เมื่อเปลี่ยนงานใหม่ นอกจากจะต้องเรียนรู้งานใหม่ ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ นายใหม่ และปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หลายๆ คนอาจสับสน มึนงงได้ว่า จะต้องทำอย่างไรกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเก่า
ถ้าที่ทำงานใหม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แนะนำว่าให้คงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเดิมในช่วงทดลองงานกับที่ทำงานใหม่ก่อน เพราะโดยทั่วไปแล้ว เราจะยังไม่สามารถโอนย้ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากที่ทำงานเดิมมาที่ทำงานใหม่ได้ทันที จะต้องรอให้พ้นโปร หรือช่วงทดลองงานไปก่อน โดยแจ้ง บลจ.ที่เป็นผู้ดูแลกองทุน หรือแจ้ง HR ของบริษัทเดิมว่าต้องการให้คงเงินไว้ในกองทุนก่อน พอพ้นโปรแล้ว ก็แจ้งทาง HR ของที่ทำงานใหม่ว่าต้องการโยกเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมมายังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ ข้อดีของการคงเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเดิมก่อนนั้น คือ เราจะไม่ต้องนำเงินที่จะได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาคำนวณเป็นเงินได้ในการยื่นภาษี
แต่ถ้าต้องนำเงินออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือที่ทำงานใหม่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กรณีที่นำเงินออกก่อนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรืออายุเกษียณตามเกณฑ์ของบริษัท เงินที่ได้รับจะต้องนำไปคิดเป็นรายได้ในเสียภาษี โดยส่วนที่ต้องนำมาคิดภาษีได้แก่ 1) เงินสมทบของนายจ้าง 2) ผลประโยชน์จากเงินสมทบ 3) ผลประโยชน์จากเงินสะสมของลูกจ้าง ส่วนจะเสียภาษีเท่าไหร่ ต้องดูตามอายุงานของที่ทำงานเดิมค่ะ
- อายุงาน น้อยกว่า 5 ปี เงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องนำมารวมกับเงินได้ประจำปี แล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีทั่วไป
- อายุงาน ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป สามารถแยกยื่นในใบแนบได้ โดยหักลดหย่อนได้เท่ากับ 7,000 บาท คูณ จำนวนปีที่ทำงาน เหลือเท่าไรหักลดหย่อนได้อีกครึ่งหนึ่ง แล้วคำนวณตามอัตราภาษีทั่วไป
เรียกว่ายิ่งอายุงานของที่ทำงานเดิมมาก ก็ยิ่งหักลดหย่อนได้มาก ทำให้เสียภาษีลดลงค่ะ
ส่วนผู้ที่ที่ทำงานเดิมไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ที่ทำงานใหม่มีให้เลือกว่าจะสมัครเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือไม่ ขอแนะนำให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเลือกหักเงินสะสมเข้ากองทุนฯ แต่ละเดือนในอัตราสูงสุดที่สามารถเลือกได้ (ไม่เกิน 15% ของเงินเดือน) โดยเงินที่หักเข้ากองทุนฯ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ และที่สำคัญ บริษัทจะช่วยสมทบเงินออมให้เราในแต่ละเดือนอีกด้วย
<คำถามฮิต K-Expert ช่วยตอบ> เปลี่ยนงานใหม่ จะต้องทำอย่างไรกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ถ้าที่ทำงานใหม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แนะนำว่าให้คงเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเดิมในช่วงทดลองงานกับที่ทำงานใหม่ก่อน เพราะโดยทั่วไปแล้ว เราจะยังไม่สามารถโอนย้ายเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากที่ทำงานเดิมมาที่ทำงานใหม่ได้ทันที จะต้องรอให้พ้นโปร หรือช่วงทดลองงานไปก่อน โดยแจ้ง บลจ.ที่เป็นผู้ดูแลกองทุน หรือแจ้ง HR ของบริษัทเดิมว่าต้องการให้คงเงินไว้ในกองทุนก่อน พอพ้นโปรแล้ว ก็แจ้งทาง HR ของที่ทำงานใหม่ว่าต้องการโยกเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมมายังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ ข้อดีของการคงเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานเดิมก่อนนั้น คือ เราจะไม่ต้องนำเงินที่จะได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาคำนวณเป็นเงินได้ในการยื่นภาษี
แต่ถ้าต้องนำเงินออกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือที่ทำงานใหม่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กรณีที่นำเงินออกก่อนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรืออายุเกษียณตามเกณฑ์ของบริษัท เงินที่ได้รับจะต้องนำไปคิดเป็นรายได้ในเสียภาษี โดยส่วนที่ต้องนำมาคิดภาษีได้แก่ 1) เงินสมทบของนายจ้าง 2) ผลประโยชน์จากเงินสมทบ 3) ผลประโยชน์จากเงินสะสมของลูกจ้าง ส่วนจะเสียภาษีเท่าไหร่ ต้องดูตามอายุงานของที่ทำงานเดิมค่ะ
- อายุงาน น้อยกว่า 5 ปี เงินที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องนำมารวมกับเงินได้ประจำปี แล้วคำนวณภาษีตามอัตราภาษีทั่วไป
- อายุงาน ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป สามารถแยกยื่นในใบแนบได้ โดยหักลดหย่อนได้เท่ากับ 7,000 บาท คูณ จำนวนปีที่ทำงาน เหลือเท่าไรหักลดหย่อนได้อีกครึ่งหนึ่ง แล้วคำนวณตามอัตราภาษีทั่วไป
เรียกว่ายิ่งอายุงานของที่ทำงานเดิมมาก ก็ยิ่งหักลดหย่อนได้มาก ทำให้เสียภาษีลดลงค่ะ
ส่วนผู้ที่ที่ทำงานเดิมไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ที่ทำงานใหม่มีให้เลือกว่าจะสมัครเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือไม่ ขอแนะนำให้สมัครเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเลือกหักเงินสะสมเข้ากองทุนฯ แต่ละเดือนในอัตราสูงสุดที่สามารถเลือกได้ (ไม่เกิน 15% ของเงินเดือน) โดยเงินที่หักเข้ากองทุนฯ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ และที่สำคัญ บริษัทจะช่วยสมทบเงินออมให้เราในแต่ละเดือนอีกด้วย