สติที่ไปตามลมหายใจออก
ที่ไปตามลมหายใจเข้า
ที่ฟุ้งซ่านในภายใน
ที่ฟุ้งซ่านในภายนอก
ความปรารถนาลมหายใจออก
และความปรารถนาลมหายใจเข้า
อุปกิเลส ๖ ประการนี้
เป็นอันตรายแก่สมาธิ อันสัมปยุตด้วยอานาปาณสติ
อุปกิเลสเหล่านั้น ถ้าจิตของบุคคลผู้หวั่นไหว
ย่อมเป็นเครื่อง ไม่ให้หลุดพ้นไป
และเป็นเหตุไม่ให้รู้ชัดซึ่งวิโมกข์ (ความหลุดพ้น)
ให้ถึงความเชื่อต่อผู้อื่น ฉะนี้แล ฯ
จิตที่แล่นไปตามอตีตารมณ์
ที่ปรารถนาอนาคตารมณ์
จิตที่หดหู่ ที่ถือจัด ที่รู้เกินไป ที่ไม่รู้ ย่อมไม่ตั้งมั่น
อุปกิเลส ๖ ประการนี้ เป็นอันตรายแก่สมาธิ
อันสัมปยุตด้วยอานาปาณสติ อุปกิเลสเหล่านั้น
ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลผู้มีความดำริเศร้าหมอง
ไม่รู้ชัดซึ่งอธิจิต ฉะนี้แล ฯ
ผู้ใดไม่บำเพ็ญ ไม่เจริญอานาปาณสติ
กายและจิตของผู้นั้น ย่อมหวั่นไหว ดิ้นรน
ผู้ใดบำเพ็ญ เจริญอานาปาณสติดี
กายและจิตของผู้นั้น ย่อมไม่หวั่นไหว
ไม่ดิ้นรน ฉะนี้แล ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๓๑
หน้า ๑๓๕
[พระไตรปิฏก]สติที่ไปตามลมหายใจ
ที่ไปตามลมหายใจเข้า
ที่ฟุ้งซ่านในภายใน
ที่ฟุ้งซ่านในภายนอก
ความปรารถนาลมหายใจออก
และความปรารถนาลมหายใจเข้า
อุปกิเลส ๖ ประการนี้
เป็นอันตรายแก่สมาธิ อันสัมปยุตด้วยอานาปาณสติ
อุปกิเลสเหล่านั้น ถ้าจิตของบุคคลผู้หวั่นไหว
ย่อมเป็นเครื่อง ไม่ให้หลุดพ้นไป
และเป็นเหตุไม่ให้รู้ชัดซึ่งวิโมกข์ (ความหลุดพ้น)
ให้ถึงความเชื่อต่อผู้อื่น ฉะนี้แล ฯ
จิตที่แล่นไปตามอตีตารมณ์
ที่ปรารถนาอนาคตารมณ์
จิตที่หดหู่ ที่ถือจัด ที่รู้เกินไป ที่ไม่รู้ ย่อมไม่ตั้งมั่น
อุปกิเลส ๖ ประการนี้ เป็นอันตรายแก่สมาธิ
อันสัมปยุตด้วยอานาปาณสติ อุปกิเลสเหล่านั้น
ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลผู้มีความดำริเศร้าหมอง
ไม่รู้ชัดซึ่งอธิจิต ฉะนี้แล ฯ
ผู้ใดไม่บำเพ็ญ ไม่เจริญอานาปาณสติ
กายและจิตของผู้นั้น ย่อมหวั่นไหว ดิ้นรน
ผู้ใดบำเพ็ญ เจริญอานาปาณสติดี
กายและจิตของผู้นั้น ย่อมไม่หวั่นไหว
ไม่ดิ้นรน ฉะนี้แล ฯ
หน้า ๑๓๕