กริ๊ง!!!!!! เสียงสัญญาณเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนส่วนใหญ่กำลังเตรียมตัวที่จะเดินทางกลับบ้าน แต่ก็ยังคงมีนักเรียนบางกลุ่มที่ยังคงมีแผนจะไปทำสิ่งต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็น นัดกันไปขับมอเตอร์ไซค์เล่น นัดกันไปต่อยหลังโรงเรียน หรือจะนัดกันไปมั่วสุมกันที่ต่างๆ
ส่วนตัวผมเหรอ ถ้าถามว่าผมอยู่ในกลุ่มไหน? บอกได้เลยว่าไม่ แล้วถ้าถามต่อไปว่าทำไม?
ผมก็จะบอกให้ฟังง่ายๆว่าวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของผมและผมยังเป็นเด็กใหม่ที่ไม่มีใครสนใจอะไรมากนัก ''จึงไม่น่าแปลกที่คนอย่างผมยังคงนั่งอยู่คนเดียวใต้ต้นแจงหลังโรงเรียนเลิก''
แต่ ถ้าคุณถามว่าผมมีแผนจะทำอะไรหลังเลิกเรียน?
''ผมก็จะตอบง่ายๆว่าตอนนี้ผมกำลังจ้องมองไปยังกลุ่มเพื่อนร่วมห้องหญิงที่คุยเรื่องข่าวลือเมื่อเช้า''
ถ้าถามอีกว่าเพราะอะไรถึงได้มานั่งมองกลุ่มเพื่อนสาวอย่างนี้?
ก็บอกได้เลยว่าเพราะความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับข่าวลือ ทีว่าไม่สามารถเอาไปบอกผู้ชายได้แถมข่าวลือที่ว่ายังเกิดขึ้นในป่าหลังโรงเรียนอีก ถ้าจะให้เดา
มันน่าจะเกี่ยวกับ...
''เฮ้ย!!! ไอหนูยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ? เสียงของผู้ชายวัยกลางคนดังขึ้น ''
'ผมหันกลับไปมองทางต้นเสียงแล้วพบว่าเจ้าของเสียงของชายวัยกลางคนก็คือภารโรงนั่นเอง
''โรงเรียนจะปิดแล้วเอ็งยังนั่งทำอะไรอยู่อีก?''
''อ่อผมกำลังนั่งเหม่อนิดหน่อยน่ะครับกำลังจะกลับอยู่พอดี''
ภารโรงหันไปมองกลุ่มเด็กสาวแล้วหันกลับมามองหน้าผม
''เฮ้ยๆ เอ็งนี่มันร้ายไม่เบานะ แค่วันแรกก็เหล่มองขนาดนี้สิ้นเทอมเอ็งคงได้เมียและหว้า ''
นี่เขาคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย
''ลุงพูดอะไรทะลึ่ง''
''เออๆรีบกลับไปได้แล้วเดี้ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง''
''คร้าาบ''
หว้า โดนมองว่าเป็นคนไม่ดีแล้วซิ ผมคิด
พอหันกลับไปมองกลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็พบว่าตอนนี้ไม่ได้มีแค่เพื่อนร่วมห้องแล้วสิ ตอนนี้มีพวกรุ่นพี่ผู้หญิงมาเพิ่มอีกประมาณยี่สิบคนเห็นจะได้รวมกลับพวก
เพื่อนร่วมห้องอีกก็ประมาณสี่สิบคน นี่มันอะไรกันเนี่ยทำไมถึงมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ ในขณะที่ผมคิดกลุ่มเพื่อนร่วมห้องหญิงและกลุ่มรุ่นพี่รวมตัวกันเดิน
ออกนอกโรงเรียน เมื่อเห็นอย่างนั้นผมลุกขึ้นจากใต้ต้นแจงและเดินตามพวกเธอไปห่างๆ...
ตอนนี้ฟ้าเริ่มใกล้มืดแล้ว ผมเริ่มสงสัยว่าพวกเธอจะเดินไปที่ไหนกันแน่ เดินไปได้อีกสักพักหนึ่งก็ถึงป่าหลังโรงเรียน แต่ที่น่าแปลกก็คือป่าหลังโรงเรียนมี
รั้วไม้เก่าๆกั้นตลอดทางมองไปไม่เห็นปลายสุดของรั้ว
'ทำไมต้องมาล้อมรั่วป่ายาวขนาดนี้ด้วยนะ ผมคิด
แต่ที่สะดุดสายตาผมที่สุดคือทางเข้าของป่าที่เป็นเหมือนท่อนทรุงใหญ่สองต้นดูเก่าแก่และใหญ่พอๆกลับตึกสองชั้นเป็นเหมือนเสารั้วและยังมีป้ายแปลกๆที่
เขียนว่าป่าอาถรรพ์อีก สรุปแล้วพวกเธอมาทำอะไรกันแน่
แล้วในที่สุดพวกเธอก็หยุดเดิน ผมจึงต้องไปหล่บแถวพุ่มไม้แล้วแอบฟังสิ่งที่พวกเธอคุยกัน
มีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินไปถึงหน้า หน้าทางเข้าแล้วหันกกลับมาพูดกลับกลุ่มของเธอ
''ฟังให้ดีนะพวกเธอ ใครที่มีความกล้ามากพอที่จะเดินตามฉันเข้าไปในป่าล่ะก็ฉันจะรับพวกเธอเข้ากลุ่มแต่ถ้าใครที่ยังกลัวอยู่ล่ะก็รีบไซหัวกลับไปได้เลย''
อ่อ สรุปแล้วที่พวกเธอมาที่นี่ก็เพื่อที่จะเข้ากลุ่มของพี่คนนี้สินะโดยใช้การทดสอบความกล้าเป็นตัววัดว่าใครเหมาะสม
เห้อ เสียเวลาจริง แต่ก็ได้ความรู้มาใหม่ว่าพวกผู้หญิงก็มีแก๊งเหมือนกัน โอเคเดี้ยวพวกเธอก็คงจะเดินกลับบ้านกันตามระเบียบ ผมคิด
แต่สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือไม่มีใครหันหลังเดินกลับกันเลยแม้แต่คนเดียว ทำเอาผมอึ้งไปเลย
''ดี งั้นตามฉันมา หัวหน้าของพวกเธอกล่าว ''
แล้วกลุ่มของเด็กสาวก็เดินเข้าไปยังป่าเหมือนกลับเดินเข้าไปในห้างพวกเธอไม่เอะใจเลยว่าตอนนี้มันมืดสนิทแล้วนะ พ่อแม่จะเป็นห่วงไหม หรือว่าข้างใน
ป่าจะมีตัวอะไรรึปล่าว
แต่ที่สำคัญที่สุดคือความคิดของผมมันกำลังตีกันอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานแล้ว
''นี่มันก็มืดแล้วกลับบ้านกันดีกว่า'' ความคิดในฐานะนักเรียนพูด
''จะบ้าเหรอมาไกลขนาดนี้แล้ว'' สัญชาตญาณของผมพูด
''นี่แค่วันแรกเองอย่าก่อเรื่องเลย'' ความคิดในฐานะนักเรียนพูด
''ก็เพราะว่าเป็นวันแรกไงจะปล่อยให้มันน่าเบื่อก็คงไม่ไหวหรอก
แล้วอีกอย่างแกไม่ห่วงเพื่อนร่วมห้องแกรึไงห๊า แกนี่มันเห็นแก่ตัวจริงๆ'' สัญชาตญาณของผมพูด
''แต่ ถ้าเป็นอย่างนั้นเข้าไปนิดหน่อยก็ได้''ความคิดในฐานะนักเรียนพูด
''ช่าายมันต้องอย่างนั้น'' สัญชาตญาณของผมพูด ออกมาด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย
เหมือนว่าความคิดของผมมันจะตกลงกันได้แล้ว ถ้างั้นก็ลุยกันเล๊ยยย
ผมวิ่งเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกินพิกัด
แต่แล้วเมื่อผมกำลังจะก้าวขาผ่านประตูทางเข้าป่าผมกลับได้ยินเสียงของบางสิ่ง
''อย่าเข้ามา ''
''ใครน่ะ'' ผมหันไปทุกทิศทุกทางเพื่อหาต้นเสียง
''อย่าเข้ามาแกไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไร ''
ผมตามหาต้นเสียงแต่แล้วก็ได้รับรู้ว่าเสียงที่ผมได้ยินมันไม่ได้มาจากไหนเลยผมได้ยินอยู่ในหัวผม
''แก แกเป็นใคร''
''ในคืนพระจันทร์เต็มดวงเขาจะออกมา''
''ใคร ใครจะออกมา ''
''กลับไปตอนที่แกยังมีโอกาศ''
แต่แล้วเหมือนร่างกายผมขยับไปเองตามสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นผมก้าวขาผ่านประตูที่กั้นระหว่างป่าและพื้นที่ผมกำลังเหยียบอยู่
ตึง!!!เสียงระฆังดังกังวานจากที่ไหนสักแห่งในป่าดังขึ้นเหมือนจะเป็นสัญญาณบอกอะไรบางอย่าง
''ฉันเตือนแกแล้ว''
เสียงในหัวผมพูดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหายไปเหมือนมันไม่ได้เกิดขึ้น และในตอนนั้นผมเริ่มสงสัยในสัญชาตญาณของตัวเองว่าผมคิดผิด
รึปล่าวที่เข้ามาในป่านี้...
จากใจผู้แต่ง
สวัสดีอีกครั้งสำหรับคนที่กำลังรออ่านนิยายเรื่องนี้อยู่(ใครกำลังรออ่านนิยายของเอ็ง)สาเหตุที่หายไปนานเพราะตอนนี้กำลังเรียหนักมากสมองเลยเบลอๆ
ไปหมดแล้ว(ข้ออ้าง)ก็อีกไม่นานก็คงจะลงได้เป็นเวลาแล้ว(เย้ เย้)ประมาณวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และก็ขอย้ำเป็นนิยายเรื่องแรกที่ลงpantipเพราะฉะนั้นดีไม่ดียังไงเขียนผิดเขียนถูกก็ติเตียนได้นะครับ(รองเขียนแบบที่คุณชชัชญาเสนอมาแล้วนะครับ)
มุมบ่นของผู้แต่ง
ปวดหัว!!!คิดตั้งนานได้แค่เนี่ยเครียดคิดไปเขียนไปมองจออีกที่เป็นฟอนต์ภาษาอังกฦษหมดเบย ต้องเขียนใหม่ต้องหลายชั่วโมง อ๊ากกกกกกกกกกกกก
(แมวพิมพ์)
ปริศนาป่าอาถรรพ์ ตอนที่ 2 สัญชาตญาณ
ไม่ว่าจะเป็น นัดกันไปขับมอเตอร์ไซค์เล่น นัดกันไปต่อยหลังโรงเรียน หรือจะนัดกันไปมั่วสุมกันที่ต่างๆ
ส่วนตัวผมเหรอ ถ้าถามว่าผมอยู่ในกลุ่มไหน? บอกได้เลยว่าไม่ แล้วถ้าถามต่อไปว่าทำไม?
ผมก็จะบอกให้ฟังง่ายๆว่าวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของผมและผมยังเป็นเด็กใหม่ที่ไม่มีใครสนใจอะไรมากนัก ''จึงไม่น่าแปลกที่คนอย่างผมยังคงนั่งอยู่คนเดียวใต้ต้นแจงหลังโรงเรียนเลิก''
แต่ ถ้าคุณถามว่าผมมีแผนจะทำอะไรหลังเลิกเรียน?
''ผมก็จะตอบง่ายๆว่าตอนนี้ผมกำลังจ้องมองไปยังกลุ่มเพื่อนร่วมห้องหญิงที่คุยเรื่องข่าวลือเมื่อเช้า''
ถ้าถามอีกว่าเพราะอะไรถึงได้มานั่งมองกลุ่มเพื่อนสาวอย่างนี้?
ก็บอกได้เลยว่าเพราะความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับข่าวลือ ทีว่าไม่สามารถเอาไปบอกผู้ชายได้แถมข่าวลือที่ว่ายังเกิดขึ้นในป่าหลังโรงเรียนอีก ถ้าจะให้เดา
มันน่าจะเกี่ยวกับ...
''เฮ้ย!!! ไอหนูยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ? เสียงของผู้ชายวัยกลางคนดังขึ้น ''
'ผมหันกลับไปมองทางต้นเสียงแล้วพบว่าเจ้าของเสียงของชายวัยกลางคนก็คือภารโรงนั่นเอง
''โรงเรียนจะปิดแล้วเอ็งยังนั่งทำอะไรอยู่อีก?''
''อ่อผมกำลังนั่งเหม่อนิดหน่อยน่ะครับกำลังจะกลับอยู่พอดี''
ภารโรงหันไปมองกลุ่มเด็กสาวแล้วหันกลับมามองหน้าผม
''เฮ้ยๆ เอ็งนี่มันร้ายไม่เบานะ แค่วันแรกก็เหล่มองขนาดนี้สิ้นเทอมเอ็งคงได้เมียและหว้า ''
นี่เขาคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย
''ลุงพูดอะไรทะลึ่ง''
''เออๆรีบกลับไปได้แล้วเดี้ยวพ่อแม่จะเป็นห่วง''
''คร้าาบ''
หว้า โดนมองว่าเป็นคนไม่ดีแล้วซิ ผมคิด
พอหันกลับไปมองกลุ่มเพื่อนผู้หญิงก็พบว่าตอนนี้ไม่ได้มีแค่เพื่อนร่วมห้องแล้วสิ ตอนนี้มีพวกรุ่นพี่ผู้หญิงมาเพิ่มอีกประมาณยี่สิบคนเห็นจะได้รวมกลับพวก
เพื่อนร่วมห้องอีกก็ประมาณสี่สิบคน นี่มันอะไรกันเนี่ยทำไมถึงมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ ในขณะที่ผมคิดกลุ่มเพื่อนร่วมห้องหญิงและกลุ่มรุ่นพี่รวมตัวกันเดิน
ออกนอกโรงเรียน เมื่อเห็นอย่างนั้นผมลุกขึ้นจากใต้ต้นแจงและเดินตามพวกเธอไปห่างๆ...
ตอนนี้ฟ้าเริ่มใกล้มืดแล้ว ผมเริ่มสงสัยว่าพวกเธอจะเดินไปที่ไหนกันแน่ เดินไปได้อีกสักพักหนึ่งก็ถึงป่าหลังโรงเรียน แต่ที่น่าแปลกก็คือป่าหลังโรงเรียนมี
รั้วไม้เก่าๆกั้นตลอดทางมองไปไม่เห็นปลายสุดของรั้ว
'ทำไมต้องมาล้อมรั่วป่ายาวขนาดนี้ด้วยนะ ผมคิด
แต่ที่สะดุดสายตาผมที่สุดคือทางเข้าของป่าที่เป็นเหมือนท่อนทรุงใหญ่สองต้นดูเก่าแก่และใหญ่พอๆกลับตึกสองชั้นเป็นเหมือนเสารั้วและยังมีป้ายแปลกๆที่
เขียนว่าป่าอาถรรพ์อีก สรุปแล้วพวกเธอมาทำอะไรกันแน่
แล้วในที่สุดพวกเธอก็หยุดเดิน ผมจึงต้องไปหล่บแถวพุ่มไม้แล้วแอบฟังสิ่งที่พวกเธอคุยกัน
มีรุ่นพี่คนหนึ่งเดินไปถึงหน้า หน้าทางเข้าแล้วหันกกลับมาพูดกลับกลุ่มของเธอ
''ฟังให้ดีนะพวกเธอ ใครที่มีความกล้ามากพอที่จะเดินตามฉันเข้าไปในป่าล่ะก็ฉันจะรับพวกเธอเข้ากลุ่มแต่ถ้าใครที่ยังกลัวอยู่ล่ะก็รีบไซหัวกลับไปได้เลย''
อ่อ สรุปแล้วที่พวกเธอมาที่นี่ก็เพื่อที่จะเข้ากลุ่มของพี่คนนี้สินะโดยใช้การทดสอบความกล้าเป็นตัววัดว่าใครเหมาะสม
เห้อ เสียเวลาจริง แต่ก็ได้ความรู้มาใหม่ว่าพวกผู้หญิงก็มีแก๊งเหมือนกัน โอเคเดี้ยวพวกเธอก็คงจะเดินกลับบ้านกันตามระเบียบ ผมคิด
แต่สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือไม่มีใครหันหลังเดินกลับกันเลยแม้แต่คนเดียว ทำเอาผมอึ้งไปเลย
''ดี งั้นตามฉันมา หัวหน้าของพวกเธอกล่าว ''
แล้วกลุ่มของเด็กสาวก็เดินเข้าไปยังป่าเหมือนกลับเดินเข้าไปในห้างพวกเธอไม่เอะใจเลยว่าตอนนี้มันมืดสนิทแล้วนะ พ่อแม่จะเป็นห่วงไหม หรือว่าข้างใน
ป่าจะมีตัวอะไรรึปล่าว
แต่ที่สำคัญที่สุดคือความคิดของผมมันกำลังตีกันอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานแล้ว
''นี่มันก็มืดแล้วกลับบ้านกันดีกว่า'' ความคิดในฐานะนักเรียนพูด
''จะบ้าเหรอมาไกลขนาดนี้แล้ว'' สัญชาตญาณของผมพูด
''นี่แค่วันแรกเองอย่าก่อเรื่องเลย'' ความคิดในฐานะนักเรียนพูด
''ก็เพราะว่าเป็นวันแรกไงจะปล่อยให้มันน่าเบื่อก็คงไม่ไหวหรอก
แล้วอีกอย่างแกไม่ห่วงเพื่อนร่วมห้องแกรึไงห๊า แกนี่มันเห็นแก่ตัวจริงๆ'' สัญชาตญาณของผมพูด
''แต่ ถ้าเป็นอย่างนั้นเข้าไปนิดหน่อยก็ได้''ความคิดในฐานะนักเรียนพูด
''ช่าายมันต้องอย่างนั้น'' สัญชาตญาณของผมพูด ออกมาด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย
เหมือนว่าความคิดของผมมันจะตกลงกันได้แล้ว ถ้างั้นก็ลุยกันเล๊ยยย
ผมวิ่งเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกินพิกัด
แต่แล้วเมื่อผมกำลังจะก้าวขาผ่านประตูทางเข้าป่าผมกลับได้ยินเสียงของบางสิ่ง
''อย่าเข้ามา ''
''ใครน่ะ'' ผมหันไปทุกทิศทุกทางเพื่อหาต้นเสียง
''อย่าเข้ามาแกไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไร ''
ผมตามหาต้นเสียงแต่แล้วก็ได้รับรู้ว่าเสียงที่ผมได้ยินมันไม่ได้มาจากไหนเลยผมได้ยินอยู่ในหัวผม
''แก แกเป็นใคร''
''ในคืนพระจันทร์เต็มดวงเขาจะออกมา''
''ใคร ใครจะออกมา ''
''กลับไปตอนที่แกยังมีโอกาศ''
แต่แล้วเหมือนร่างกายผมขยับไปเองตามสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นผมก้าวขาผ่านประตูที่กั้นระหว่างป่าและพื้นที่ผมกำลังเหยียบอยู่
ตึง!!!เสียงระฆังดังกังวานจากที่ไหนสักแห่งในป่าดังขึ้นเหมือนจะเป็นสัญญาณบอกอะไรบางอย่าง
''ฉันเตือนแกแล้ว''
เสียงในหัวผมพูดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหายไปเหมือนมันไม่ได้เกิดขึ้น และในตอนนั้นผมเริ่มสงสัยในสัญชาตญาณของตัวเองว่าผมคิดผิด
รึปล่าวที่เข้ามาในป่านี้...
จากใจผู้แต่ง
สวัสดีอีกครั้งสำหรับคนที่กำลังรออ่านนิยายเรื่องนี้อยู่(ใครกำลังรออ่านนิยายของเอ็ง)สาเหตุที่หายไปนานเพราะตอนนี้กำลังเรียหนักมากสมองเลยเบลอๆ
ไปหมดแล้ว(ข้ออ้าง)ก็อีกไม่นานก็คงจะลงได้เป็นเวลาแล้ว(เย้ เย้)ประมาณวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และก็ขอย้ำเป็นนิยายเรื่องแรกที่ลงpantipเพราะฉะนั้นดีไม่ดียังไงเขียนผิดเขียนถูกก็ติเตียนได้นะครับ(รองเขียนแบบที่คุณชชัชญาเสนอมาแล้วนะครับ)
มุมบ่นของผู้แต่ง
ปวดหัว!!!คิดตั้งนานได้แค่เนี่ยเครียดคิดไปเขียนไปมองจออีกที่เป็นฟอนต์ภาษาอังกฦษหมดเบย ต้องเขียนใหม่ต้องหลายชั่วโมง อ๊ากกกกกกกกกกกกก
(แมวพิมพ์)