึกว่า ยังโดนจ้อง ทำให้เขาถอนใจอย่างแรง “ฉันบอกให้เขาเก็บมื้อเย็นไว้ก่อน”
“นายสั่งให้เขาทำไว้หรือเปล่า”
“เออ”
“งั้นนายก็ต้องกลับไปกิน” เอลวินพูดและเคาะโต๊ะเบาๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเหมือนไม่สนใจ “รีไว”
“อะไร” น้ำเสียงเหมือนรำคาญเต็มแก่ แต่คนอย่างเอลวินรู้ดีว่าเขากำลังอยู่ในอาการ ‘อาย’
“ฉันเคยบอกแบบนี้กับอาร์มินมาแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนกำลังเล่านิทานให้เด็กฟัง “แต่พอกลับถึงบ้านตอนตีสาม เขายังนั่งรออยู่เลย”
“นั่นมันอาร์มิน” รีไวเถียงแบบข้างๆคูๆ เอลวินยิ้ม
“พนันกันมั้ย”
ชายหนุ่มเตรียมปฏิเสธแต่โชคดีหรือร้ายสุดจะเดาเพราะเสียงฮันซี่ถามขัดขึ้นมาก่อน
“พนันอะไรกันเหรอ”
“รีไวสั่งให้เอเลนทำมื้อเย็นไว้ให้”
นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องชะงักมือที่กำลังรินกาแฟลงแก้วแล้วทำท่าคิด
“ขอเดาว่าคนของเราโทร.ไปบอกให้เก็บเอาไว้ก่อน”
“ใช่”
“งั้นฉันพนันว่าไม่มีทาง เอเลนต้องนั่งรอจนกว่านายจะไป”
“ถ้าฉันนอนค้างที่นี่หรือกลับบ้านไปเลยล่ะ” รีไวถาม ฮันซี่หัวเราะคิกคัก
“นายไม่ทำแบบนั้นหรอก ต่อให้เลิกงานดึกแค่ไหน ก็ต้องแวะไปหาเอเลนก่อน จริงมั้ย”
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ บทที่ 20
http://pantip.com/topic/32260558
บทที่ 20
รถยนต์สีดำสนิทสองคันวิ่งเข้าไปจอดหน้าบ้านอุปถัมภ์ซึ่งถูกปิดเป็นการชั่วคราว ผู้ก้าวลงจากรถเป็นคนแรกคือรีไว ส่วนฮันซี่กับเพตร้าซึ่งขับรถมาอีกคัน เดินตามมาติดๆ หลังจากยืนรอจนเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตราย ทั้งสามจึงก้าวเข้าไปด้านในและตรงดิ่งไปที่เครื่องซักผ้าในห้องใต้ดิน ตามคำบอกเล่าของเบลทรูท
ตอนแรกฮันซี่พยายามทั้งขยับ หมุน พลิกเครื่องซักผ้าดังกล่าวแต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รีไวจึงทดลองกดปุ่มให้เครื่องทำงาน ทั้งสามจึงได้ยินเสียง กริ๊ก ดังมาจากข้างใต้ เมื่อก้มหน้าลงมองก็เห็นพื้นเผยอขึ้นเล็กน้อย พอผลักเบาๆ เครื่องซักผ้าดังกล่าวก็เลื่อนถอยหลังหายเข้าไปในกำแพง
“มีห้องใต้ดินอีกชั้นจริงด้วย” ฮันซี่พึมพำด้วยความทึ่งและขยับเตรียมจะลงไปด้านล่าง แต่รีไวคว้าไหล่เธอเอาไว้
“ดูให้แน่ใจก่อนว่ามีกับดักอะไรหรือเปล่า”
“แอนนี่มั่นใจว่าซ่อนห้องนี้ไว้เป็นอย่างดี เธอคงไม่ทำอะไรซับซ้อนขนาดนั้นหรอก” นักวิทยาศาสตร์สาวแย้งแต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า
“ตรวจไว้ก่อนก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่”
“งั้นนายจะดูยังไง” ถามพลางมองห้องดำมืดด้านล่าง “ไฟสักดวงก็ไม่มี”
รีไวไม่พูดอะไรแต่กลับสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ และสะดุดกับอะไรบางอย่างใต้ฐานที่เคยวางเครื่องซักผ้า พอเอาไฟฉายส่องดูถึงได้รู้ว่าเป็นคัตเอาท์ขนาดเล็ก
“น่าจะเป็นตัวจ่ายไฟไปชั้นล่าง” เสียงค่อนข้างเบาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าคุยกับคนอื่น ส่วนมือเลื่อนไปกดปุ่มให้ไปอยู่ในตำแหน่ง “เปิด” ห้องที่มืดสนิทก็สว่างไสวขึ้นมา รีไวจึงค่อยๆก้าวลงไปตามบันได แต่พอฮันซี่จะตามเขายกมือห้าม
“เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะ”
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองพร้อมกับตอบ
“หาอะไรขัดทางเข้าเอาไว้ด้วย”
นั่นเองที่ทำให้หญิงสาวได้คิด ถ้าทางเข้าเป็นประตูลับซึ่งพอลงไปแล้วคงเลื่อนปิดเองโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่ามันจะต้องมีปุ่มเปิดอยู่ด้านล่างซึ่งคงจะมีแต่แอนนี่เท่านั้นที่รู้ว่าอยู่ตรงไหน หลังจากจัดการตามที่รีไวแนะนำและกำชับกับตำรวจถึงวิธีเปิดจนเป็นที่เข้าใจแล้ว หญิงสาวทั้งสองจึงก้าวลงบันไดไปทีละขั้น และยืนตกตะลึงตัวแข็ง เมื่อเห็นห้องที่ถูกระบุว่าเป็น “ห้องเชือด” ชัดเต็มตา
“นี่มันอะไรกัน” ฮันซี่หลุดปากออกมาอย่างลืมตัวเมื่อเห็นเตียงโลหะแบบเดียวกับที่ใช้ในห้องชันสูตรตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ส่วนรอบๆมีอุปกรณ์หลากชนิดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ไล่ตั้งแต่ชิ้นเล็กๆอย่างมีดผ่าตัด กรรไกร ค้อนไปจนถึงของชิ้นใหญ่จำพวกเครื่องเจาะอย่างเช่นสว่านหรือแม้กระทั่งเลื่อยไฟฟ้า
“เข้าใจแล้วว่าทำไมเบลทรูทถึงได้เรียกที่นี่ว่าเป็นห้องเชือด” ฮันซี่พูดขณะไล่สายตาพิจารณาของไปทีละชิ้น มือที่สวมถุงมือยางเรียบร้อยแล้วหยิบมีดเล่มหนึ่งขึ้นมาดู “แถมยังถูกทำความสะอาดอย่างเกลี้ยงเกลาอีกด้วย”
รีไวพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึมพลางมองพื้นกระเบื้องสีขาวที่ได้รับการชำระล้างอย่างดีจนไม่หลงเหลือคราบอะไร เขามองรอยด่างขนาดเล็กที่แทรกอยู่ในระหว่างรอยต่อของปูน
“หารอยเลือดกันก่อนดีกว่า”
พอใช้เครื่องมือพิเศษสำหรับตรวจหาเลือดโดยเฉพาะ ทั้งสามอดเย็นสันหลังวาบไม่ได้เมื่อพบคราบเลือดกระจายไปทั่วห้อง ไม่เว้นแม้บนเพดาน ด้วยปริมาณความเข้มของรอย กับลักษณะการสาดกระเซ็นทำให้พอคะเนได้ว่า เลือดเหล่านั้นจะต้องมาจากเหยื่อเป็นจำนวนมาก
รีไวมองภาพเหล่านั้นด้วยท่าทางสงบนิ่ง ฮันซี่มีอาการตื่นเต้นบ้างเล็กน้อย ส่วนเพตร้าซึ่งไม่คุ้นกับการตรวจสถานที่เกิดเหตุเท่าไหร่นักถึงกับยืนตัวสั่นหน้าถอดสี ชายหนุ่มจึงหันมาถาม
“ไหวหรือเปล่า”
เพตร้ากลืนน้ำลายลงคอและสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนผงกศีรษะรับ
“ไหว”
เธอเปิดกระเป๋าหยิบเครื่องมือออกมาเพื่อยืนยันคำพูด ชายหนุ่มมองเหมือนจะให้แน่ใจก่อนหันไปทางฮันซี่ และไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นสาวสติเฟื่องกำลังก้มๆเงยๆอยู่แถวเตียงชันสูตร
“ไม่ใช่แค่ล้างอย่างเดียว ยังราดน้ำยาอีกด้วย แบบนี้คงไม่เหลือดีเอ็นเอหรืออะไรแล้วละ”
เธอพูดอย่างผิดหวังส่วนมือยังคงลูบไปตามความยาวของเตียง พอสะดุดกับอะไรก็จะก้มลงดู เมื่อเห็นว่าเป็นชิ้นส่วนต้องสงสัย หญิงสาวก็จะใช้ปากคีบหนีบมันหย่อนลงซอง
“ถึงจะระบุอะไรไม่ได้ ขอให้รู้ว่าเป็นชิ้นส่วนของมนุษย์ก็ยังดี” ฮันซี่พูดพร้อมกับกวาดตามองรอบห้องและถอนใจยาว “ให้ตายเถอะ เล่นซะสะอาดแบบนี้ คงเจออะไรยาก”
“แต่ฉันไม่คิดแบบนั้น” เสียงรีไวดังมาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง เอฟบีไอสาวหันไปมองก็เห็นเขากำลังหย่อนอะไรบางอย่างลงในซองเก็บหลักฐาน นักวิทยาศาสตร์สุดเพี้ยนอมยิ้มน้อยๆ
“แอนนี่เอ๋ย ต่อให้ทำความสะอาดดีแค่ไหนเธอก็สู้คุณชายเจ้าระเบียบแห่งเอฟบีไอไม่ได้หรอก”
ทั้งสามตรวจค้นห้องเกิดเหตุอย่างละเอียด ทุกซอกทุกมุมโดยไม่มีการหยุดพัก จนเวลาผ่านไปเกือบ 8 ชั่วโมงจึงหยุด หลังจากปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุอย่างแน่นหนาและจัดตำรวจเฝ้าไว้สองนาย ทุกคนจึงกลับไปยังเอฟบีไอ พอไปถึงก็เข้าห้องประชุมเพื่อรายงานผลกับเอลวิน
“แอนนี่เป็นคนรอบคอบอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ทั้งห้องและเครื่องมือทุกชิ้นถูกล้างจนสะสะอาด แทบไม่มีอะไรเหลือ”
ฮันซี่พูดพร้อมกับยื่นรายงานในส่วนของเธอ คิ้วเข้มของเอลวินขมวดเข้าหากัน
“แทบไม่มีอะไรเหลือ” เขาทวนคำ “แสดงว่าเธอได้อะไรมาบ้างแล้วสิ”
“ไม่ใช่ฉันหรอก ฝีมือคุณชายเจ้าระเบียบน่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับชี้หัวแม่มือไปทางรีไว “หมอนั่นเจอขนตากับเส้นผมสองเส้น แล้วก็คราบเลือดในตะแกรงช่องระบายอากาศ”
เธอหงายมือไปทางเอฟบีไอหนุ่ม เพื่อรับซองพลาสติกใส่หลักฐานสำคัญที่พูดมาทั้งหมดจากนั้นก็ส่งต่อให้เอลวิน “ปัญหาก็คือต่อให้เราตรวจเจอดีเอ็นเอ ก็ไม่มีทางรู้ว่าเป็นของแอนนี่หรือเปล่า เพราะคนระดับเลขานุการของนักการเมืองคงไม่มีทางให้ตัวอย่างเราง่ายๆ”
“แต่ถ้าเป็นลายนิ้วมือคงไม่ใช่เรื่องยาก” รีไวแทรกขึ้นมา ทั้งหมดหันไปมองเขาเป็นตาเดียว
“หมายความว่ายังไง”
“ลืมกล้องบันทึกภาพในห้องนั้นไปแล้วหรือฮันซี่” ชายหนุ่มย้อน นักวิทยาศาสตร์สาวสติเฟื่องทำท่าคิด พอนึกได้ก็ตบมือตัวเองดังฉาด
“อันนั้นน่ะเอง”
“กล้องไหนเหรอฮันซี่” เพตร้าถามด้วยความงุนงง เพราะเธอมัวแต่มองหาหลักฐานอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง เลยไม่ทันได้สังเกตว่าเพื่อนเจออะไรบ้าง
“มันเป็นกล้องบันทึกภาพอันเล็กๆ ติดไว้ที่เพดาน ถ้าไม่สังเกตก็ไม่มีทางเห็นหรอก” ฮันซี่ตอบก่อนจะหันไปทางเอลวิน “จากตำแหน่งทำให้รู้ว่าแอนนี่บันทึกภาพการทรมานเหยื่อไว้ทุกครั้ง แหมสมเป็นสาวซาดิสต์จริงๆ”
ประโยคสุดท้ายเหมือนเป็นการพูดอย่างชื่นชม จนเพตร้ากับซาช่าแอบเบ้หน้าอย่างสยอง ส่วนเอลวินหันไปถามรีไวด้วยความสงสัย
“กล้องนั่นมีอะไรหรือ”
รีไววางห่อพลาสติกที่บรรจุกล้องขนาดเล็กลงบนโต๊ะ
“ตอนติดเจ้านี่ แอนนี่คงไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาเจอ”
“งั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าเธอไม่ได้สวมถุงมือ” ฮันซี่พูดอย่างลิงโลดและฉวยถุงกล้องพลิกไปมา “ฉันจะเอาไปปัดฝุ่น เผื่อจะได้ลายนิ้วมือ”
“แต่เราจะเอามาเทียบกับอะไรล่ะ” ซาช่าถาม รีไวหันไปตอบ
“จากข้อมูลทะเบียนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าแอนนี่ไม่ตุกติกแอบแก้ไขไปก่อน”
“ฐานข้อมูลแบบนั้นไมใช่ของที่จะเข้าไปกันง่ายๆ” เพตร้าแย้งแต่เอลวินส่ายหน้า
“ถ้าเป็นคำขอจากสส. เจ้าหน้าที่ก็คงปฏิเสธไม่ได้”
“งั้นต้องเร่งมือกันแล้วละ” ฮันซี่พูดพร้อมกับลุกขึ้นและชูถุงใส่กล้อง “ฉันจะจัดการเจ้านี่ก่อน ถ้าลายนิ้วมือตรงกัน เราก็ขอหมายได้ ส่วนหลักฐานอื่น” เธอหันไปทางหัวหน้าทีม “ฝากนายด้วยนะ”
นักวิทยาศาสตร์เดินตัวปลิวออกจากห้องโดยไม่รอคำตอบ เอลวินจึงหยิบซองหลักฐานที่เหลือส่งให้ซาช่า
“เอาไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบหาดีเอ็นเอ เสร็จแล้วก็กลับบ้านได้” พอเอฟบีไอสาวรับคำเขาก็หันไปทางเพตร้า “คุณด้วย”
“แต่ฉันอยากหาข้อมูลเพิ่มเติม” เธอแย้งแต่เอลวินกลับส่ายหน้า
“คุณทำงานมาทั้งวันแล้วเพตร้า กลับบ้าน พักให้เต็มที่แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาจัดการต่อ” เอลวินพูดอย่างเคร่งขรึม หญิงสาวจึงจำต้องพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้ว” พูดจบก็ลุกเดินออกจากห้อง พอทุกคนไปกันหมดแล้วรีไวจึงถาม
“แจนล่ะ”
“ไปคุ้มครองมิคาสะกับเอเลน” เอลวินตอบพร้อมกับมองหน้าที่ดูอ่อนล้าของรีไว “นายดูเหนื่อยนะ กลับบ้าน นอนพักไม่ดีกว่าเหรอ”
“ยังก่อน” ตอบพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท “ฉันมีบางอย่างจะให้นายดู”
พูดพร้อมกับวางผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ถูกม้วนเป็นก้อนกลมลงบนโต๊ะ เอลวินมองแล้วขมวดคิ้ว
“อะไรน่ะ”
“หลักฐานที่เก็บได้ตอนไรเนอร์ถูกยิง”
“ว่าไงนะ” หัวหน้าทีมอุทานและคลี่ผ้าออก พอเห็นของที่อยู่ข้างในเขาก็เงยหน้าขึ้น “นายเก็บมาจากตรงไหน”
“บริเวณที่สงสัยว่าจะเป็นที่ซ่อนของมือปืน” รีไวตอบ พอเห็นเอลวินใช้ปากกาเขี่ยของชิ้นนั้นให้พลิกไปมาเขาก็พูดต่อ “ฉันคิดว่ามันเป็นของแอนนี่”
อีกฝ่ายชะงักมือ
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“ฉันเคยเห็นเธอใส่ต่างหูแบบนี้ออกทีวี ตอนเก็บมาทีแรกก็ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ พอเอารูปไปค้นดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นต่างหูร้านดังที่ทำออกมาแค่ไม่กี่คู่ ผู้หญิงธรรมดาไม่มีทางซื้อได้แน่”
เอลวินมองต่างหูคริสตัลใสบริสุทธิ์ราวหยดน้ำที่มีทองคำล้อมรอบ
“ทำไมไม่เอามาให้ดูเร็วกว่านี้”
“ฉันอยากจะตรวจให้แน่ใจก่อน”
“รู้หรือเปล่าว่าการเก็บแบบนี้อาจทำให้หลักฐานมีการปนเปื้อน” คนเป็นหัวหน้าพูด รีไวพยักหน้า
“ฉันรู้ แต่ตอนที่เจอมันตกอยู่ในน้ำ ต่อให้มีดีเอ็นเอติดอยู่ก็คงถูกชะออกไปจนหมด”
“แบบนี้เราก็ใช้มันยืนยันอะไรไม่ได้” เอลวินพูดอย่างหมดหวัง แต่รีไวกลับส่ายหน้า
“แต่แอนนี่ไม่รู้”
เอลวินจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็งและขมวดคิ้ว
“อย่าบอกนะว่านายจะลักไก่ขอหมายตรวจดีเอ็นเอเธอ” เขาสั่นศีรษะ “แค่นั้นมันยังไม่พอหรอก
รีไว”
“ฉันถึงต้องรอผลของฮันซี่ไง”
เอฟบีไอหนุ่มตอบเสียงเรียบและลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะชงกาแฟ “เอาไหม” เขาหันมาถาม
เอลวินนิ่งไปเล็กน้อยก่อนทิ้งตัวกับพนักเก้าอี้
“ฉันขอแบบไม่ใส่น้ำตาล”
เมื่อได้ตามคำขอ ทั้งคู่ก็นั่งปรึกษาเรื่องแอนนี่กันต่อ ระหว่างนั้นรีไวก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบยกมือขึ้นเป็นเชิงขอตัวก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องพร้อมดึงมือถือออกมา พอกลับเข้าไปอีกครั้งและเห็นสีหน้าเชิงอยากรู้อย่างน่ารำคาญของเอลวินแล้ว ชายหนุ่มจึงพูดอย่างเสียไม่ได้
“ฉันโทร.ไปหาเอเลน”
เอลวินเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง
“ดึกป่านนี้แล้วเขายังไม่นอนอีกหรือ”
“ยัง” รีไวตอบพร้อมกับหลุบตาลงมองแฟ้มบนโต๊ะเหมือนจะหลบคู่สนทนา แต่ความรู้สึกว่า ยังโดนจ้อง ทำให้เขาถอนใจอย่างแรง “ฉันบอกให้เขาเก็บมื้อเย็นไว้ก่อน”
“นายสั่งให้เขาทำไว้หรือเปล่า”
“เออ”
“งั้นนายก็ต้องกลับไปกิน” เอลวินพูดและเคาะโต๊ะเบาๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเหมือนไม่สนใจ “รีไว”
“อะไร” น้ำเสียงเหมือนรำคาญเต็มแก่ แต่คนอย่างเอลวินรู้ดีว่าเขากำลังอยู่ในอาการ ‘อาย’
“ฉันเคยบอกแบบนี้กับอาร์มินมาแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนกำลังเล่านิทานให้เด็กฟัง “แต่พอกลับถึงบ้านตอนตีสาม เขายังนั่งรออยู่เลย”
“นั่นมันอาร์มิน” รีไวเถียงแบบข้างๆคูๆ เอลวินยิ้ม
“พนันกันมั้ย”
ชายหนุ่มเตรียมปฏิเสธแต่โชคดีหรือร้ายสุดจะเดาเพราะเสียงฮันซี่ถามขัดขึ้นมาก่อน
“พนันอะไรกันเหรอ”
“รีไวสั่งให้เอเลนทำมื้อเย็นไว้ให้”
นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องชะงักมือที่กำลังรินกาแฟลงแก้วแล้วทำท่าคิด
“ขอเดาว่าคนของเราโทร.ไปบอกให้เก็บเอาไว้ก่อน”
“ใช่”
“งั้นฉันพนันว่าไม่มีทาง เอเลนต้องนั่งรอจนกว่านายจะไป”
“ถ้าฉันนอนค้างที่นี่หรือกลับบ้านไปเลยล่ะ” รีไวถาม ฮันซี่หัวเราะคิกคัก
“นายไม่ทำแบบนั้นหรอก ต่อให้เลิกงานดึกแค่ไหน ก็ต้องแวะไปหาเอเลนก่อน จริงมั้ย”