(ต่อ)
6.พักโรงแรมย่านไหนดี
ขอแนะนำให้อยู่ย่านที่คนเยอะๆ พลุกพล่าน เมืองแห่งแสงสีไปเลยค่ะ เพราะเราไปคนเดียวเที่ยวคนเดียว ไปต่างถิ่นก็ต้องเอาจุดที่คนเยอะๆไว้ก่อนเผื่อเที่ยวแล้วกลับดึกก็ยังไม่เงียบสงัดค่ะ เพราะบางเมืองเนี่ยสองทุ่มก็ร้างคนแล้วววว
ของเราอยู่โรงแรมที่คนบ้านพันทิปรีวิวเยอะมากๆ ถึงขนาดมีคำต้อนรับตรงreception ภาษาไทยและมีคู่มือการใช้บริการเป็นภาษาไทยจ้า (ดีมากสำหรับคนขี้เกียจอ่านอังกฤษ) นั่นคือ Sakura hotel Ikebukuro ของเราจองห้องที่โตเกียวทั้งหมด9คืนเลยค่ะ นั่นคือ Sakura hotel ikebukuro ก่อนหน้านั้นเราหาข้อมูลรวมถึงเทียบราคาเยอะเเยะมากมายจนสุดท้ายเลือกที่นี่ตามเพื่อนๆหลายๆคนในห้องบลูน่ะแหละค่ะ เหตุผลก็เพราะคนที่รีวิวบอกว่าราคาไม่แพง และทำเลดีมากใกล้สถานีรถไฟ ซึ่งมันก็ใกล้จริงๆค่ะ สะดวกมากๆถือว่าเป็นใจกลางการเดินทางเลยก็ว่าได้ค่ะ เราว่าสถานีนี้ใหญ่ไม่แพ้สถานีโตเกียวหรือชินจูกุเลยแหละ เราขอสรุปข้อดีข้อเสียข้อเสียตามลำดับนะคะ
1.ใกล้รถไฟสี่สาย ทั้งเจอาร์, รถไฟใต้ดินMetro, รถไฟเอกชนToei line, Tobu line ซึ่งเราขอแนะนำมากถึงมากที่สุด เพราะง่ายต่อการไปเที่ยวที่ต่างๆ เพราะรถไฟสายต่างๆส่วนใหญ่ต้องจอดที่นี่ (ถ้าเคยหาข้อมูลจะทราบว่ารถไฟญี่ปุ่นจะมีสายที่จอดแม่มทุกป้าย=รถไฟหวานเย็น=จะรู้ได้โดยดูป้ายไฟที่ชานชาลาหรือตัวรถไฟที่มีคำว่าLocalต่อท้ายสถานีปลายทางนั้นๆ กะรถไฟจอดเฉพาะป้ายใหญ่ๆสำคัญ=รถด่วน=Rapid line)ซึ่งข้อเสียหากขึ้นผิด คือ จะเสียเวลาเพิ่มขึ้นบางทีเวลาต่างกันครึ่งชม. แต่เราว่าอย่าไปเครียดมากกะเรื่องพวกนี้เลยค่ะ ในเมื่อคุณไปเที่ยวก็ถือซะว่านั่งรถไฟชมวิว หรือนั่งพักขาหลังจากเดินมาเยอะก็ได้ แต่หากไม่มั่นใจก็ถามนายสถานี(ที่เราเจอนะ หน้าตาเหมือนนักร้องเจป๊อปอ่ะค่ะ)
แต่ข้อดีก็มีนะ ของเรานี้ขึ้นสายlocal ตอนขากลับจากเมืองคาวาซากิโดยไม่ตั้งใจ แม่มจอดทั้งสิ้นเกือบ20สถานีค่ะ เราเลยตัดสินใจลงเดินเที่ยวเส้นทางที่มันผ่านอ่ะ วันนั้นสรุปได้เดินสามย่านนะ
2.เป็นย่านคนเมืองไม่เคยหลับไหล แสงสีทั่วทุกมุมถนน ซึ่งเราว่ามันดีมากๆเพราะเราเป็นพวกออกเที่ยวสายและกลับดึกเกือบเที่ยงคืนทุกวัน (เพราะออกนอกโตเกียวจึงใช้เวลาเดินทางหน่อย) มันจึงปลอดภัยตลอดค่ะ คนพลุกพล่านจริงๆไม่ต้องกลัวว่าจะเดินเปลี่ยนคนเดียวบนถนน
3.มีห้องพักทั้งแบบนอนเดี่ยวและห้องdorm4-8คน หากคิดไม่ตกว่าจะนอนคนเดียวดีหรือ มันจะสิ้นเปลืองไปไหมนะ เราจึงขอแนะนำสำหรับคนที่ลังเลค่ะ คือ นอนมันทั้งสองแบบเลย ของเรานอนแบบเดี่ยว5คืน และdorm 4 คืน เพราะอยากประหยัดงบและอยากคุยกับนักเดินทางคนอื่นด้วย นอกจากนี้ยังไม่แน่ใจว่าการนอนdormมันจะปลอดภัยไหม ก็เลยเลือกแบบไฮบริดโลด ซึ่งเราว่าการนอนdormเนื่ยนะมันได้รสชาติของการมาแบ็คแพ็คอย่างแรงค่ะ เพราะถ้านอนคนเดียวเราก็จะไม่ได้คุยกับใครเลย อย่างนั้นจะไม่สนุกเอานะคะ ข้อดีของการอยู่dormคือ ได้รู้จักคนหลายชาติ ทั้งฝรั่ง มาเล เกาหลี หรือแม้กระทั่งคนญี่ปุ่นจากบ้านนอกมาเที่ยวโตเกียวก็มาพักที่นี่ค่ะ มันสนุกมากๆเลยเมื่อได้คุยกับคนที่มีแนวคิดคล้ายกัน
ข้อเสีย คือ เราต้องคอยระวังของมีค่าที่เราพกไปค่ะ เพราะไม่กล้าไว้ใจใครเหมือนกัน ซึ่งเท่าที่เราสังเกตุเนี่ยทุกคนก็ระวังรักษาของมีค่าของตัวเองอยู่แล้วนะ คือเราว่าถ้าเรากลัวเค้า เค้าก็กลัวเราน่ะแหละค่ะ ฉะนั้นคิดบวกเข้าไว้ค่ะ มันไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเลย คือเป้าหมายของคนไปพักที่นี่เนี่ยคือเน้นเที่ยวเยอะเลยไม่ต้องการเสียค่าที่พักแพง เพราะมันใช้แค่นอนเท่านั้นเอง ฉะนั้นเค้าจึงไม่แคร์ว่าเราจะได้นอนกับใคร ของเราเนี่ยนอนห้อง dormแบบmixค่ะ ซึ่งรวมทั้งหญิงชายไว้เลย (พ่อแม่เราอึ้งไปเลยที่กล้าได้ยังไง) ซึ่งจากที่อยู่มามันไม่มีอะไรเลยจริงๆ อย่างของเราเนี่ยเจอเพื่อนร่วมห้องที่เข้าห้องดึกมากๆ เรานอนตีสองมันยังไม่กลับห้องเลยอ่ะ
ข้อแนะนำในการนอน dorm
-เวลาอาบน้ำ ให้เอากระเป๋าผ้าจากบ้านไปด้วยเพื่อใส่อุปกรณ์อาบน้ำหรือของใช้ส่วนตัว กระเป๋าเงิน พาสปอร์ต หิ้วไปในครั้งเดียว เพื่อของจะได้ไม่หายหรือลืมในห้องน้ำ (จริงๆโรงแรมมีแชมพู สบู่ให้ด้วยนะ)
-ตอนนอน หากระเป๋าเล็กใส่ของมีค่าไว้แล้วนอนกอดไปเลย เพื่อความสบายใจ ไม่ต้องกลัวของหาย
ปล.ที่ห้องdormมีที่ชาร์ตแบตอยู่ตรงปลายเตียงหนึ่งตัว หากใครเอาอุปกรณ์ดิจิตอลไปเยอะ ควรไปหาปลั๊กพ่วงด้วยก็ดี (ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเยอะมากๆ หาซื้อง่าย)
หากนอนเดี่ยวก็ไม่ต้องกังวลอะไรค่ะ ยกเว้นคนไม่กล้านอนคนเดียวก็ไไม่แนะนำนะ เพราะมันจะเงียบมาก ของเรานี่คืนแรกเปิดทีวีทิ้งไว้เลยเพราะยังไม่คุ้นอ่ะแอบกลัวเหมือนกัน แต่ขอบอกว่าท้องฟ้าที่นั่นสว่างเร็วมากมายอ่ะ ตีสี่ครึ่งก็ฟ้าใสเหมือนเจ็ดโมงบ้านเราแล้วอ่ะ
เพิ่มเติม
วิธีการเดินจากป้ายรถบัสลีมูซีน ที่เรานั่งจากนาริตะเข้าโตเกียวไปยังSakura hotel ikebukuroที่เร็วและง่ายสุด (เอาไว้ใช้ตอนขากลับด้วย)
- ลงสุดสายที่โรงแรมMetropolitan tokyoจากนั้นลากกระเป๋าแล้วเดินทุลุโรงแรมไปออกประตูฝั่งตรงข้ามที่เข้ามา
- มองตรงไปข้างหน้าจะเห็นMetropolitan theatreเป็นโรงหนังมั้งคะไม่ได้เดินเข้าไปดู
-จากนั้นเดินไปที่นั่นเลยค่ะ แล้วเลี้ยวขวาเดินอ้อมไปด้านข้างตึกเราผ่านห้างTobuนั่นแสดงว่าเราเดินมาถูกทาง ---จากนั้นให้ตรงยาวๆไปเลยค่ะ เดินไปอีกนิดนึงก็จะเจอสถานีรถไฟเจอาร์ซึ่งทิศนี้คือทิศเหนือค่ะ ให้จำเอาไว้เพื่อเวลาไปเที่ยวแล้วกลับที่พักก็จะออกประตูnorth เพราะถ้าออกทิศอื่นเราก็จะโผล่ไปอีกฟากของใจกลางเมืองเลยก็ได้ค่ะ
-จากนั้นลากกระเป๋าเดินยาวๆผ่านรถไฟเจอาร์ไปเลย เดินมาถึงแยกใหญ่ๆให้เลี้ยวขวาตรงหัวมุมทางลงรถใต้ดินMetro เดินมาอีกหน่อยเตรียมตัวข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่มีร้านราเมงตั้งอยู่ (อร่อยมากบอกเลยราคาถูกด้วย)
-สุดท้ายยิงยาวเดินตรงไปเลยค่ะเดินไปเรื่อยจนเจอร้านเล่นปาจิงโกะ ให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นเราจะเห็นเซเว่นให้เดินไปหามันและเลี้ยวขวาแยกเซเว่น ก็จะเห็นโรงแรมอยู่ตรงหน้าแล้วค่ะ อาจจะอธิบายยาวแต่เวลาเดินแค่3-7นาทีเองค่ะ ขึ้นกับฝีเท้าของเราเอง
7.ใช้พ็อคเก็ตwifiหรือซื้อซิม b-mobile ดีหว่า
ก่อนหน้านั้นเราหาข้อมูลเเละตัดสินใจในอาทิตย์สุดท้ายก่อนบินเลยค่ะ เพราะลังเลมากว่ายังไง
แต่สรุปเราเลือก pocket wifi เพราะ
1.Pocket wifiความเร็วที่75Mb ส่วนsim b-mobile 1Gbหรือซื้อแบบใช้ได้14วัน ซึ่งข้อนี้เราไม่แน่ใจว่าซื้อซิมมันจะพอไหม เพราะเราเน้นใช้ google map ซึ่งน่าจะใช้เน็ตเยอะพอสมควร
2.ค่าใช้จ่าย
-Sim b-mobile (
http://www.bmobile.ne.jp/english/purchase.html) 3791¥+tax&fee ราคาเน็ตจึงน่าจะเกือบ 4000¥ตีเป็นเงินไทยพันกว่าบาท ต้องสั่งในเว็บตามลิงค์และไปรับของที่ญี่ปุ่นเลย ก่อนซื้อกรุณาเช็คในเว็บก่อนว่าซิมพวกนี้รองรับกับมือถือที่ใช้หรือไม่ รวมถึงเช็คเวอร์ชันของ ios หรือ แอนดรอยด้วยค่ะ สำคัญมากๆ ของเราตอนแรกจะเอาซิมแล้วนะ แต่มาเช็คอีกทีตอนนั้นมันไม่รองรับไอแพดที่ ios>7
-Pocket wifi จะสั่งทางเน็ตจากเว็บญี่ปุ่นโดยตรงก็ได้ หรือเช่าจากไทยก็แล้วแต่สะดวกค่ะ (ราคาเช่าที่ไทยแพงกว่านิดหน่อย) ราคารวมขึ้นกับจำนวนวันที่ใช้ เช่น วันละ200บาท ใช้สิบวันก็สองพันซึ่งตัวpocketจะแพงกว่าแน่นอนหากคุณไปหลายวันแบบนี้ และบางเจ้าให้ซื้อประกันไปด้วย แต่เราใช้ของร้านตามลิงค์อ่ะค่ะ (ไม่ได้ค่าโฒษณานะ) เราเลือกได้ว่าจะเอาประกันหรือไม่ เราเลยไม่เอาเพราะมั่นใจในตัวเองสูง รักษายิ่งชีพ ข้อดีถ้าเช่าที่ไทยก็พูดคุยสอบถามอะไรหรือลองเครื่องก่อนบินจริงได้เลย เพราะเราไม่เคยไปก็กังวลมาก ต้องเอาให้ชัวร์ว่าใช้ได้จริงเพราะเหมือนเป็นแผนที่นำทางเลยทีเดียว คือถ้าเน็ตใช้ไม่ได้นี่ชีวิตดับค่ะ เพราะเราใช้ไว้ดูเวลาจะขึ้นรถไฟ และหาสถานที่เที่ยวต่างๆ
3.Pocket wifiจะเป็นภาระไหม ไม่ซื้อประกันมันเสี่ยงไหม (เราเช่าเจ้านี้เพราะมีโปรแถมและลด
http://www.4gpocketwifi.com/)
หลายคนกลัวว่ามันจะเป็นภาระ เพราะต้องคอยระวังรักษา ซึ่งเราว่ามันไม่ต้องกังวลอะไรเลย ขนาดของPocket wifi อันเล็กนิดเดียว น้ำหนักก็เบา แบตอยู่ได้ทั้งวัน ไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ชาร์ตpower blankเพิ่มใดๆ นอกจากนี้ประกันก็ไม่ต้องไปซื้อหรอก เพราะตัวpocketนี้ใส่ในกระเป๋าตลอดเวลา ตอนใช้มันไม่ต้องควักออกมาเลยค่ะ ฉะนั้นมันไม่หายแน่นอน
สรุปคือเราเลือกpocket เพราะอุ่นใจในการเปิดใช้งานมากว่าค่ะ เพราะได้พูดคุยขอคำแนะนำกับเจ้าหน้าที่ได้เลย ซึ่งที่ไปใช้จริงตลอดสิบวันเนี่ย ไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ ใช้ได้ดีและเร็วมากมายตามที่เราต้องการเลยอ่ะ แต่ว่าหากเปิดเครื่องทั้งวันมันจะร้อนนิดนึง ควรปิดเครื่องให้มันได้พักบ้างน้า เดี๋ยวจะเจ๊งแล้วต้องเสียค่าปรับ555
ขั้นตอนการคืนเครื่อง
ก็เมื่อถึงไทยวันไหน อีกวันถัดมาก็เอามาคืนที่บริษัทหรือส่งไปรษณีย์ค่ะ แต่เราเอามาคืนเองเพราะได้ค่าเช่าคืน 1 วัน (^^)
[CR] ผู้หญิงตัวคนเดียว (พาสปอร์ตโล่งสะอาด) ก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นได้นะคะ (ตอนที่2)
6.พักโรงแรมย่านไหนดี
ขอแนะนำให้อยู่ย่านที่คนเยอะๆ พลุกพล่าน เมืองแห่งแสงสีไปเลยค่ะ เพราะเราไปคนเดียวเที่ยวคนเดียว ไปต่างถิ่นก็ต้องเอาจุดที่คนเยอะๆไว้ก่อนเผื่อเที่ยวแล้วกลับดึกก็ยังไม่เงียบสงัดค่ะ เพราะบางเมืองเนี่ยสองทุ่มก็ร้างคนแล้วววว
ของเราอยู่โรงแรมที่คนบ้านพันทิปรีวิวเยอะมากๆ ถึงขนาดมีคำต้อนรับตรงreception ภาษาไทยและมีคู่มือการใช้บริการเป็นภาษาไทยจ้า (ดีมากสำหรับคนขี้เกียจอ่านอังกฤษ) นั่นคือ Sakura hotel Ikebukuro ของเราจองห้องที่โตเกียวทั้งหมด9คืนเลยค่ะ นั่นคือ Sakura hotel ikebukuro ก่อนหน้านั้นเราหาข้อมูลรวมถึงเทียบราคาเยอะเเยะมากมายจนสุดท้ายเลือกที่นี่ตามเพื่อนๆหลายๆคนในห้องบลูน่ะแหละค่ะ เหตุผลก็เพราะคนที่รีวิวบอกว่าราคาไม่แพง และทำเลดีมากใกล้สถานีรถไฟ ซึ่งมันก็ใกล้จริงๆค่ะ สะดวกมากๆถือว่าเป็นใจกลางการเดินทางเลยก็ว่าได้ค่ะ เราว่าสถานีนี้ใหญ่ไม่แพ้สถานีโตเกียวหรือชินจูกุเลยแหละ เราขอสรุปข้อดีข้อเสียข้อเสียตามลำดับนะคะ
1.ใกล้รถไฟสี่สาย ทั้งเจอาร์, รถไฟใต้ดินMetro, รถไฟเอกชนToei line, Tobu line ซึ่งเราขอแนะนำมากถึงมากที่สุด เพราะง่ายต่อการไปเที่ยวที่ต่างๆ เพราะรถไฟสายต่างๆส่วนใหญ่ต้องจอดที่นี่ (ถ้าเคยหาข้อมูลจะทราบว่ารถไฟญี่ปุ่นจะมีสายที่จอดแม่มทุกป้าย=รถไฟหวานเย็น=จะรู้ได้โดยดูป้ายไฟที่ชานชาลาหรือตัวรถไฟที่มีคำว่าLocalต่อท้ายสถานีปลายทางนั้นๆ กะรถไฟจอดเฉพาะป้ายใหญ่ๆสำคัญ=รถด่วน=Rapid line)ซึ่งข้อเสียหากขึ้นผิด คือ จะเสียเวลาเพิ่มขึ้นบางทีเวลาต่างกันครึ่งชม. แต่เราว่าอย่าไปเครียดมากกะเรื่องพวกนี้เลยค่ะ ในเมื่อคุณไปเที่ยวก็ถือซะว่านั่งรถไฟชมวิว หรือนั่งพักขาหลังจากเดินมาเยอะก็ได้ แต่หากไม่มั่นใจก็ถามนายสถานี(ที่เราเจอนะ หน้าตาเหมือนนักร้องเจป๊อปอ่ะค่ะ)
แต่ข้อดีก็มีนะ ของเรานี้ขึ้นสายlocal ตอนขากลับจากเมืองคาวาซากิโดยไม่ตั้งใจ แม่มจอดทั้งสิ้นเกือบ20สถานีค่ะ เราเลยตัดสินใจลงเดินเที่ยวเส้นทางที่มันผ่านอ่ะ วันนั้นสรุปได้เดินสามย่านนะ
2.เป็นย่านคนเมืองไม่เคยหลับไหล แสงสีทั่วทุกมุมถนน ซึ่งเราว่ามันดีมากๆเพราะเราเป็นพวกออกเที่ยวสายและกลับดึกเกือบเที่ยงคืนทุกวัน (เพราะออกนอกโตเกียวจึงใช้เวลาเดินทางหน่อย) มันจึงปลอดภัยตลอดค่ะ คนพลุกพล่านจริงๆไม่ต้องกลัวว่าจะเดินเปลี่ยนคนเดียวบนถนน
3.มีห้องพักทั้งแบบนอนเดี่ยวและห้องdorm4-8คน หากคิดไม่ตกว่าจะนอนคนเดียวดีหรือ มันจะสิ้นเปลืองไปไหมนะ เราจึงขอแนะนำสำหรับคนที่ลังเลค่ะ คือ นอนมันทั้งสองแบบเลย ของเรานอนแบบเดี่ยว5คืน และdorm 4 คืน เพราะอยากประหยัดงบและอยากคุยกับนักเดินทางคนอื่นด้วย นอกจากนี้ยังไม่แน่ใจว่าการนอนdormมันจะปลอดภัยไหม ก็เลยเลือกแบบไฮบริดโลด ซึ่งเราว่าการนอนdormเนื่ยนะมันได้รสชาติของการมาแบ็คแพ็คอย่างแรงค่ะ เพราะถ้านอนคนเดียวเราก็จะไม่ได้คุยกับใครเลย อย่างนั้นจะไม่สนุกเอานะคะ ข้อดีของการอยู่dormคือ ได้รู้จักคนหลายชาติ ทั้งฝรั่ง มาเล เกาหลี หรือแม้กระทั่งคนญี่ปุ่นจากบ้านนอกมาเที่ยวโตเกียวก็มาพักที่นี่ค่ะ มันสนุกมากๆเลยเมื่อได้คุยกับคนที่มีแนวคิดคล้ายกัน
ข้อเสีย คือ เราต้องคอยระวังของมีค่าที่เราพกไปค่ะ เพราะไม่กล้าไว้ใจใครเหมือนกัน ซึ่งเท่าที่เราสังเกตุเนี่ยทุกคนก็ระวังรักษาของมีค่าของตัวเองอยู่แล้วนะ คือเราว่าถ้าเรากลัวเค้า เค้าก็กลัวเราน่ะแหละค่ะ ฉะนั้นคิดบวกเข้าไว้ค่ะ มันไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเลย คือเป้าหมายของคนไปพักที่นี่เนี่ยคือเน้นเที่ยวเยอะเลยไม่ต้องการเสียค่าที่พักแพง เพราะมันใช้แค่นอนเท่านั้นเอง ฉะนั้นเค้าจึงไม่แคร์ว่าเราจะได้นอนกับใคร ของเราเนี่ยนอนห้อง dormแบบmixค่ะ ซึ่งรวมทั้งหญิงชายไว้เลย (พ่อแม่เราอึ้งไปเลยที่กล้าได้ยังไง) ซึ่งจากที่อยู่มามันไม่มีอะไรเลยจริงๆ อย่างของเราเนี่ยเจอเพื่อนร่วมห้องที่เข้าห้องดึกมากๆ เรานอนตีสองมันยังไม่กลับห้องเลยอ่ะ
ข้อแนะนำในการนอน dorm
-เวลาอาบน้ำ ให้เอากระเป๋าผ้าจากบ้านไปด้วยเพื่อใส่อุปกรณ์อาบน้ำหรือของใช้ส่วนตัว กระเป๋าเงิน พาสปอร์ต หิ้วไปในครั้งเดียว เพื่อของจะได้ไม่หายหรือลืมในห้องน้ำ (จริงๆโรงแรมมีแชมพู สบู่ให้ด้วยนะ)
-ตอนนอน หากระเป๋าเล็กใส่ของมีค่าไว้แล้วนอนกอดไปเลย เพื่อความสบายใจ ไม่ต้องกลัวของหาย
ปล.ที่ห้องdormมีที่ชาร์ตแบตอยู่ตรงปลายเตียงหนึ่งตัว หากใครเอาอุปกรณ์ดิจิตอลไปเยอะ ควรไปหาปลั๊กพ่วงด้วยก็ดี (ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเยอะมากๆ หาซื้อง่าย)
หากนอนเดี่ยวก็ไม่ต้องกังวลอะไรค่ะ ยกเว้นคนไม่กล้านอนคนเดียวก็ไไม่แนะนำนะ เพราะมันจะเงียบมาก ของเรานี่คืนแรกเปิดทีวีทิ้งไว้เลยเพราะยังไม่คุ้นอ่ะแอบกลัวเหมือนกัน แต่ขอบอกว่าท้องฟ้าที่นั่นสว่างเร็วมากมายอ่ะ ตีสี่ครึ่งก็ฟ้าใสเหมือนเจ็ดโมงบ้านเราแล้วอ่ะ
เพิ่มเติม
วิธีการเดินจากป้ายรถบัสลีมูซีน ที่เรานั่งจากนาริตะเข้าโตเกียวไปยังSakura hotel ikebukuroที่เร็วและง่ายสุด (เอาไว้ใช้ตอนขากลับด้วย)
- ลงสุดสายที่โรงแรมMetropolitan tokyoจากนั้นลากกระเป๋าแล้วเดินทุลุโรงแรมไปออกประตูฝั่งตรงข้ามที่เข้ามา
- มองตรงไปข้างหน้าจะเห็นMetropolitan theatreเป็นโรงหนังมั้งคะไม่ได้เดินเข้าไปดู
-จากนั้นเดินไปที่นั่นเลยค่ะ แล้วเลี้ยวขวาเดินอ้อมไปด้านข้างตึกเราผ่านห้างTobuนั่นแสดงว่าเราเดินมาถูกทาง ---จากนั้นให้ตรงยาวๆไปเลยค่ะ เดินไปอีกนิดนึงก็จะเจอสถานีรถไฟเจอาร์ซึ่งทิศนี้คือทิศเหนือค่ะ ให้จำเอาไว้เพื่อเวลาไปเที่ยวแล้วกลับที่พักก็จะออกประตูnorth เพราะถ้าออกทิศอื่นเราก็จะโผล่ไปอีกฟากของใจกลางเมืองเลยก็ได้ค่ะ
-จากนั้นลากกระเป๋าเดินยาวๆผ่านรถไฟเจอาร์ไปเลย เดินมาถึงแยกใหญ่ๆให้เลี้ยวขวาตรงหัวมุมทางลงรถใต้ดินMetro เดินมาอีกหน่อยเตรียมตัวข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่มีร้านราเมงตั้งอยู่ (อร่อยมากบอกเลยราคาถูกด้วย)
-สุดท้ายยิงยาวเดินตรงไปเลยค่ะเดินไปเรื่อยจนเจอร้านเล่นปาจิงโกะ ให้เลี้ยวซ้าย จากนั้นเราจะเห็นเซเว่นให้เดินไปหามันและเลี้ยวขวาแยกเซเว่น ก็จะเห็นโรงแรมอยู่ตรงหน้าแล้วค่ะ อาจจะอธิบายยาวแต่เวลาเดินแค่3-7นาทีเองค่ะ ขึ้นกับฝีเท้าของเราเอง
7.ใช้พ็อคเก็ตwifiหรือซื้อซิม b-mobile ดีหว่า
ก่อนหน้านั้นเราหาข้อมูลเเละตัดสินใจในอาทิตย์สุดท้ายก่อนบินเลยค่ะ เพราะลังเลมากว่ายังไง
แต่สรุปเราเลือก pocket wifi เพราะ
1.Pocket wifiความเร็วที่75Mb ส่วนsim b-mobile 1Gbหรือซื้อแบบใช้ได้14วัน ซึ่งข้อนี้เราไม่แน่ใจว่าซื้อซิมมันจะพอไหม เพราะเราเน้นใช้ google map ซึ่งน่าจะใช้เน็ตเยอะพอสมควร
2.ค่าใช้จ่าย
-Sim b-mobile (http://www.bmobile.ne.jp/english/purchase.html) 3791¥+tax&fee ราคาเน็ตจึงน่าจะเกือบ 4000¥ตีเป็นเงินไทยพันกว่าบาท ต้องสั่งในเว็บตามลิงค์และไปรับของที่ญี่ปุ่นเลย ก่อนซื้อกรุณาเช็คในเว็บก่อนว่าซิมพวกนี้รองรับกับมือถือที่ใช้หรือไม่ รวมถึงเช็คเวอร์ชันของ ios หรือ แอนดรอยด้วยค่ะ สำคัญมากๆ ของเราตอนแรกจะเอาซิมแล้วนะ แต่มาเช็คอีกทีตอนนั้นมันไม่รองรับไอแพดที่ ios>7
-Pocket wifi จะสั่งทางเน็ตจากเว็บญี่ปุ่นโดยตรงก็ได้ หรือเช่าจากไทยก็แล้วแต่สะดวกค่ะ (ราคาเช่าที่ไทยแพงกว่านิดหน่อย) ราคารวมขึ้นกับจำนวนวันที่ใช้ เช่น วันละ200บาท ใช้สิบวันก็สองพันซึ่งตัวpocketจะแพงกว่าแน่นอนหากคุณไปหลายวันแบบนี้ และบางเจ้าให้ซื้อประกันไปด้วย แต่เราใช้ของร้านตามลิงค์อ่ะค่ะ (ไม่ได้ค่าโฒษณานะ) เราเลือกได้ว่าจะเอาประกันหรือไม่ เราเลยไม่เอาเพราะมั่นใจในตัวเองสูง รักษายิ่งชีพ ข้อดีถ้าเช่าที่ไทยก็พูดคุยสอบถามอะไรหรือลองเครื่องก่อนบินจริงได้เลย เพราะเราไม่เคยไปก็กังวลมาก ต้องเอาให้ชัวร์ว่าใช้ได้จริงเพราะเหมือนเป็นแผนที่นำทางเลยทีเดียว คือถ้าเน็ตใช้ไม่ได้นี่ชีวิตดับค่ะ เพราะเราใช้ไว้ดูเวลาจะขึ้นรถไฟ และหาสถานที่เที่ยวต่างๆ
3.Pocket wifiจะเป็นภาระไหม ไม่ซื้อประกันมันเสี่ยงไหม (เราเช่าเจ้านี้เพราะมีโปรแถมและลด http://www.4gpocketwifi.com/)
หลายคนกลัวว่ามันจะเป็นภาระ เพราะต้องคอยระวังรักษา ซึ่งเราว่ามันไม่ต้องกังวลอะไรเลย ขนาดของPocket wifi อันเล็กนิดเดียว น้ำหนักก็เบา แบตอยู่ได้ทั้งวัน ไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ชาร์ตpower blankเพิ่มใดๆ นอกจากนี้ประกันก็ไม่ต้องไปซื้อหรอก เพราะตัวpocketนี้ใส่ในกระเป๋าตลอดเวลา ตอนใช้มันไม่ต้องควักออกมาเลยค่ะ ฉะนั้นมันไม่หายแน่นอน
สรุปคือเราเลือกpocket เพราะอุ่นใจในการเปิดใช้งานมากว่าค่ะ เพราะได้พูดคุยขอคำแนะนำกับเจ้าหน้าที่ได้เลย ซึ่งที่ไปใช้จริงตลอดสิบวันเนี่ย ไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ ใช้ได้ดีและเร็วมากมายตามที่เราต้องการเลยอ่ะ แต่ว่าหากเปิดเครื่องทั้งวันมันจะร้อนนิดนึง ควรปิดเครื่องให้มันได้พักบ้างน้า เดี๋ยวจะเจ๊งแล้วต้องเสียค่าปรับ555
ขั้นตอนการคืนเครื่อง
ก็เมื่อถึงไทยวันไหน อีกวันถัดมาก็เอามาคืนที่บริษัทหรือส่งไปรษณีย์ค่ะ แต่เราเอามาคืนเองเพราะได้ค่าเช่าคืน 1 วัน (^^)