นิยาย จันทร์เสี้ยว เขี้ยว วิญญาณ -บทที่ 3 - (โดย เพอฟูเม่ ติ่งตี๋เจมส์ มาร์ )

กระทู้สนทนา
เป็นการเริ่มต้นของการเขียนนิยาย ไม่ได้เก่งกาจ วาดหวังไว้สูงนัก และแต่งขึ้นจากจินตนาการ มิได้คิดพาดพิงหรือ บิดเบือนความจริงจากเรื่องใดๆนะคะ ( เป็นเรื่องสมมุติขึ้นเท่านั้นนะคะ)
บทแรก การค้นพบ http://pantip.com/topic/32121665
บทที่     -1-        http://pantip.com/topic/32130617
บทที่     -2-        http://pantip.com/topic/32148915

                                                                            จันทร์เสี้ยว เขี้ยว วิญญาณ
                                                                             
                                                                                        บทที่ 3

               ภายในห้องทำงานอันแสนเงียบเชียบ กล่องไม้ลวดลายโบราณบนชั้นวางหนังสือเริ่มสั่นไหวเหมือนกับว่า สิ่งที่อยู่ภายในต้องการที่จะเป็นอิสระ แสงสีฟ้า แดง เขียว พลัดกันส่องสว่างลอดออกมาจากกล่องนั่น ไม่นานกล่องนั้นก็ค่อยๆเปิดออก บัดนี้หินแกะสลักที่เคยเป็นสีดำสนิท กลับแยกตัวออกจากกันเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว มีแสงประกายสีฟ้าใสจากนั้นก็ค่อยเข้มขึ้นจนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ชิ้นที่สองมีลักษณะเป็นเขี้ยวขนาดใหญ่ส่องประกายสีแดงระเรื่อและค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม และชิ้นสุดท้าย มองดูคล้ายรูปวิญญาณมีแสงสีเขียวใสแลค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเขียวน้ำทะเล ของทั้งสามต่างหมุนวนรอบกันจนบังเกิดแสงวาบขึ้นจากนั้นทุกอย่างกลับเงียบสงบเหมือนไม่เคยเกิดสิ่งใดในห้องนี้เลย แต่ข้างนอกหน้าต่างนั่นที่ระเบียงไม้ฝั่งสวนกลับมีเสียงร้องอย่างตกใจดังของสาวใช้ดังขึ้นมาแทน

                 หนทางที่เต็มไปด้วยหมอก ชายหนุ่มก้าวเท้าช้าๆไปตามทางเดินอย่างระวัง  เขาเดินมาจนสุดทาง เบื้องหน้าเขาตอนนี้เป็นต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศที่คุ้นตาความรู้สึกคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ป่านี้ช่างเหมือนป่าที่เขาเคยมา ‘ ใช่นี่มันป่าเบญจภูมิ ‘ ชายหนุ่มเริ่มมั่นใจแต่ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้ว่ามีต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้อยู่ด้วย กลิ่นหอมอ่อนๆที่เขาได้กลิ่นในคืนนั้น ที่มาของมันคือต้นไม้ต้นนี้นี่เอง ลำต้นขนาดใหญ่ ความสูงสุดสายตา กิ่งก้านแผ่ขยายไปรอบทิศ มองดูเหมือนมันกำลังโอบกอดป่านี้ไว้ในอ้อมแขนของมัน
    
           “ ในที่สุดท่านก็มา ถึงเวลาเสียที  “      

              กรชวัล หันไปตามเสียงทัก เมื่อกี้เขาไม่รู้สึกว่ามีใครหรือสิ่งใดอยู่ที่นี่ เขาว่านี่ต้องไม่ใช่ความจริง แต่ก็เริ่มไม่มั่นใจว่ามันคือความฝัน เพราะสิ่งที่ได้สัมผัส จับต้อง รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกจากข้างในตัวเขา  กลิ่นหอมของดอกไม้ ใบหญ้า กลิ่นของดิน  สัมผัสของลมที่พัดผ่าน  แล้วยังเสียงนกร้องขับขานให้ได้ยิน ทุกอย่างมันช่างต่างจากโลกที่เขาอยู่ยิ่งนัก ‘หรือที่นี่คือสวรรค์ ‘

          
              “ คุณเป็นใครกัน แล้ว เอ่..อ ที่นี่มันที่ไหนกันแน่ครับ “ ชายหนุ่มค่อยๆก้าวเข้าไปหาเจ้าของเสียง คนผู้นี้ช่างมีใบหน้าที่คุ้นตา ท่าทางแสนสุภาพน่าเลื่อมใสศรัทธา ดูจากเสื้อผ้าที่ใส่ คล้ายนักบวชคงแก่กล้าด้วยอาวุโสแห่งปัญญาญาณ
            
              ไม่มีเสียงตอบใดๆ มีเพียงรอยยิ้มที่มุมปาก การค้อมหัวลงทำการเคารพทำเอากรชวัลยิ่งประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าดวงตาคนคนนี้เป็นสีเขียวกระจ่างใส ลักษณะท่าทางอ่อนน้อม เยือกเย็น บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสงบ  เหล่าสรรพเสียงที่เขาได้ยินเมื่อกี้หายไปสิ้นเชิง
              “  ข้าน้อยปรมัตถ์  “ เขาเริ่มแนะนำตัว “ ที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ดอกท่าน และแน่นอน เราเคยเจอกันมาก่อน แต่มันก็นานมากแล้ว นานมากจริงๆ “    
    
           “ ปรมัตถ์ ท่านคือผู้ปลุกจิตวิญญาณแห่งเรา  “ สิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกข้างในมันคืออะไรกันนะ แล้วทำไมเขาถึงพูดเช่นนั้นออกไปได้  ด้วยท่าทีที่แสนสุภาพ อ่อนน้อม แฝงไว้ด้วยความเคารพทำเอาชายหนุ่มงุนงงกับการกระทำของคนตรงหน้า อีกทั้งภายในใจของเขาเอง กลับรู้สึก เหมือนคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้และคนผู้นี้ขึ้นมาได้อย่างไร  
                 “ ถึงเวลาแล้ว นายแห่งข้า ตื่นเถิด สงครามที่ยืดเยื้อมาแต่โบราณ บัดนี้มันเริ่มต้นอีกครั้งแล้ว  “ เสียงเนิบนาบแผ่วเบา แฝงความนุ่มนวล น่าฟังยิ่งนัก
            
                   ชายหนุ่มยืนมองต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า ความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติแห่งนี้  เขาค่อยๆเอื้อมมือโอบกอดรอบต้นไม้นี้ ความทรงจำแปลกๆไหลผ่านเข้ามาในตัวเขา สีเขียวแห่งจิตวิญญาณ สีฟ้าแห่งปัญญาและการหยั่งรู้ สีแดงแห่งการปกป้อง และสีดำสีแห่งความตาย ทุกอย่างที่เกิดกับเขาตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันคือพันธะแห่งสัญญาที่เขาได้ลั่นวาจาไว้เมื่อนานมาแล้ว

                  ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรกับวิญญาณแห่งป่า กรชวัลก็ได้กลิ่นยาหอมแตะจมูกเสียก่อน ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงกลับเริ่มมีกำลังวังชา เขารู้สึกถึงมืออุ่นที่แสนจะคุ้นเคยมาแตะที่หน้าผากเขา ความห่วงใยที่เขารับรู้ได้ “ คุณแม่หรือครับ “ ชายหนุ่มค่อยๆลืมตา เห็นสีหน้าแสดงความห่วงใยของคุณอำภา นี่เขากลับมายังภูมิแห่งมนุษย์แล้วหรือ

                 ชายหนุ่มโดนบังคับให้ทานยาและนอนพักผ่อนทันที สีหน้าท่าทางที่กังวลของสตรีสูงวัยตรงหน้ามันทำให้เขาไม่อยากขัดใจผู้เป็นแม่จึงได้แต่ทำตามอย่างว่าง่าย  ขณะนอนอยู่ในห้อง ภายในใจก็นึกถึงเรื่องเหรียญแกะสลักที่เขาเจอในป่าขึ้นมา เขาลุกขึ้นไปหยิบกล่องไม้ใบย่อมมาเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน     จากหินที่รูปทรงเป็นเหรียญ มาบัดนี้ได้แยกออกจากันเป็น 3 ส่วน เสียแล้ว
             “ ศศิขัณฑ์ ทาฐะ อาตมัน “  ชื่อทั้ง 3 ออกมาจากปากเขาอย่างง่ายดาย  เขาหยิบของทั้ง 3 ขึ้นมาดูอย่างละเอียด ‘ ในที่สุด กงล้อแห่งสงครามได้เริ่มหมุนอีกครั้งแล้ว ’ ความกังวลและหวาดหวั่นในเรื่องที่จะเกิดต่อไปนี้มันช่างเลวร้ายเกินกว่าจะนึกภาพได้
               “ จิตเรายังฟื้นไม่เต็มที่ พลังแห่งเรายังไม่มากพอ  เจ้าทั้ง 3 รออีกนิดนะ “ ของทั้ง 3 ชิ้นเหมือนรับรู้ได้ในสิ่งที่นายแห่งมันบอก มันเรืองแสงน้อยๆและค่อยๆลอยลงสู่กล่องเช่นเดิม
    

           บ้านไม้เก่าจะพังมิพังแหล่ ภายในชุมชนแห่งนี้เป็นที่พักพิงของเหล่าคนที่มีปัญหา มันเป็นที่เดียวที่ต้อนรับคนทุกคน โดยมีครูสอนศาสนาชาวอังกฤษที่มาตั้งรกรากที่เมืองไทยมาเกือบ 20 ปี ทุกคนในชุมชนต่างให้ความเชื่อถือและไว้ใจ โดยไม่รู้เลยว่าครูผู้แสนใจดี มีเมตตานั้นแท้จริงแล้วเป็นคนเลวร้ายขนาดไหน เหล่าสานุศิษย์ ที่ยังคงลุ่มหลงในคำสอนของผู้ตายยังมีอีกมากที่ไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และนักสังคมสงเคราะห์บอกเล่าให้ฟัง
             
         ภายในบ้านไม้นี้มีห้องหับแบ่งจัดเป็นสัดส่วน ผู้นำชุมชนที่เป็นคนนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นยังแปลกใจในสิ่งที่ได้เห็น ห้องเหล่านั้นมีภาพวาดต่างๆที่น่ากลัว อาวุธทั้งมีดและปืน ครบครัน หนังสือเล่มบางที่ภายในคือคำสอนให้เกลียดในศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ลัทธิของตน แต่ที่ร้ายที่สุดคงจะเป็นด้านในสุดที่ได้ยินคล้ายโซ่ล่ามอะไรไว้ซักอย่าง เมื่อเปิดเข้าไปก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น เหล่าบรรดาเด็กๆทั้งชาย หญิง ต่างกำลังใช้อาวุธที่อยู่ในมือ ทำร้ายผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกล่ามด้วยโซ่หมดทางหนี เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน และร้องขอให้ช่วยทำให้ตายไปจากโลกเพื่อหนีความเจ็บปวดที่ได้รับของเหยื่อ  
       
           เหล่าตำรวจได้ควบคุมตัวเด็กเหล่านั้น สายตาไร้แววหวาดกลัว มีแต่ความพอใจให้เห็นอยู่บนใบหน้าเด็กเหล่านั้น  ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง สีหน้าแห่งความภาคภูมิใจ จากนั้นค่อยๆล้มตัวลงสิ้นลมหายใจไปทีละคน สร้างความตกใจให้กับทุกคนเป็นอันมาก


          “ เป็นไงบ้างคนเจ็บพอให้ปากคำได้บ้างไหม “ ขณะเดินมาตามทางเดินโรงพยาบาล ผู้กองพสุ ถามอาการจากหมอที่ดูแลคนเจ็บ
    นายแพทย์ประจำคนไข้ ได้แต่ส่ายหน้า  
      “ ตอนนี้คงยังไม่ได้ รอดมาได้ก็ปาฏิหาริย์มาก   คงต้องใช้เวลาฟื้นฟูกันอีกนาน ด้านร่างกายคงหลายเดือน แต่ด้านจิตใจ ผมว่าคงยากมาก “
    สีหน้าของหมอที่เห็นทำเอาชายหนุ่มที่เมื่อสักครู่เต็มไปด้วยความหวัง รู้สึกสิ้นหวังไปในทันที
       
         ในห้องพักฟื้นคนไข้ ร่างของชายหนุ่มนอนหายใจระริน ทั่วร่างกายมีแต่ผ้าพันแผล มองดูคล้ายจะเป็นมัมมี่ที่มีลมหายใจ นี่เป็นความโชคดีหรือโชคร้ายกันนะ เพราะเมื่อร่างกายหายดีแต่ความทรงจำเลวร้ายที่เขาได้เจอมาคงต้องมาตามหลอกหลอนไปตลอด อยู่หรือตายอย่างไหนจะดีกว่ากันนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่