เมื่อคืนก็ลุ้นตัวโก่งกับ เหล่านักเตะทีม กังหันสีส้ม แล้วก็ชนะไปอย่างงดงาม ... มันทำให้หัวใจเราชุ่มชื่นโดยแท้ ส่วนรอบต่อไปจะเป็นยังไง ต้องคอยลุ้นกันต่อ แต่จะแพ้หรือชนะก็ช่าง ยังไงเราก็ Hup Holland Hup! (ฮา)
ระหว่างรอภาคต่อของ
กระทู้รีวิวรูปถ่ายอันน่าประทับใจจาก ลูกเรือ Maersk ภาค 2 ก็เอารีวิวเรื่องของเมือง Den Bosch เมืองทางไต้ของ ฮอลแลนด์ ที่มีโอกาศได้ไปเที่ยว มาลงก่อน หวังว่าจะได้รับการติดตามจากผู้อ่านเหมือนเช่นเคยนะคะ
ที่แรกใน ฮอลแลนด์ ที่ได้ไปเที่ยว หลังจาก มาถึง เป็นที่แรก คือ เมือง Den Bosch (เดนบอช) หรือ 's-Hertogenbosch (เซอร์โทเคนบอช) เป็นเมืองเล็กๆ ที่เรียกว่า เมืองพี่ - เมืองน้อง กับ waalwijk กันเลยทีเดียว เพราะห่างกันแค่ 20 กิโลเมตร Den Bosch เป็นเมืองที่สงบเงียบ มีปราสาทหินที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป และ มีของอร่อยขึ้นชื่อ เป็นที่รู้จักกัน นั่นคือ ช็อคโกแลคบอล สอดใส้ ครีมแสนอร่อย ที่ชื่อว่า Bossche Bol ร้าน ที่ Den Bosch นี่ถือเป็น ต้นตำหรับของ ขนมประเภทนี้กันเลยทีเดียว คนฮอลแลนด์ ถึงกับพูดว่า ต้องมากินที่นี่เท่านั้น มันถึงจะฟิน!
ระหว่างทาง เราก็เห่อ ถ่ายรูป ตื่นเต้นไปหมด กับ บรรดา Dijk หรือ กังหันลมรุ่นใหม่ๆ ระหว่างนี้ ก็มองหาแต่ Dijk รุ่นเก่าๆ ต้นตำหรับ ไปเรื่อยๆ มาประเทศแห่งกังหันลมทั้งที นี่นะ
หลังจาก ขับรถมาจาก Waalwijk ประมาณ 20 นาที ก็ถึง Den Bosch ความรู้สึกแรก ที่ไปถึง คือ หนาว - สงบ นี่เป็นการไป ยุโรปครั้งแรกของเรา มันเลยทำให้ทุกๆอย่าง แม้กระทั่ง ของที่ธรรมดาสามัญมากๆ เช่น ต้นไม้ - ที่จอดรถ - ป้ายภาษาดัตซ์ ต่างๆ ที่เราอ่านไม่ออก หรือแม้แต่ หนุ่มๆ - สาวๆ ที่เดินไปเดินมา แต่ละคน หน้าตาหล่อ-สวย อย่างกับนายแบบ - นางแบบ หลุดออกมาจาก นิตยสาร มันช่างเป็นประเทศแห่งคนหน้าตาดีโดยแท้...
Den Bosch เป็นเมือง ทางไต้ ที่เงียบสงบ จึงเหมาะสำหรับคนที่ ชอบ ความเรียบง่าย แต่ ทันสมัย สะอาด เป็นระเบียบ เรียบร้อย และ ผู้คนเป็นมิตร เนื่องจาก คงไม่ค่อยมีพวกหัวดำ แบบเรา ไปเดินชมเมืองซักเท่าไหร่ เลยกลายเป็นจุดเด่นไปซะงั้น เดินไปทางไหน จะมีสายตาของ หนุ่มๆ หล่อๆ ย้ำว่า หล่อๆๆๆๆ มองตามมาเสมอ อา.. ความรู้สึกของ เซเลบ มันเป็นแบบนี้นี่เองงงงง (เคลิ้ม)
บรรยากาศถนนในเมือง ...
บนสะพานข้ามแม่น้ำ
วันที่ไปถึงนี่ ลมแรงมากกกกก อากาศ ประมาณ 1 องศา รองเท้าที่ เตรียมไป สำหรับสู้หนาวโดยเฉพาะ ก็กันความหนาวไม่อยู่ นิ้วเท้า และ หน้า เริ่มชา ....แต่ไม่เป็นไร ศรีทนได้ หลังจากที่ เดินเคลิบเคิ้ม มาซักพัก ให้ลมโกรก พอหัวฟู แบบหอมปากหอมคอ จากที่จอดรถ เราก็มาถึง Draak (dragon) รูปปั้น มังกรทอง ที่ Den bosch station square ตรงนี้จะมี สะพานข้าม แม่น้ำ Dommel ซึ่งถ้าเดินเลยไป ก็จะเป็น Den Bosch Centrum (Center) ซึ่งในทุกๆเมืองของ ฮอนแลนด์ จะมี Centrum เป็นของตัวเอง เพื่อจัดกิจกรรม กลางแจ้งต่างๆ และ ใช้เป็นจุดนัดพบ ฯลฯ
เสียดายจัง ตอนที่เราไป พลาดกัน แค่ 1 สัปดาห์ ที่ Den Bosch Centrum มีมินิคอนเสริต์ของ Guus Meeuwis สามี ตัวจริงของเราเอง ฮ่าๆๆ
ไม่งั้นคงได้มีโอกาศเห็นตัวเธอแบบใก้ลๆ
เดี๋ยวจะเขียนเรื่องของ Guus ในโพสต่อๆไปนะ
เอาหน้าตาของ Guus Meeuwis ให้ดูกันก่อน (ลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด) รักนะ เด็กอ้วน (ฮา)
อ่ะๆๆ ออกอ่าวไปซะแล้ว กลับมาที่ รูปปั้นมังกรทอง กันดีกว่า
Den Bosch Centrum .....
เดินชมบรรยากาศในเมือง ... เดิน เดิน แล้ว ก็เดิน ผ่านหน้าร้าน ที่ทำ Bossche Bol ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้... ถนนหน้าร้านกำลังซ่อมอยู่
อาจเป็นเพราะ อากาศหนาวเย็น เลยเดินได้เรื่อยๆ แบบ ไม่เหนื่อย กว่าจะรู้ตัวว่าเหนื่อย ก็ตอนที่กลับไปบ้านน่ะล่ะ ปวดเท้าไปหมด ....เดินชมเมืองมาเรื่อยๆ ก็เจอ โบสถ์ Saint John's Cathedral โบสถ์หิน อายุกว่า 800 ปี ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง ของยุโรป
ด้านหน้า...
วันนี้ ไม่มี คนมาทัวร์ชมโบสถ์ เลย ซักคน เลยมีแต่เรา ที่ไป ไกด์ส่วนตัวของเรา ขอให้คุณลุง ที่เป็นไกด์ประจำโบสถ์ อธิบาย เป็นภาษาอังกฤษ แทนภาษาดัตซ์ โชคดี ที่คุณลุง แก สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เราเลยเริ่มทริป ทัวร์โบสถ์ ด้วยคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ ได้ความประมาณว่า ....
Den Bosch เป็นเมืองเก่า ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ตั้งแต่ สมัยยุค พระเจ้า หลุยส์ที่ 16 ทั้งยังเป็นเมืองที่ มีโบราณสถานมากมาย มีโบสถ์หิน ที่เก่าแก่ และถือว่า สวยงามที่สุดใน ฮอลแลนด์ ที่ชื่อว่า Saint John's Cathedral ใครที่ชื่นชอบ โบสถ์ แบบ ศิลปะตะวันตก ไม่ควรพลาด
Den Bosch ยังเป็นทางผ่านของ แม่น้ำ Dommel ที่ไหลไปจนถึงประเทศ เบลเยี่ยม อีกด้วย
ด้านบนเพดาน มีการเขียนลวดลายสวยงาม ผลจากสงคราม ทำให้บางส่วนของ โบสถ์ และ เพดาน ถูกไฟไหม้ เสียหาย ภายหลังจากที่ได้รับการบูรณะ ขึ้นมาใหม่ เลย คงส่วนที่ถูกไฟใหม้เอาไว้แบบนั้น
โบสถ์ Saint John's Cathedral ผ่านการบูรณะ ต่อเติมเรื่อยมา จาก โบสถ์หลังเก่า ขนาดเล็ก กลายเป็นโบสถ์หลังใหญ่ ที่ส่วนต่อเติม ครอบส่วนเก่า เอาไว้ ...แอบเสียดาย ที่ไม่ได้เก็บแผ่นพับ ที่อธิบายรายละเอียด และ แบบจำลองการต่อเติมไว้ ว่าส่วนไหน ของโบสถ์ ถูกต่อเติมขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ ใด..
ส่วนของปรัมพิธี เวลาที่มีพิธี ต่างๆ คนในสมัยโบราณก็ช่างคิด เพราะการที่จะพูดให้คนหมู่มากได้ยินกันให้ทั่วถึงโดยไม่ใช้เครื่องขยายเสียงหรือ ไมค์โครโฟน ช่วย ต้องใช้พลังในการพูด และ ตำแหน่งของการยืนก็เป็นเรื่องสำคัญ การออกแบบภายในโบสถ์ ก็มีส่วนช่วยสะท้อนเสียงด้วย
โบสถ์ Saint John's Cathedral ยังมี ออแกน ตัวที่ใหญที่สุดใน ฮอลแลนด์ เวลามีงานพิธีสำคัญ ก็จะถูกเล่น เพลงต่างๆ เทียบกับตัวคนที่ยืนอยู่ด้านล่างดู ก็จะเห็นว่า ขนาดของ ออแกน ใหญ่ขนาดใหน....
ถัดมาจาก ออแกน จะเป็นส่วนประตูทางออกด้านข้างโบสถ์ อีกด้านหนึ่ง ที่นี่ ในสมัยแรกที่เริ่มสร้างโบสถ์ จะมีหอระฆัง อยู่ที่นี่ เมื่อเวลาผ่านไป โบสถ์ ผ่านการต่อเติม จึงได้ทำส่วนครอบ ฐานระฆัง เอาไว้ รูตรงมุมบนของภาพที่เห็นนั้น คือ ช่องแขวนระฆัง ซึ่งตอนนี้ถูกปิดตายไปแล้ว เราลองไปยืนตรงตำแหน่งนี้ แล้วมองขึ้นไปรู้สึกเสียวๆ เย็นๆ ยังไงไม่รู้.... เหมือนระฆังจะตกใส่หัว ทั้งๆที่มันไม่มี...
โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบ ศิลปะ ยุโรป มาก เลยรู้สึกอิ่มเอม เวลาที่ได้ ไปสถานที่แบบนี้ เดินชมโบสถ์ ก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังคุณลุงแก ... ไกด์ส่วนตัวเรา ดูจะเพลิดเพลินกว่า ส่วนเราก็เอาแต่ จ้องเสาหินมั่ง ดูพื้นมั่ง สนใจรายละเอียดของ รูปวาด และ รูปแกะสลัก ที่อยู่ในโบสถ์ บนพื้นโบสถ์ยังมีคำจารึก ที่เป็นคำเขียนหน้าหลุมฝังศพของอัศวิน ที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติอีกด้วย
ป้ายหลุมศพของ อัศวิน มีแต่ป้ายนะจ๊ะ ไม่มี ศพ อยู่ข้างล่างSmiley
อยู่ข้างนอกว่าหนาวแล้ว เข้ามาใบโบสถ์ นึกว่าจะอุ่นขึ้นซักนิด ที่ไหนได้ หนาวกว่าเดิม จำได้ว่า หายใจออกมาเป็นควันเลย... ไกด์ส่วนตัวเรา บอกว่า เพราะเป็นโบสถ์หิน เลยหนาว .... เรางี้ได้แต่เดินตัวสั่นเป็นลูกนก หนาวจริงไรจริง
ชอบกระจกสี ที่หน้าต่าง โดยส่วนมากเราจะชอบ กระจกสี ที่ทำตามแบบบศิลปะ แบบ ยุคเก่า มากกว่า ยุคใหม่ เพราะ การจัดวางรูปแบบ และ เรื่องราวบนกระจกสี จะสวยแบบคลาสสิคมากกว่า
กระจกสี แบบศิลปะสมัยเก่า
กระจกสี แบบศิลปะสมัยใหม่
บนเพดานโบสถ์ มีรูปวาดที่เรียกว่า ตาของพระเจ้า คุณลุงไกด์ บอกว่า เปรียบเหมือน พระเจ้า คอยมองลงมายังโลกมนุษย์เสมอ เพื่อ ช่วยเหลือมนุษย์ ....
ในโบสถ์ ส่วนที่มีไว้ในนั่งอษิฐานขอพรกับพระเจ้า จะสงบมาก และ ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป วันนั้น ก็จะมี คุณปู่คุณย่า มานั่งสวดมนต์กัน แลดูสงบมาก บรรยากาศในโบสถ์ เงียบซะจนแทบได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง เวลาที่เรา ยืนอยู่ ณ ที่แห่ง นี้ เรา แม้ว่าเราจะไม่ใช่คริสเตียน แต่ก็รู้สึกสงบและสบายใจแบบบอกไม่ถูก
เราเดินดูจนทั่ว พอไก้ลจบการบรรยาย คุณลุงไกด์ ก็ถามเราว่า เราเป็นคนที่ไหน? เราบอกว่า เราเป็นคนไทย คุณลุงแกบอกว่า ตั้งแต่ทำงานเป็นไกด์พิเศษของ โบสถ์มา ไม่ค่อยได้เจอคยไทยเลย เลยมาจับมือเราใหญ่ ประทับใจคนดัตซ์ นะ ส่วนมากจะใจดีและสุภาพ ยิ่งถ้าเป็นเมืองต่างจังหวัดของ ฮอลแลนด์ แล้ว คนท้องที่จะใจดีมาก น่ารัก บริการประทับใจ ....
มาฮอลแลนด์ ครั้งนี้ เกิดอุบัติเหตุเล็กๆขึ้น คือ กล้องที่เราเอาไปด้วย โดนความเย็นจัด เลยทำให้ ตัวกล้องขยาย ดันจนเลนส์ เกือบเบี้ยว ดีนะที่ยังใช้ถ่ายรูปได้อยู่ กว่าเราจะเห็นก็ปาเข้าไปวันที่ 3 ของการอยู่ที่ ฮอลแลนด์ แล้ว ไกด์ส่วนตัวเราแกะ ซ่อมให้ นี่เป็นครั้งแรกที่เคยเจอว่า อากาศเย็นมีผลต่อกล้องแบบนี้
หลังจากที่เดินดูโบสถ์ และ ซึมซับบรรยากาศ จนหนำใจ และ จบการบรรยาย พวกเราก็ลาคุณลุงไกด์ เพื่อไปหาอะไรกินกัน ก่อนที่จะ ไปเยี่ยมพ่อ-แม่ ของ ไกด์ส่วนตัวเรา เพื่อกินอาหารเย็น เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้น ว่า ถ้ามาถึง Den Bosch แล้ว ไม่ได้กิน Bossche Bol คงเหมือนมาไม่ถึง ฉนั้น จัดไป อย่าให้เสีย ...
เวลาอากาศหนาวแล้ว กินกาแฟร้อนๆ กับ ขนมแสนอร่อยนี่ มันให้ความรู้สึกที่ดีมาก... ไข่ใบเล็กๆ ที่เห็นวางอยู่ในจานขนม นั่นคือ ไข่ อีสเตอร์ ช่วงนี้เป็นช่วง อีสเตอร์ พอดี ร้านเลยเสริฟ์ ไข่อีสเตอร์ ฟรี ด้วย
ตอนนี้ เห็นรูปแล้วก็อยากกินอีก ถ้าใครมีโอกาสได้ผ่านไป อย่าลืมแวะชิมให้ได้นะคะ รับประกันความอร่อย
โพสนี้ก็จบเรื่องของ ทัวร์เมือง Den Bosch ไว้แค่นี้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจ้า จนกว่าจะพบกันใหม่ รีวิวหน้า
ฝากรีวิวแรกอีกซักรอบนะคะ ที่นี่เลย
<รีวิว> รูปถ่ายอันน่าประทับใจจาก ลูกเรือ Maersk
[CR] เที่ยวเมือง Den Bosch,The Netherlands แวะชิม Bossche Bol แสนอร่อย
ระหว่างรอภาคต่อของ กระทู้รีวิวรูปถ่ายอันน่าประทับใจจาก ลูกเรือ Maersk ภาค 2 ก็เอารีวิวเรื่องของเมือง Den Bosch เมืองทางไต้ของ ฮอลแลนด์ ที่มีโอกาศได้ไปเที่ยว มาลงก่อน หวังว่าจะได้รับการติดตามจากผู้อ่านเหมือนเช่นเคยนะคะ
ที่แรกใน ฮอลแลนด์ ที่ได้ไปเที่ยว หลังจาก มาถึง เป็นที่แรก คือ เมือง Den Bosch (เดนบอช) หรือ 's-Hertogenbosch (เซอร์โทเคนบอช) เป็นเมืองเล็กๆ ที่เรียกว่า เมืองพี่ - เมืองน้อง กับ waalwijk กันเลยทีเดียว เพราะห่างกันแค่ 20 กิโลเมตร Den Bosch เป็นเมืองที่สงบเงียบ มีปราสาทหินที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป และ มีของอร่อยขึ้นชื่อ เป็นที่รู้จักกัน นั่นคือ ช็อคโกแลคบอล สอดใส้ ครีมแสนอร่อย ที่ชื่อว่า Bossche Bol ร้าน ที่ Den Bosch นี่ถือเป็น ต้นตำหรับของ ขนมประเภทนี้กันเลยทีเดียว คนฮอลแลนด์ ถึงกับพูดว่า ต้องมากินที่นี่เท่านั้น มันถึงจะฟิน!
ระหว่างทาง เราก็เห่อ ถ่ายรูป ตื่นเต้นไปหมด กับ บรรดา Dijk หรือ กังหันลมรุ่นใหม่ๆ ระหว่างนี้ ก็มองหาแต่ Dijk รุ่นเก่าๆ ต้นตำหรับ ไปเรื่อยๆ มาประเทศแห่งกังหันลมทั้งที นี่นะ
หลังจาก ขับรถมาจาก Waalwijk ประมาณ 20 นาที ก็ถึง Den Bosch ความรู้สึกแรก ที่ไปถึง คือ หนาว - สงบ นี่เป็นการไป ยุโรปครั้งแรกของเรา มันเลยทำให้ทุกๆอย่าง แม้กระทั่ง ของที่ธรรมดาสามัญมากๆ เช่น ต้นไม้ - ที่จอดรถ - ป้ายภาษาดัตซ์ ต่างๆ ที่เราอ่านไม่ออก หรือแม้แต่ หนุ่มๆ - สาวๆ ที่เดินไปเดินมา แต่ละคน หน้าตาหล่อ-สวย อย่างกับนายแบบ - นางแบบ หลุดออกมาจาก นิตยสาร มันช่างเป็นประเทศแห่งคนหน้าตาดีโดยแท้...
Den Bosch เป็นเมือง ทางไต้ ที่เงียบสงบ จึงเหมาะสำหรับคนที่ ชอบ ความเรียบง่าย แต่ ทันสมัย สะอาด เป็นระเบียบ เรียบร้อย และ ผู้คนเป็นมิตร เนื่องจาก คงไม่ค่อยมีพวกหัวดำ แบบเรา ไปเดินชมเมืองซักเท่าไหร่ เลยกลายเป็นจุดเด่นไปซะงั้น เดินไปทางไหน จะมีสายตาของ หนุ่มๆ หล่อๆ ย้ำว่า หล่อๆๆๆๆ มองตามมาเสมอ อา.. ความรู้สึกของ เซเลบ มันเป็นแบบนี้นี่เองงงงง (เคลิ้ม)
บรรยากาศถนนในเมือง ...
บนสะพานข้ามแม่น้ำ
วันที่ไปถึงนี่ ลมแรงมากกกกก อากาศ ประมาณ 1 องศา รองเท้าที่ เตรียมไป สำหรับสู้หนาวโดยเฉพาะ ก็กันความหนาวไม่อยู่ นิ้วเท้า และ หน้า เริ่มชา ....แต่ไม่เป็นไร ศรีทนได้ หลังจากที่ เดินเคลิบเคิ้ม มาซักพัก ให้ลมโกรก พอหัวฟู แบบหอมปากหอมคอ จากที่จอดรถ เราก็มาถึง Draak (dragon) รูปปั้น มังกรทอง ที่ Den bosch station square ตรงนี้จะมี สะพานข้าม แม่น้ำ Dommel ซึ่งถ้าเดินเลยไป ก็จะเป็น Den Bosch Centrum (Center) ซึ่งในทุกๆเมืองของ ฮอนแลนด์ จะมี Centrum เป็นของตัวเอง เพื่อจัดกิจกรรม กลางแจ้งต่างๆ และ ใช้เป็นจุดนัดพบ ฯลฯ
เสียดายจัง ตอนที่เราไป พลาดกัน แค่ 1 สัปดาห์ ที่ Den Bosch Centrum มีมินิคอนเสริต์ของ Guus Meeuwis สามี ตัวจริงของเราเอง ฮ่าๆๆ
เดี๋ยวจะเขียนเรื่องของ Guus ในโพสต่อๆไปนะ
เอาหน้าตาของ Guus Meeuwis ให้ดูกันก่อน (ลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด) รักนะ เด็กอ้วน (ฮา)
อ่ะๆๆ ออกอ่าวไปซะแล้ว กลับมาที่ รูปปั้นมังกรทอง กันดีกว่า
Den Bosch Centrum .....
เดินชมบรรยากาศในเมือง ... เดิน เดิน แล้ว ก็เดิน ผ่านหน้าร้าน ที่ทำ Bossche Bol ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองนี้... ถนนหน้าร้านกำลังซ่อมอยู่
อาจเป็นเพราะ อากาศหนาวเย็น เลยเดินได้เรื่อยๆ แบบ ไม่เหนื่อย กว่าจะรู้ตัวว่าเหนื่อย ก็ตอนที่กลับไปบ้านน่ะล่ะ ปวดเท้าไปหมด ....เดินชมเมืองมาเรื่อยๆ ก็เจอ โบสถ์ Saint John's Cathedral โบสถ์หิน อายุกว่า 800 ปี ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง ของยุโรป
ด้านหน้า...
วันนี้ ไม่มี คนมาทัวร์ชมโบสถ์ เลย ซักคน เลยมีแต่เรา ที่ไป ไกด์ส่วนตัวของเรา ขอให้คุณลุง ที่เป็นไกด์ประจำโบสถ์ อธิบาย เป็นภาษาอังกฤษ แทนภาษาดัตซ์ โชคดี ที่คุณลุง แก สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ เราเลยเริ่มทริป ทัวร์โบสถ์ ด้วยคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ ได้ความประมาณว่า ....
Den Bosch เป็นเมืองเก่า ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน ตั้งแต่ สมัยยุค พระเจ้า หลุยส์ที่ 16 ทั้งยังเป็นเมืองที่ มีโบราณสถานมากมาย มีโบสถ์หิน ที่เก่าแก่ และถือว่า สวยงามที่สุดใน ฮอลแลนด์ ที่ชื่อว่า Saint John's Cathedral ใครที่ชื่นชอบ โบสถ์ แบบ ศิลปะตะวันตก ไม่ควรพลาด
Den Bosch ยังเป็นทางผ่านของ แม่น้ำ Dommel ที่ไหลไปจนถึงประเทศ เบลเยี่ยม อีกด้วย
ด้านบนเพดาน มีการเขียนลวดลายสวยงาม ผลจากสงคราม ทำให้บางส่วนของ โบสถ์ และ เพดาน ถูกไฟไหม้ เสียหาย ภายหลังจากที่ได้รับการบูรณะ ขึ้นมาใหม่ เลย คงส่วนที่ถูกไฟใหม้เอาไว้แบบนั้น
โบสถ์ Saint John's Cathedral ผ่านการบูรณะ ต่อเติมเรื่อยมา จาก โบสถ์หลังเก่า ขนาดเล็ก กลายเป็นโบสถ์หลังใหญ่ ที่ส่วนต่อเติม ครอบส่วนเก่า เอาไว้ ...แอบเสียดาย ที่ไม่ได้เก็บแผ่นพับ ที่อธิบายรายละเอียด และ แบบจำลองการต่อเติมไว้ ว่าส่วนไหน ของโบสถ์ ถูกต่อเติมขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ ใด..
ส่วนของปรัมพิธี เวลาที่มีพิธี ต่างๆ คนในสมัยโบราณก็ช่างคิด เพราะการที่จะพูดให้คนหมู่มากได้ยินกันให้ทั่วถึงโดยไม่ใช้เครื่องขยายเสียงหรือ ไมค์โครโฟน ช่วย ต้องใช้พลังในการพูด และ ตำแหน่งของการยืนก็เป็นเรื่องสำคัญ การออกแบบภายในโบสถ์ ก็มีส่วนช่วยสะท้อนเสียงด้วย
โบสถ์ Saint John's Cathedral ยังมี ออแกน ตัวที่ใหญที่สุดใน ฮอลแลนด์ เวลามีงานพิธีสำคัญ ก็จะถูกเล่น เพลงต่างๆ เทียบกับตัวคนที่ยืนอยู่ด้านล่างดู ก็จะเห็นว่า ขนาดของ ออแกน ใหญ่ขนาดใหน....
ถัดมาจาก ออแกน จะเป็นส่วนประตูทางออกด้านข้างโบสถ์ อีกด้านหนึ่ง ที่นี่ ในสมัยแรกที่เริ่มสร้างโบสถ์ จะมีหอระฆัง อยู่ที่นี่ เมื่อเวลาผ่านไป โบสถ์ ผ่านการต่อเติม จึงได้ทำส่วนครอบ ฐานระฆัง เอาไว้ รูตรงมุมบนของภาพที่เห็นนั้น คือ ช่องแขวนระฆัง ซึ่งตอนนี้ถูกปิดตายไปแล้ว เราลองไปยืนตรงตำแหน่งนี้ แล้วมองขึ้นไปรู้สึกเสียวๆ เย็นๆ ยังไงไม่รู้.... เหมือนระฆังจะตกใส่หัว ทั้งๆที่มันไม่มี...
โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบ ศิลปะ ยุโรป มาก เลยรู้สึกอิ่มเอม เวลาที่ได้ ไปสถานที่แบบนี้ เดินชมโบสถ์ ก็ไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังคุณลุงแก ... ไกด์ส่วนตัวเรา ดูจะเพลิดเพลินกว่า ส่วนเราก็เอาแต่ จ้องเสาหินมั่ง ดูพื้นมั่ง สนใจรายละเอียดของ รูปวาด และ รูปแกะสลัก ที่อยู่ในโบสถ์ บนพื้นโบสถ์ยังมีคำจารึก ที่เป็นคำเขียนหน้าหลุมฝังศพของอัศวิน ที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติอีกด้วย
ป้ายหลุมศพของ อัศวิน มีแต่ป้ายนะจ๊ะ ไม่มี ศพ อยู่ข้างล่างSmiley
อยู่ข้างนอกว่าหนาวแล้ว เข้ามาใบโบสถ์ นึกว่าจะอุ่นขึ้นซักนิด ที่ไหนได้ หนาวกว่าเดิม จำได้ว่า หายใจออกมาเป็นควันเลย... ไกด์ส่วนตัวเรา บอกว่า เพราะเป็นโบสถ์หิน เลยหนาว .... เรางี้ได้แต่เดินตัวสั่นเป็นลูกนก หนาวจริงไรจริง
ชอบกระจกสี ที่หน้าต่าง โดยส่วนมากเราจะชอบ กระจกสี ที่ทำตามแบบบศิลปะ แบบ ยุคเก่า มากกว่า ยุคใหม่ เพราะ การจัดวางรูปแบบ และ เรื่องราวบนกระจกสี จะสวยแบบคลาสสิคมากกว่า
กระจกสี แบบศิลปะสมัยเก่า
กระจกสี แบบศิลปะสมัยใหม่
บนเพดานโบสถ์ มีรูปวาดที่เรียกว่า ตาของพระเจ้า คุณลุงไกด์ บอกว่า เปรียบเหมือน พระเจ้า คอยมองลงมายังโลกมนุษย์เสมอ เพื่อ ช่วยเหลือมนุษย์ ....
ในโบสถ์ ส่วนที่มีไว้ในนั่งอษิฐานขอพรกับพระเจ้า จะสงบมาก และ ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป วันนั้น ก็จะมี คุณปู่คุณย่า มานั่งสวดมนต์กัน แลดูสงบมาก บรรยากาศในโบสถ์ เงียบซะจนแทบได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง เวลาที่เรา ยืนอยู่ ณ ที่แห่ง นี้ เรา แม้ว่าเราจะไม่ใช่คริสเตียน แต่ก็รู้สึกสงบและสบายใจแบบบอกไม่ถูก
เราเดินดูจนทั่ว พอไก้ลจบการบรรยาย คุณลุงไกด์ ก็ถามเราว่า เราเป็นคนที่ไหน? เราบอกว่า เราเป็นคนไทย คุณลุงแกบอกว่า ตั้งแต่ทำงานเป็นไกด์พิเศษของ โบสถ์มา ไม่ค่อยได้เจอคยไทยเลย เลยมาจับมือเราใหญ่ ประทับใจคนดัตซ์ นะ ส่วนมากจะใจดีและสุภาพ ยิ่งถ้าเป็นเมืองต่างจังหวัดของ ฮอลแลนด์ แล้ว คนท้องที่จะใจดีมาก น่ารัก บริการประทับใจ ....
มาฮอลแลนด์ ครั้งนี้ เกิดอุบัติเหตุเล็กๆขึ้น คือ กล้องที่เราเอาไปด้วย โดนความเย็นจัด เลยทำให้ ตัวกล้องขยาย ดันจนเลนส์ เกือบเบี้ยว ดีนะที่ยังใช้ถ่ายรูปได้อยู่ กว่าเราจะเห็นก็ปาเข้าไปวันที่ 3 ของการอยู่ที่ ฮอลแลนด์ แล้ว ไกด์ส่วนตัวเราแกะ ซ่อมให้ นี่เป็นครั้งแรกที่เคยเจอว่า อากาศเย็นมีผลต่อกล้องแบบนี้
หลังจากที่เดินดูโบสถ์ และ ซึมซับบรรยากาศ จนหนำใจ และ จบการบรรยาย พวกเราก็ลาคุณลุงไกด์ เพื่อไปหาอะไรกินกัน ก่อนที่จะ ไปเยี่ยมพ่อ-แม่ ของ ไกด์ส่วนตัวเรา เพื่อกินอาหารเย็น เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้น ว่า ถ้ามาถึง Den Bosch แล้ว ไม่ได้กิน Bossche Bol คงเหมือนมาไม่ถึง ฉนั้น จัดไป อย่าให้เสีย ...
เวลาอากาศหนาวแล้ว กินกาแฟร้อนๆ กับ ขนมแสนอร่อยนี่ มันให้ความรู้สึกที่ดีมาก... ไข่ใบเล็กๆ ที่เห็นวางอยู่ในจานขนม นั่นคือ ไข่ อีสเตอร์ ช่วงนี้เป็นช่วง อีสเตอร์ พอดี ร้านเลยเสริฟ์ ไข่อีสเตอร์ ฟรี ด้วย
ตอนนี้ เห็นรูปแล้วก็อยากกินอีก ถ้าใครมีโอกาสได้ผ่านไป อย่าลืมแวะชิมให้ได้นะคะ รับประกันความอร่อย
โพสนี้ก็จบเรื่องของ ทัวร์เมือง Den Bosch ไว้แค่นี้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจ้า จนกว่าจะพบกันใหม่ รีวิวหน้า
ฝากรีวิวแรกอีกซักรอบนะคะ ที่นี่เลย <รีวิว> รูปถ่ายอันน่าประทับใจจาก ลูกเรือ Maersk
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น