ตอนที่ผ่านมา
บทที่ ๑
http://pantip.com/topic/32197484
บทที่ ๒
http://pantip.com/topic/32215683
บทที่ ๓
http://pantip.com/topic/32232873
ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ คำขอร้องของเฉิงหมิน
เหลียน เฉิงหมิน คบหากับคุณชายใหญ่สกุลเฉินมานานร่วมสิบปี ความที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ คนบ้านนี้จึงรู้ดีว่าควรต้อนรับอย่างไร บ่าวคนหนึ่งจะไปเรียนเจ้านาย ส่วนอีกคนจะเชิญให้ไปรอที่สวนหินซึ่งตั้งอยู่ติดกับเรือนส่วนตัวของกุ้ยอี้ ชายหนุ่มทั้งสองมักจะนั่งสนทนากันอยู่ตรงนี้เสมอ วันไหนร่ำสุราแล้วครึ้มใจ คนทั้งบ้านก็จะได้ยินเสียงพิณพระจันทร์กับเสียงขลุ่ยกังวานก้อง
กุ้ยอี้กับเฉิงหมินมักจะใช้พื้นที่ตรงนี้ผ่อนคลายอิริยาบถจากการงานอันตรึงเครียด ทว่าวันนี้บรรยากาศกลับปราศจากความชื่นมื่น เหตุเพราะจดหมายที่กุ้ยอี้นำไปถวายองค์รัชทายาทเมื่อวันก่อน
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไรกุ้ยอี้” เฉิงหมินเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
แว่นกับซีอิ๋งที่อยู่ตรงทางเข้าก็เลยได้ยินชัด ทั้งคู่แอบหลบอยู่หลังม่านพวงคราม แล้วแอบเงี่ยหูฟังการสนทนาด้วยความสนใจ
“ข้าตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว”
“รอบคอบงั้นรึ” เฉิงหมินแค่นเสียง “หากเจ้าห่วงกุ้ยฮวาก็แค่พักงานก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องลาออก”
“หากข้าพักงานไป ก็เท่ากับกันไม่ให้ใครมารับตำแหน่งแทน จะเป็นการขัดขวางการทำงานขององค์รัชทายาทเสียเปล่าๆ”
“ก็เพราะคิดอย่างนี้ไง ข้าถึงบอกว่าเจ้าเสียสติ องค์รัชทายาทขาดเจ้าก็เหมือนขาดแขนขา”
“เจ้าก็พูดเกินไป คนที่มีความรู้ระดับข้าในแผ่นดินนี้มีดาษดื่น”
“ดาษดื่นแต่ไม่รู้ใจ ต่อหน้าภักดี ลับหลังใจคดมีถมไป เอามาก็เสมือนหอกข้างแคร่”
ฟังได้ถึงตรงนี้ซีอิ๋งก็สะกิดว่าให้รีบออกไป พอเห็นคุณหนูไม่ยอมขยับ นางเลยพยายามลากให้ออกมาแทน
“การแอบฟังมันไม่ดีนะเจ้าคะ” ซีอิ๋งกล่อมเมื่อเจ้านายขืนตัวเอาไว้
“ซู่...เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก” แว่นจุปาก
เขาเริ่มสนใจเพราะการสนทนานี้มีชื่อของตัวเองมาเกี่ยวข้อง น่าเสียดายที่อดฟังต่อเพราะถูกจับได้เสียก่อน
“นั่นใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้!” กุ้ยอี้ตวาดเสียงเข้ม
แว่นแหวกม่านพวงครามแล้วออกไปแสดงตัวในทันที พร้อมกับปั้นหน้าใสซื่อทำเป็นว่าเพิ่งมาถึง
“ท่านพี่หมายถึงข้าหรือ”
พอเห็นว่าเป็นน้องสีหน้าของกุ้ยอี้ก็คลายลง
“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ พี่นึกว่าเป็นคนอื่น เจ้าออกมาไกลถึงนี่มีอะไรหรือเปล่า” พี่ชายผู้แสนดีถามพลางสังเกตสีหน้าของน้องสาวไปด้วย
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเดินเล่นเพลินจึงเลยมาถึงนี่” พูดแล้วก็หันมาทางแขกของพี่ชายแล้วค้อมตัวให้ “กุ้ยฮวาของอภัยท่านเหลียนที่มารบกวนการสนทนา”
“เจ้ายืนฟังอยู่นานแล้วหรือกุ้ยฮวา” กุ้ยอี้ถามด้วยท่าทีเจือความกังวล
เขายังไม่อยากให้น้องรู้เรื่องลาออกจากราชการเพราะห่วงว่าจะคิดมาก
“มะ...ไม่ได้แอบฟังเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ระ...เราเพิ่งมาถึง ละ...แล้วคุณชายใหญ่ก็..ก็เรียกก่อน” ซีอิ๋วพยายามช่วยตอบ แต่ท่าทีที่แสดงออกนั้นเก็บพิรุธเอาไว้ไม่มิดเลย
แว่นไม่โทษซีอิ๋ง เป็นธรรมดาที่เด็กสาวจะต้องตกใจเมื่อถูกจับได้ แว่นเลยแก้สถานการณ์ด้วยการทำเป็นปลอบ
“ไม่ต้องกลัวหรอกซีอิ๋ง ท่านพี่ไม่ดุเจ้าหรอก” กล่าวจบแล้วก็หันมาอธิบายกับชายหนุ่มทั้งสอง “ซีอิ๋งกลัวว่าท่านพี่จะตำหนิเรื่องที่พาข้ามาเดินเล่นไกลๆ ท่านพี่อย่าโกรธนางเลยนะ ถ้าจะบ่นว่าก็ว่าข้าเถอะที่เอาแต่ใจ”
เห็นน้องคุยเรื่องอื่นกุ้ยอี้ก็คลายใจเลิกสงสัย ในสายตาของพี่ชายคนนี้ น้องรักเป็นสตรีที่ใสซื่อไร้จริต ถ้าแอบฟังจริงป่านนี้ก็คงเก็บอาการกังวลเอาไว้ได้ไม่มิดแล้ว
“พี่ไม่โกรธหรอก ทั้งเจ้าทั้งซีอิ๋งนั่นแหละ” กุ้ยอี้เอ่ยเสียงนุ่มแล้วจึงหันมาทางซีอิ๋ง “หนนี้ข้าจะไม่ตำหนิเจ้า แต่คราวต่อไปถ้าจะพาคุณหนูออกมาเดินเล่น ก็ต้องรู้จักคิดเผื่อเรื่องตอนขากลับด้วย”
“เจ้าค่ะคุณชาย ซีอิ๋งจะจำใส่ใจเอาไว้ให้มั่น” เด็กสาวรับคำแล้วก้มหน้าลง เพื่อซ่อนอาการโล่งอก
กุ้ยอี้บอกให้น้องสาวนั่งพักก่อน แล้วจึงค่อยหันมาสนใจสหายของตัวเอง เฉิงหมินส่งยิ้มมาให้กุ้ยฮวา แล้วแสดงความยินดีที่นางกลับมาแข็งแรง
ในระหว่างที่คุยกันนี้ แว่นก็สังเกตเพื่อนสนิทพี่ชายไปด้วย เฉิงหมินเตี้ยกว่ากุ้ยอี้ประมาณหนึ่งฝ่ามือ แต่ก็ถือว่ารูปร่างกำลังดี ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่นี่สูงกันไม่เกินร้อยหกสิบเซนติเมตร ผู้ชายก็สูงมากกว่านั้นห้าถึงสิบห้าเซนติเมตร กุ้ยอี้ต่างห่างที่สูงใหญ่เกินเกณฑ์มาตรฐาน
สำหรับเรื่องหน้าตาของเฉิงหมิน ก็ต้องบอกว่าหล่อใช้ได้ เขามีตาชั้นเดียว คิ้วไม่หนามาก จมูกโด่งรับกับเครื่องหน้า เสื้อผ้าหน้าผมเรียบกริบ ให้อารมณ์คุณชายผู้คงแก่เรียน ทั้งยังดูเป็นสุภาพบุรุษ ไม่น่าแปลกใจเลยที่สาวน้อยอย่างซีอิ๋งจะหลงใหลได้ปลื้ม
เมื่อทักทายกันตามมารยาทเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่แว่นจะต้องขอตัว ใจจริงเขาไม่อยากไปนัก แต่ต้องไปเพื่อรักษาภาพลักษณ์คุณหนูผู้เป็นกุลสตรีและมีมารยาทเอาไว้
“ข้าไม่รบกวนแล้ว เชิญท่านเหลียนกับท่านพี่สนทนากันตามสบาย”
“ไม่ต้องไปไหนหรอกกุ้ยฮวา ท่านเหลียนจะกลับแล้ว จริงไหมเฉิงหมิง”
คนถูกไล่ทางอ้อมเลยได้แต่เออออตามว่ากำลังจะขอตัวพอดี สบโอกาสให้กุ้ยอี้สั่งให้ซีอิ๋งเป็นคนส่งแขก ส่วนตัวเองเอาน้องสาวมาอ้างว่ากุ้ยฮวาสีหน้าไม่ค่อยดี เลยจะพากลับไปพักผ่อนด้วยตัวเอง
เฉิงหมินนึกเคืองอยู่ไม่น้อยที่สหายหลบเลี่ยงเรื่องที่ต้องคุยกัน วันนี้เขาจะปล่อยไปก่อน จะอย่างไรก็ต้องหาโอกาสคุยกันให้รู้เรื่อง
ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้เจ้าของบ้านทั้งสองแทนคำอำลา
”องค์รัชทายาทบอกให้เจ้าลาพักได้นานตามแต่จะพอใจ กุ้ยฮวาแข็งแรงเมื่อไรคงได้เจอกันในวัง”
ประโยคนี้แทนการย้ำเตือนว่าเฉิงหมินจะไม่มีวันถอนใจโดยง่าย
เฉิงหมินปล่อยให้กุ้ยอี้พักงานอีกประมาณสิบวัน แล้วจึงค่อยเดินทางมาเกลี่ยกล่อม หนนี้มีของที่องค์รัชทายาทประทานมาให้ด้วย รวมถึงจดหมายลายพระหัตถ์ ที่บ่งบอกว่ากุ้ยอี้มีความสำคัญ ชายหนุ่มน้อมรับพระเมตตาแต่กระนั้นก็ยังยืนกรานว่าจะลาออก
กุ้ยอี้ให้เหตุผลว่าไม่อยากเสียใจซ้ำสอง ที่ผ่านมาเขามัวแต่ทำงานก็เลยมีเวลาให้กุ้ยฮวาไม่มาก ตอนน้องป่วยก็ได้ดูแลเพียงน้อยนิด ไม่ทันมาดูใจด้วยซ้ำ
“หากน้องเจ้าป่วยอีก หรือมีเรื่องต้องลาก็ลาได้ องค์รัชทายาทไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
“อย่าโน้มน้าวข้าอีกเลยเฉิงหมิน เจ้าก็รู้ว่าเกมการเมืองในราชสำนักเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากุ้ยฮวาเกิดป่วยขึ้นมาอีก แล้วตอนนั้นมีวิกฤตที่องค์ชายต้องการข้าพอดี ไม่ว่าจะเลือกข้อไหนก็ต้องเสียใจทั้งนั้น สู้ออกมาตอนนี้เลยดีกว่า”
เฉิงหมินกัดฟันกรอดเมื่อได้ฟัง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่มันก็มีเหตุผลหลายอย่างที่กุ้ยอี้จำเป็นที่จะต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม
“เจ้าช่างขลาดเขลาและเห็นแก่ตัวยิ่งนัก คนอย่างเจ้ามันไม่น่าเกิดมาเป็นลูกเสนาบดีเฉินเลย”
คำพูดของเฉิงหมินรุนแรง แต่กุ้ยอี้ก็ไม่นึกโกรธ เขารับคำตำหนิเอาไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
“ถูกของเจ้า ข้ามันคนขี้ขลาด เมื่อเจ้ามองออกแล้วก็ปล่อยคนขี้ขลาดไปเถิด”
เฉิงหมินไม่กล่าวถ้อยคำใดๆ อีก สีหน้าของเขาเจ็บปวดราวกับถูกทรยศ ชายหนุ่มผินกายออกไปโดยไม่อยู่ฟังคำขอโทษของกุ้ยอี้
อารมณ์ของเฉิงหมินขุ่นมัวยิ่งนัก ความรู้สึกด้านลบในใจทำให้เขาเร่งฝีเท้าโดยไม่สนใจว่าใครจะเดินผ่าน สุดท้ายก็ชนเข้ากับสาวใช้คนหนึ่ง
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านเหลียน” เด็กสาวละล่ำละลักบอก แล้วค้อมกายขอโทษเป็นการใหญ่
“ข้าต่างหากรีบจนไม่ทันมอง เจ้าบาดเจ็บหรือไม่” ชายหนุ่มถามพลางช่วยเก็บกระดาษกับอุปกรณ์วาดเขียนที่ตกเกลื่อนอยู่ที่พื้น
“ขะ...ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งหน้าแดงเมื่อได้สนทนากับชายในดวงใจ
“แม่นางกำลังจะนำของไปให้ใครหรือ กระดาษเปื้อนไปหลายแผ่น ข้าจะได้ไปขอโทษแล้วชดใช้ให้”
กระดาษเนื้อดีที่ซีอิ๋งถือมาเป็นของมีราคา คงน่าสงสารไม่น้อยถ้าต้องมาถูกตำหนิหรือหักเงินเดือนเพราะความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ
ความมีน้ำใจของเฉิงหมินทำให้ซีอิ๋งยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก และมันก็ยังส่งผลดีต่อปัญหาที่เขากำลังแก้ไม่ตกด้วย
“ขอบพระคุณท่านเหลียน แต่ท่านไม่จำเป็นต้องชดใช้หรอกเจ้าค่ะ ที่บ้านยังมีกระดาษอยู่อีกมาก ที่สำคัญคุณหนูสามของข้าจิตใจดี ไม่มีทางเคืองด้วยเรื่องเท่านี้หรอกเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งอธิบาย
“คุณหนูสามนี่หมายถึงกุ้ยฮวาใช่ไหม”
“ใช่เจ้าค่ะ”
เฉิงหมินจำได้ว่าสาวใช้คนนี้เป็นคนสนิทของกุ้ยฮวา จึงใช้โอกาสนี้ขอร้องให้ช่วยพาไปพบหญิงสาว
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับคุณหนูสามจริงๆ รบกวนแม่นางด้วย”
“ก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าต้องเรียนคุณชายใหญ่หรือฮูหยินก่อน”
ชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานไม่ควรพบกันตามลำพัง แม้จะบริสุทธิ์ก็จำเป็นที่จะต้องมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย
“ขอบคุณแม่นางมาก แต่เกรงว่าข้าคงไม่สามารถรอได้ เพราะมีงานด่วนรออยู่ หากแม่นางห่วงเกียรติของคุณหนู ก็ให้เชิญมาที่สวน ข้าขอคุยเพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น เสร็จธุระแล้วจะไปทันที”
“แต่...ข้าว่า...”
“ได้โปรดเถอะนะแม่นาง น้ำใจครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืม”
การอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงและสายตาทำให้ซีอิ๋งใจอ่อนจนได้ แม้จะกลัวการลงโทษจับจิต แต่เมื่อได้อยู่กับคนที่หลงไหลได้ปลื้มแล้ว สาวน้อยอย่างซีอิ๋งก็ลืมทุกสิ่งไปจนสิ้น
ไม่นานเกินรอ กุ้ยฮวาก็ถูกซีอิ๋งขอร้องให้มาพบใครคนหนึ่งที่สวน พอยอมตามออกมาก็เห็นว่าเป็นเพื่อนของพี่ชาย เฉิงหมินเอ่ยคำขอโทษออกมาก่อนที่เรียกออกมาแบบนี้ จากนั้นจึงค่อยคุยธุระแบบไม่มีอ้อมค้อม
“ข้าอยากขอร้องให้เจ้าช่วยเกลี่ยกล่อมกุ้ยอี้ พี่ชายเจ้าจะลาออกจากราชการ ข้ากับองค์รัชทายาทรั้งอย่างไรก็ไม่ฟัง”
“เรื่องนี้ท่านไปขอร้องท่านพ่อไม่ดีกว่าหรือ ข้าเป็นน้อง หนำซ้ำยังเป็นสตรี ท่านพี่คงไม่พอใจนักหากข้าเข้าไปก้าวก่าย” แว่นบอกปัด
“ท่านเสนาบดียืนกรานแล้วว่าท่านจะเคารพการตัดสินใจของบุตรชาย ขอร้องไปคงช่วยอะไรไม่ได้ อีกอย่างเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเจ้าโดยตรง”
“เกี่ยวกับข้า...” แว่นเอานิ้วชี้ตัวเอง “...อย่างไรกัน”
“กุ้ยอี้อยากจะลาออกเพราะรู้สึกผิดต่อเจ้า ที่คราวก่อนเจ้าล้มป่วยแล้วไม่ได้มาดูใจ”
การลาออกของกุ้ยอี้ดูเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเฉิงหมิน แว่นจึงเค้นข้อมูลทุกอย่างในสมองอย่างหนัก เผื่อจะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น ที่เขารู้คือพ่อกับพี่ชายมีตำแหน่งใหญ่โต แต่จะมีความสำคัญต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร ไม่มีอยู่ในความทรงจำของกุ้ยฮวา สันนิษฐานได้สองอย่างคือมันหายไป ไม่ก็ตัวกุ้ยฮวาเองไม่สนใจศึกษา ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างหลังเพราะวิชาการปกครองในโลกนี้เป็นเรื่องของพวกผู้ชายเท่านั้น
“งานที่ท่านพี่กำลังทำอยู่สำคัญมากเลยหรือ” แว่นตัดสินใจถามออกไป
“สำคัญมากเชื่อเถอะว่าไม่มีใครสารมารถเป็นกำลังให้องค์รัชทายาทได้ดีเท่าพี่เจ้าอีกแล้ว”
“ข้าเป็นสตรี เรื่องการบ้านการเมืองไม่เข้าใจนักหรอก ในเมื่อไม่เข้าใจก็คงช่วยพูดได้ยาก หากท่านเหลียนต้องการจะให้ข้าช่วยจริง ก็ต้องอธิบายให้คนโง่เขลาอย่างข้าเข้าใจ”
กุ้ยฮวาเรียกตัวเองว่าคนโง่เขลา แต่คู่สนทนาอย่างเฉิงหมินกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น คำพูดของนางแฝงความคมคาย บ่งบอกถึงความฉลาดเฉลียว สมแล้วที่เป็นบุตรีของเสนาบดีเฉิน
“เหตุผลของข้าเกี่ยวกับความมั่นคงของแผ่นดิน หากไม่มีพี่เจ้าองค์รัชทายาทอาจจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์ แล้วเจ้ารู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา”
พอแว่นส่ายหน้าว่าไม่รู้ เฉิงหมินก็บอกเล่าเรื่องราวอันน่าตระหนกให้ฟัง
“จะเกิดศึกชิงอำนาจกันระหว่างองค์ชายทั้งหลาย ร้ายที่สุดอาจมีการใช้กำลังให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติ ถึงตอนนั้นสกุลเฉินของเจ้าจะเหลือตัวเลือกเพียงสองทาง ไม่ลี้ภัยไปอยู่ในป่าเขา ก็ต้องเลือกข้าง ต่อให้เลือกความเป็นธรรม แต่หากฝ่ายตนไม่ชนะก็เท่ากับต้องตาย แล้วก็ไม่ใช่แค่ครอบครัวเจ้าที่มีภัย หากทรราชได้เป็นใหญ่ ผู้คนจะเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า”
พรรณนาถึงความน่ากลัวของศึกชิงบัลลังก์เสร็จ เฉิงหมินก็อธิบายถึงความสำคัญของกุ้ยอี้ให้ฟัง ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นผู้ตรวจการประจำกรมปกครอง หน้าที่เขาคือตรวจสอบการทำงานของขุนนางในกรมปกครอง ความที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับเจ้ากรมและมาจากตระกูลใหญ่ จึงได้รับความเกรงใจ นอกจากนี้กุ้ยอี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างฐานอำนาจขององค์รัชทายาทให้มั่นคงด้วย หากเขาลาออกก็เท่ากับเป็นการประกาศว่าตระกูลเฉินถอนตัวจากการสนับสนุนองค์ชายใหญ่แล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงภัยอันใหญ่หลวง
พิภพจอมนาง (ตุ๊ดทะลุมิติ) ตอนที่ ๑ ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ คำขอร้องของเฉิงหมิน
บทที่ ๑ http://pantip.com/topic/32197484
บทที่ ๒ http://pantip.com/topic/32215683
บทที่ ๓ http://pantip.com/topic/32232873
ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ คำขอร้องของเฉิงหมิน
เหลียน เฉิงหมิน คบหากับคุณชายใหญ่สกุลเฉินมานานร่วมสิบปี ความที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ คนบ้านนี้จึงรู้ดีว่าควรต้อนรับอย่างไร บ่าวคนหนึ่งจะไปเรียนเจ้านาย ส่วนอีกคนจะเชิญให้ไปรอที่สวนหินซึ่งตั้งอยู่ติดกับเรือนส่วนตัวของกุ้ยอี้ ชายหนุ่มทั้งสองมักจะนั่งสนทนากันอยู่ตรงนี้เสมอ วันไหนร่ำสุราแล้วครึ้มใจ คนทั้งบ้านก็จะได้ยินเสียงพิณพระจันทร์กับเสียงขลุ่ยกังวานก้อง
กุ้ยอี้กับเฉิงหมินมักจะใช้พื้นที่ตรงนี้ผ่อนคลายอิริยาบถจากการงานอันตรึงเครียด ทว่าวันนี้บรรยากาศกลับปราศจากความชื่นมื่น เหตุเพราะจดหมายที่กุ้ยอี้นำไปถวายองค์รัชทายาทเมื่อวันก่อน
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไรกุ้ยอี้” เฉิงหมินเอ่ยด้วยเสียงอันดัง
แว่นกับซีอิ๋งที่อยู่ตรงทางเข้าก็เลยได้ยินชัด ทั้งคู่แอบหลบอยู่หลังม่านพวงคราม แล้วแอบเงี่ยหูฟังการสนทนาด้วยความสนใจ
“ข้าตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว”
“รอบคอบงั้นรึ” เฉิงหมินแค่นเสียง “หากเจ้าห่วงกุ้ยฮวาก็แค่พักงานก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องลาออก”
“หากข้าพักงานไป ก็เท่ากับกันไม่ให้ใครมารับตำแหน่งแทน จะเป็นการขัดขวางการทำงานขององค์รัชทายาทเสียเปล่าๆ”
“ก็เพราะคิดอย่างนี้ไง ข้าถึงบอกว่าเจ้าเสียสติ องค์รัชทายาทขาดเจ้าก็เหมือนขาดแขนขา”
“เจ้าก็พูดเกินไป คนที่มีความรู้ระดับข้าในแผ่นดินนี้มีดาษดื่น”
“ดาษดื่นแต่ไม่รู้ใจ ต่อหน้าภักดี ลับหลังใจคดมีถมไป เอามาก็เสมือนหอกข้างแคร่”
ฟังได้ถึงตรงนี้ซีอิ๋งก็สะกิดว่าให้รีบออกไป พอเห็นคุณหนูไม่ยอมขยับ นางเลยพยายามลากให้ออกมาแทน
“การแอบฟังมันไม่ดีนะเจ้าคะ” ซีอิ๋งกล่อมเมื่อเจ้านายขืนตัวเอาไว้
“ซู่...เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก” แว่นจุปาก
เขาเริ่มสนใจเพราะการสนทนานี้มีชื่อของตัวเองมาเกี่ยวข้อง น่าเสียดายที่อดฟังต่อเพราะถูกจับได้เสียก่อน
“นั่นใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้!” กุ้ยอี้ตวาดเสียงเข้ม
แว่นแหวกม่านพวงครามแล้วออกไปแสดงตัวในทันที พร้อมกับปั้นหน้าใสซื่อทำเป็นว่าเพิ่งมาถึง
“ท่านพี่หมายถึงข้าหรือ”
พอเห็นว่าเป็นน้องสีหน้าของกุ้ยอี้ก็คลายลง
“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ พี่นึกว่าเป็นคนอื่น เจ้าออกมาไกลถึงนี่มีอะไรหรือเปล่า” พี่ชายผู้แสนดีถามพลางสังเกตสีหน้าของน้องสาวไปด้วย
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเดินเล่นเพลินจึงเลยมาถึงนี่” พูดแล้วก็หันมาทางแขกของพี่ชายแล้วค้อมตัวให้ “กุ้ยฮวาของอภัยท่านเหลียนที่มารบกวนการสนทนา”
“เจ้ายืนฟังอยู่นานแล้วหรือกุ้ยฮวา” กุ้ยอี้ถามด้วยท่าทีเจือความกังวล
เขายังไม่อยากให้น้องรู้เรื่องลาออกจากราชการเพราะห่วงว่าจะคิดมาก
“มะ...ไม่ได้แอบฟังเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ระ...เราเพิ่งมาถึง ละ...แล้วคุณชายใหญ่ก็..ก็เรียกก่อน” ซีอิ๋วพยายามช่วยตอบ แต่ท่าทีที่แสดงออกนั้นเก็บพิรุธเอาไว้ไม่มิดเลย
แว่นไม่โทษซีอิ๋ง เป็นธรรมดาที่เด็กสาวจะต้องตกใจเมื่อถูกจับได้ แว่นเลยแก้สถานการณ์ด้วยการทำเป็นปลอบ
“ไม่ต้องกลัวหรอกซีอิ๋ง ท่านพี่ไม่ดุเจ้าหรอก” กล่าวจบแล้วก็หันมาอธิบายกับชายหนุ่มทั้งสอง “ซีอิ๋งกลัวว่าท่านพี่จะตำหนิเรื่องที่พาข้ามาเดินเล่นไกลๆ ท่านพี่อย่าโกรธนางเลยนะ ถ้าจะบ่นว่าก็ว่าข้าเถอะที่เอาแต่ใจ”
เห็นน้องคุยเรื่องอื่นกุ้ยอี้ก็คลายใจเลิกสงสัย ในสายตาของพี่ชายคนนี้ น้องรักเป็นสตรีที่ใสซื่อไร้จริต ถ้าแอบฟังจริงป่านนี้ก็คงเก็บอาการกังวลเอาไว้ได้ไม่มิดแล้ว
“พี่ไม่โกรธหรอก ทั้งเจ้าทั้งซีอิ๋งนั่นแหละ” กุ้ยอี้เอ่ยเสียงนุ่มแล้วจึงหันมาทางซีอิ๋ง “หนนี้ข้าจะไม่ตำหนิเจ้า แต่คราวต่อไปถ้าจะพาคุณหนูออกมาเดินเล่น ก็ต้องรู้จักคิดเผื่อเรื่องตอนขากลับด้วย”
“เจ้าค่ะคุณชาย ซีอิ๋งจะจำใส่ใจเอาไว้ให้มั่น” เด็กสาวรับคำแล้วก้มหน้าลง เพื่อซ่อนอาการโล่งอก
กุ้ยอี้บอกให้น้องสาวนั่งพักก่อน แล้วจึงค่อยหันมาสนใจสหายของตัวเอง เฉิงหมินส่งยิ้มมาให้กุ้ยฮวา แล้วแสดงความยินดีที่นางกลับมาแข็งแรง
ในระหว่างที่คุยกันนี้ แว่นก็สังเกตเพื่อนสนิทพี่ชายไปด้วย เฉิงหมินเตี้ยกว่ากุ้ยอี้ประมาณหนึ่งฝ่ามือ แต่ก็ถือว่ารูปร่างกำลังดี ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่นี่สูงกันไม่เกินร้อยหกสิบเซนติเมตร ผู้ชายก็สูงมากกว่านั้นห้าถึงสิบห้าเซนติเมตร กุ้ยอี้ต่างห่างที่สูงใหญ่เกินเกณฑ์มาตรฐาน
สำหรับเรื่องหน้าตาของเฉิงหมิน ก็ต้องบอกว่าหล่อใช้ได้ เขามีตาชั้นเดียว คิ้วไม่หนามาก จมูกโด่งรับกับเครื่องหน้า เสื้อผ้าหน้าผมเรียบกริบ ให้อารมณ์คุณชายผู้คงแก่เรียน ทั้งยังดูเป็นสุภาพบุรุษ ไม่น่าแปลกใจเลยที่สาวน้อยอย่างซีอิ๋งจะหลงใหลได้ปลื้ม
เมื่อทักทายกันตามมารยาทเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่แว่นจะต้องขอตัว ใจจริงเขาไม่อยากไปนัก แต่ต้องไปเพื่อรักษาภาพลักษณ์คุณหนูผู้เป็นกุลสตรีและมีมารยาทเอาไว้
“ข้าไม่รบกวนแล้ว เชิญท่านเหลียนกับท่านพี่สนทนากันตามสบาย”
“ไม่ต้องไปไหนหรอกกุ้ยฮวา ท่านเหลียนจะกลับแล้ว จริงไหมเฉิงหมิง”
คนถูกไล่ทางอ้อมเลยได้แต่เออออตามว่ากำลังจะขอตัวพอดี สบโอกาสให้กุ้ยอี้สั่งให้ซีอิ๋งเป็นคนส่งแขก ส่วนตัวเองเอาน้องสาวมาอ้างว่ากุ้ยฮวาสีหน้าไม่ค่อยดี เลยจะพากลับไปพักผ่อนด้วยตัวเอง
เฉิงหมินนึกเคืองอยู่ไม่น้อยที่สหายหลบเลี่ยงเรื่องที่ต้องคุยกัน วันนี้เขาจะปล่อยไปก่อน จะอย่างไรก็ต้องหาโอกาสคุยกันให้รู้เรื่อง
ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้เจ้าของบ้านทั้งสองแทนคำอำลา
”องค์รัชทายาทบอกให้เจ้าลาพักได้นานตามแต่จะพอใจ กุ้ยฮวาแข็งแรงเมื่อไรคงได้เจอกันในวัง”
ประโยคนี้แทนการย้ำเตือนว่าเฉิงหมินจะไม่มีวันถอนใจโดยง่าย
เฉิงหมินปล่อยให้กุ้ยอี้พักงานอีกประมาณสิบวัน แล้วจึงค่อยเดินทางมาเกลี่ยกล่อม หนนี้มีของที่องค์รัชทายาทประทานมาให้ด้วย รวมถึงจดหมายลายพระหัตถ์ ที่บ่งบอกว่ากุ้ยอี้มีความสำคัญ ชายหนุ่มน้อมรับพระเมตตาแต่กระนั้นก็ยังยืนกรานว่าจะลาออก
กุ้ยอี้ให้เหตุผลว่าไม่อยากเสียใจซ้ำสอง ที่ผ่านมาเขามัวแต่ทำงานก็เลยมีเวลาให้กุ้ยฮวาไม่มาก ตอนน้องป่วยก็ได้ดูแลเพียงน้อยนิด ไม่ทันมาดูใจด้วยซ้ำ
“หากน้องเจ้าป่วยอีก หรือมีเรื่องต้องลาก็ลาได้ องค์รัชทายาทไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
“อย่าโน้มน้าวข้าอีกเลยเฉิงหมิน เจ้าก็รู้ว่าเกมการเมืองในราชสำนักเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากุ้ยฮวาเกิดป่วยขึ้นมาอีก แล้วตอนนั้นมีวิกฤตที่องค์ชายต้องการข้าพอดี ไม่ว่าจะเลือกข้อไหนก็ต้องเสียใจทั้งนั้น สู้ออกมาตอนนี้เลยดีกว่า”
เฉิงหมินกัดฟันกรอดเมื่อได้ฟัง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่มันก็มีเหตุผลหลายอย่างที่กุ้ยอี้จำเป็นที่จะต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม
“เจ้าช่างขลาดเขลาและเห็นแก่ตัวยิ่งนัก คนอย่างเจ้ามันไม่น่าเกิดมาเป็นลูกเสนาบดีเฉินเลย”
คำพูดของเฉิงหมินรุนแรง แต่กุ้ยอี้ก็ไม่นึกโกรธ เขารับคำตำหนิเอาไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
“ถูกของเจ้า ข้ามันคนขี้ขลาด เมื่อเจ้ามองออกแล้วก็ปล่อยคนขี้ขลาดไปเถิด”
เฉิงหมินไม่กล่าวถ้อยคำใดๆ อีก สีหน้าของเขาเจ็บปวดราวกับถูกทรยศ ชายหนุ่มผินกายออกไปโดยไม่อยู่ฟังคำขอโทษของกุ้ยอี้
อารมณ์ของเฉิงหมินขุ่นมัวยิ่งนัก ความรู้สึกด้านลบในใจทำให้เขาเร่งฝีเท้าโดยไม่สนใจว่าใครจะเดินผ่าน สุดท้ายก็ชนเข้ากับสาวใช้คนหนึ่ง
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านเหลียน” เด็กสาวละล่ำละลักบอก แล้วค้อมกายขอโทษเป็นการใหญ่
“ข้าต่างหากรีบจนไม่ทันมอง เจ้าบาดเจ็บหรือไม่” ชายหนุ่มถามพลางช่วยเก็บกระดาษกับอุปกรณ์วาดเขียนที่ตกเกลื่อนอยู่ที่พื้น
“ขะ...ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งหน้าแดงเมื่อได้สนทนากับชายในดวงใจ
“แม่นางกำลังจะนำของไปให้ใครหรือ กระดาษเปื้อนไปหลายแผ่น ข้าจะได้ไปขอโทษแล้วชดใช้ให้”
กระดาษเนื้อดีที่ซีอิ๋งถือมาเป็นของมีราคา คงน่าสงสารไม่น้อยถ้าต้องมาถูกตำหนิหรือหักเงินเดือนเพราะความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ
ความมีน้ำใจของเฉิงหมินทำให้ซีอิ๋งยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก และมันก็ยังส่งผลดีต่อปัญหาที่เขากำลังแก้ไม่ตกด้วย
“ขอบพระคุณท่านเหลียน แต่ท่านไม่จำเป็นต้องชดใช้หรอกเจ้าค่ะ ที่บ้านยังมีกระดาษอยู่อีกมาก ที่สำคัญคุณหนูสามของข้าจิตใจดี ไม่มีทางเคืองด้วยเรื่องเท่านี้หรอกเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งอธิบาย
“คุณหนูสามนี่หมายถึงกุ้ยฮวาใช่ไหม”
“ใช่เจ้าค่ะ”
เฉิงหมินจำได้ว่าสาวใช้คนนี้เป็นคนสนิทของกุ้ยฮวา จึงใช้โอกาสนี้ขอร้องให้ช่วยพาไปพบหญิงสาว
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับคุณหนูสามจริงๆ รบกวนแม่นางด้วย”
“ก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าต้องเรียนคุณชายใหญ่หรือฮูหยินก่อน”
ชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานไม่ควรพบกันตามลำพัง แม้จะบริสุทธิ์ก็จำเป็นที่จะต้องมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย
“ขอบคุณแม่นางมาก แต่เกรงว่าข้าคงไม่สามารถรอได้ เพราะมีงานด่วนรออยู่ หากแม่นางห่วงเกียรติของคุณหนู ก็ให้เชิญมาที่สวน ข้าขอคุยเพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น เสร็จธุระแล้วจะไปทันที”
“แต่...ข้าว่า...”
“ได้โปรดเถอะนะแม่นาง น้ำใจครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืม”
การอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงและสายตาทำให้ซีอิ๋งใจอ่อนจนได้ แม้จะกลัวการลงโทษจับจิต แต่เมื่อได้อยู่กับคนที่หลงไหลได้ปลื้มแล้ว สาวน้อยอย่างซีอิ๋งก็ลืมทุกสิ่งไปจนสิ้น
ไม่นานเกินรอ กุ้ยฮวาก็ถูกซีอิ๋งขอร้องให้มาพบใครคนหนึ่งที่สวน พอยอมตามออกมาก็เห็นว่าเป็นเพื่อนของพี่ชาย เฉิงหมินเอ่ยคำขอโทษออกมาก่อนที่เรียกออกมาแบบนี้ จากนั้นจึงค่อยคุยธุระแบบไม่มีอ้อมค้อม
“ข้าอยากขอร้องให้เจ้าช่วยเกลี่ยกล่อมกุ้ยอี้ พี่ชายเจ้าจะลาออกจากราชการ ข้ากับองค์รัชทายาทรั้งอย่างไรก็ไม่ฟัง”
“เรื่องนี้ท่านไปขอร้องท่านพ่อไม่ดีกว่าหรือ ข้าเป็นน้อง หนำซ้ำยังเป็นสตรี ท่านพี่คงไม่พอใจนักหากข้าเข้าไปก้าวก่าย” แว่นบอกปัด
“ท่านเสนาบดียืนกรานแล้วว่าท่านจะเคารพการตัดสินใจของบุตรชาย ขอร้องไปคงช่วยอะไรไม่ได้ อีกอย่างเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเจ้าโดยตรง”
“เกี่ยวกับข้า...” แว่นเอานิ้วชี้ตัวเอง “...อย่างไรกัน”
“กุ้ยอี้อยากจะลาออกเพราะรู้สึกผิดต่อเจ้า ที่คราวก่อนเจ้าล้มป่วยแล้วไม่ได้มาดูใจ”
การลาออกของกุ้ยอี้ดูเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเฉิงหมิน แว่นจึงเค้นข้อมูลทุกอย่างในสมองอย่างหนัก เผื่อจะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น ที่เขารู้คือพ่อกับพี่ชายมีตำแหน่งใหญ่โต แต่จะมีความสำคัญต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร ไม่มีอยู่ในความทรงจำของกุ้ยฮวา สันนิษฐานได้สองอย่างคือมันหายไป ไม่ก็ตัวกุ้ยฮวาเองไม่สนใจศึกษา ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างหลังเพราะวิชาการปกครองในโลกนี้เป็นเรื่องของพวกผู้ชายเท่านั้น
“งานที่ท่านพี่กำลังทำอยู่สำคัญมากเลยหรือ” แว่นตัดสินใจถามออกไป
“สำคัญมากเชื่อเถอะว่าไม่มีใครสารมารถเป็นกำลังให้องค์รัชทายาทได้ดีเท่าพี่เจ้าอีกแล้ว”
“ข้าเป็นสตรี เรื่องการบ้านการเมืองไม่เข้าใจนักหรอก ในเมื่อไม่เข้าใจก็คงช่วยพูดได้ยาก หากท่านเหลียนต้องการจะให้ข้าช่วยจริง ก็ต้องอธิบายให้คนโง่เขลาอย่างข้าเข้าใจ”
กุ้ยฮวาเรียกตัวเองว่าคนโง่เขลา แต่คู่สนทนาอย่างเฉิงหมินกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น คำพูดของนางแฝงความคมคาย บ่งบอกถึงความฉลาดเฉลียว สมแล้วที่เป็นบุตรีของเสนาบดีเฉิน
“เหตุผลของข้าเกี่ยวกับความมั่นคงของแผ่นดิน หากไม่มีพี่เจ้าองค์รัชทายาทอาจจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์ แล้วเจ้ารู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา”
พอแว่นส่ายหน้าว่าไม่รู้ เฉิงหมินก็บอกเล่าเรื่องราวอันน่าตระหนกให้ฟัง
“จะเกิดศึกชิงอำนาจกันระหว่างองค์ชายทั้งหลาย ร้ายที่สุดอาจมีการใช้กำลังให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติ ถึงตอนนั้นสกุลเฉินของเจ้าจะเหลือตัวเลือกเพียงสองทาง ไม่ลี้ภัยไปอยู่ในป่าเขา ก็ต้องเลือกข้าง ต่อให้เลือกความเป็นธรรม แต่หากฝ่ายตนไม่ชนะก็เท่ากับต้องตาย แล้วก็ไม่ใช่แค่ครอบครัวเจ้าที่มีภัย หากทรราชได้เป็นใหญ่ ผู้คนจะเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า”
พรรณนาถึงความน่ากลัวของศึกชิงบัลลังก์เสร็จ เฉิงหมินก็อธิบายถึงความสำคัญของกุ้ยอี้ให้ฟัง ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นผู้ตรวจการประจำกรมปกครอง หน้าที่เขาคือตรวจสอบการทำงานของขุนนางในกรมปกครอง ความที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับเจ้ากรมและมาจากตระกูลใหญ่ จึงได้รับความเกรงใจ นอกจากนี้กุ้ยอี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างฐานอำนาจขององค์รัชทายาทให้มั่นคงด้วย หากเขาลาออกก็เท่ากับเป็นการประกาศว่าตระกูลเฉินถอนตัวจากการสนับสนุนองค์ชายใหญ่แล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงภัยอันใหญ่หลวง