สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้งสำหรับการ รีวิว ครั้งที่ 2
ทริปนี้ เป็นทริปที่ต้องไปทำภาระกิจของบริษัทที่ประเทศญี่ปุ่น จขกท. เลยตัดสินใจ ถอย DSLR ตัวนึงก่อนวันเดินทางประมาณ 5 วัน เป็น 600D มีเวลาซ้อมการใช้งานได้นิดหน่อย แล้วค่อยๆ ฝึกฝีมือไปเรื่อยๆ ต้องออกตัวก่อนครับ ว่าไม่ได้เก่งนะครับ ยังงัยวิจารณ์ ติชมได้เต็มที่ครับ
พร้อมกันนี้ จขกท. จะพยายามรีวิวส้นทาง เผื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่อยากไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น ได้รู้เส้นทาง และการขึ้นรถ รถไฟ รถเมล์ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้เข้ามาชมครับ
ไปกันเลยครับ การไปญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นการไปประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ของ จขกท. ครับ ดังนั้น บางอย่าง จขกท. อาจจะไม่ได้ทราบข้อเท็จจริง ก็อาศัยการเดาอย่างเดียวครับ ผิดถูกชี้แนะได้ครับ
เริ่มจากการเดินทางวันแรกเครื่องออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ 23.15 จขกท. ต้องเข้ามาทำงานช่วงเช้าก่อน แล้วกลับไปจัดกระเป๋าตอนบ่าย 3 ของวันเดินทาง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ชิวๆ เสร็จสรรพ พร้อมเดินทาง ไม่ใหญ่มาก พอดีๆ ลำบากตรงต้องเอา Notebook ไปด้วยนี่ล่ะ
มาถึงสุวรรณภูมิเวลา 3 ทุ่มครึ่ง เช็คอินกระเป๋าเรียบร้อย ก็เดินเข้ามาตรวจหนังสือเดินทาง ไม่ได้เดินทางต่างประเทศนานมากละ รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ มันทันสมัยขึ้นเยอะ ขั้นตอนการตรวจเร็วขึ้นมาก เข้ามาก็มาเจอ ตู้ปลาที่เอาไว้ให้เด็กๆเล่น ถ่ายรูป จขกท. เห็นไม่มีคนเล่น เลยจัดซะหน่อย อิอิ
เสร็จแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะซื้ออะไร เวลาก็เหลือตั้งเยอะ เลยเดินเข้าไปหลบพักทีพักของการบินไทยก่อน ว่าจะนั่งพักเฉยๆ ของกินเค้าน่ากินอ่ะ เลยจัดซะหน่อยนึง
ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เข้านั่งที่นั่ง ครึ้งนี้ จขกท. เลือกนั่งชั้น2 เพราะเครื่องรุ่นนี้ ตรงอื่นเคยนั่งบ่อยแล้วสมัยที่เดินทางเป็นว่าเล่น เหลือชั้น2 ไม่เคยนั่งเลยอยากรู้ว่ามันเป็นงัย A380 ของการบินไทย คงเป็นรุ่นใหม่กว่าของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ที่เค้าสั่งมาใช้ตอนออกใหม่ สิ่งที่แตกต่างออกไป คือที่นั่งแคบกว่าพอควรครับ แต่จอมอนิเตอร์ใกล้เคียงกัน รู้สึกจะเล็กกว่านิดหน่อย ตัวนี้น่าจะ 13" ส่วนของ สิงคโปร์แอร์ไลน์ น่าจะเป็น 14-15" ดูหนังสะใจกว่าเยอะ
จขกท. เลือกดูหนัง 2 เรื่องคือ Homefront กับ Frozen (600D โหมด P ถ่ายแล้วเป็นริ้วๆ ต้องเปลี่ยนเป็น Tv แล้วปรับ ความไวเอาเอง จะดูเนียนกว่า)
ปกติ จขกท. จะได้นั่งที่นั่งปุ๊บจะเริ่มดูหนังเลยครับ ไม่ต้องรอเครื่องขึ้น เพราะจะทำให้ดูได้เวลานานขึ้น สำหรับคอหนัง ไม่ต้องรอเครื่องขึ้น สามารถเปิดดูได้เลยนะครับ ทั้งเครื่องรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ไม่เสียเวลาครับ ผมทำประจำ แต่จะมีรำคาญบ้าง ตอนกำลังจะขึ้น จะประกาศอะไรก็ตาม หนังจะหยุดไปครับ
ถึงละครับ ก่อนเครื่องจะลง มาเช้าเอาที่ โอซาก้า

(รูปนี้ใช้ 18-55 เลนส์ ที่แถมมากับกล้องครับ โหมด P ยิงได้สบายๆ)
ลงเครื่องที่โอซาก้า เวลา 6 โมงกว่าๆ เขียนใบ ตม. แล้วก็ไปต่อคิวเช็ค Passport คนไทยไม่ต้องมีวีซ่า แต่ จนท. ก็ถามครับ ว่ามาทำอะไร อยู่กี่วัน ก็ตอบๆไปครับ ประทับใจ จนท.ครับ เวลาถามนี่สุภาพมากๆ ไม่เหมือนประเทศทางยุโรป หรือออสเตรเลีย ที่ชอบปั้นหน้า เหมือน ตูจะกินเมิง!
รับกระเป๋าเสร็จ ก็ต้องหารถเพิ่อวิ่งเข้า Kyoto ซึ่งสอบถาม จนท.ท่องเที่ยว ให้ข้อมูลว่า มี 2 ทางคือ รถไฟฟ้า กับรถเมล์ ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยว น่าจะเป็นรถเมล์ดีกว่า เพราะต่อเดียว แต่ถ้าเป็นรถไฟฟ้า จะต้องไปต่อรถ ซึ่งจะงงกว่า และมีกระเป่าด้วย
จึงไปที่ท่ารถเบอร์(6 หรือ 8 นี่ล่ะ) จขกท. จำไม่ค่อยแม่นละ เพราะมันหลายวันเกิน ค่ารถเข้าเดียวโต จาก โอซาก้า 2,500Y ซึ่งจะมี จนท.สาวสวย ยืนอยู่ตรงตู้แนะนำเรา ว่าต้องหยอดเงินซื้อตั๋วจากตู้ยังงัย ไม่ยากครับ รถวิ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชม. กว่าๆ มั้งครับ กว่าจะถึง จขกท. หลับๆ ตื่นๆ เพราะในรถโดยสาร มันร้อนครับ เค้าเปิด Heater ไม่ได้เปิดแอร์ จากที่เราเตรียมหนาวเมื่อลงจากเครื่องมา ขึ้นรถปุ๊บ ถอดออกหมดเลย ไม่งั้นเหงื่อท่วมแน่ๆ

(เสียดายที่นั่งอึดอัดเพราะเสื้อกันหนาวที่ถอดออกมากองหน้าตัก เลยถอดเปลี่ยนเป็นเลนส์ 55-250 ไม่ถนัด เลยได้รูป เท่าที่เห็นเองครับ)
เดี่ยวมาต่อละกันครับ อีกยาวเลย วันนี้จะพาไปเที่ยวก่อนเลยครับ 2 วัด คือวัด Kinkakuji กับ Kiyomizsudera เพราะยังว่าง ตั้งครึ่งวัน
#2 : รีวิวทริปญี่ปุ่นกับหนุ่มโสด Day1 โอซาก้า เกียวโต
ทริปนี้ เป็นทริปที่ต้องไปทำภาระกิจของบริษัทที่ประเทศญี่ปุ่น จขกท. เลยตัดสินใจ ถอย DSLR ตัวนึงก่อนวันเดินทางประมาณ 5 วัน เป็น 600D มีเวลาซ้อมการใช้งานได้นิดหน่อย แล้วค่อยๆ ฝึกฝีมือไปเรื่อยๆ ต้องออกตัวก่อนครับ ว่าไม่ได้เก่งนะครับ ยังงัยวิจารณ์ ติชมได้เต็มที่ครับ
พร้อมกันนี้ จขกท. จะพยายามรีวิวส้นทาง เผื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่อยากไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น ได้รู้เส้นทาง และการขึ้นรถ รถไฟ รถเมล์ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ผู้เข้ามาชมครับ
ไปกันเลยครับ การไปญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นการไปประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ของ จขกท. ครับ ดังนั้น บางอย่าง จขกท. อาจจะไม่ได้ทราบข้อเท็จจริง ก็อาศัยการเดาอย่างเดียวครับ ผิดถูกชี้แนะได้ครับ
เริ่มจากการเดินทางวันแรกเครื่องออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ 23.15 จขกท. ต้องเข้ามาทำงานช่วงเช้าก่อน แล้วกลับไปจัดกระเป๋าตอนบ่าย 3 ของวันเดินทาง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ชิวๆ เสร็จสรรพ พร้อมเดินทาง ไม่ใหญ่มาก พอดีๆ ลำบากตรงต้องเอา Notebook ไปด้วยนี่ล่ะ
มาถึงสุวรรณภูมิเวลา 3 ทุ่มครึ่ง เช็คอินกระเป๋าเรียบร้อย ก็เดินเข้ามาตรวจหนังสือเดินทาง ไม่ได้เดินทางต่างประเทศนานมากละ รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ มันทันสมัยขึ้นเยอะ ขั้นตอนการตรวจเร็วขึ้นมาก เข้ามาก็มาเจอ ตู้ปลาที่เอาไว้ให้เด็กๆเล่น ถ่ายรูป จขกท. เห็นไม่มีคนเล่น เลยจัดซะหน่อย อิอิ
เสร็จแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะซื้ออะไร เวลาก็เหลือตั้งเยอะ เลยเดินเข้าไปหลบพักทีพักของการบินไทยก่อน ว่าจะนั่งพักเฉยๆ ของกินเค้าน่ากินอ่ะ เลยจัดซะหน่อยนึง
ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เข้านั่งที่นั่ง ครึ้งนี้ จขกท. เลือกนั่งชั้น2 เพราะเครื่องรุ่นนี้ ตรงอื่นเคยนั่งบ่อยแล้วสมัยที่เดินทางเป็นว่าเล่น เหลือชั้น2 ไม่เคยนั่งเลยอยากรู้ว่ามันเป็นงัย A380 ของการบินไทย คงเป็นรุ่นใหม่กว่าของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ที่เค้าสั่งมาใช้ตอนออกใหม่ สิ่งที่แตกต่างออกไป คือที่นั่งแคบกว่าพอควรครับ แต่จอมอนิเตอร์ใกล้เคียงกัน รู้สึกจะเล็กกว่านิดหน่อย ตัวนี้น่าจะ 13" ส่วนของ สิงคโปร์แอร์ไลน์ น่าจะเป็น 14-15" ดูหนังสะใจกว่าเยอะ
จขกท. เลือกดูหนัง 2 เรื่องคือ Homefront กับ Frozen (600D โหมด P ถ่ายแล้วเป็นริ้วๆ ต้องเปลี่ยนเป็น Tv แล้วปรับ ความไวเอาเอง จะดูเนียนกว่า)
ปกติ จขกท. จะได้นั่งที่นั่งปุ๊บจะเริ่มดูหนังเลยครับ ไม่ต้องรอเครื่องขึ้น เพราะจะทำให้ดูได้เวลานานขึ้น สำหรับคอหนัง ไม่ต้องรอเครื่องขึ้น สามารถเปิดดูได้เลยนะครับ ทั้งเครื่องรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ไม่เสียเวลาครับ ผมทำประจำ แต่จะมีรำคาญบ้าง ตอนกำลังจะขึ้น จะประกาศอะไรก็ตาม หนังจะหยุดไปครับ
ถึงละครับ ก่อนเครื่องจะลง มาเช้าเอาที่ โอซาก้า
(รูปนี้ใช้ 18-55 เลนส์ ที่แถมมากับกล้องครับ โหมด P ยิงได้สบายๆ)
ลงเครื่องที่โอซาก้า เวลา 6 โมงกว่าๆ เขียนใบ ตม. แล้วก็ไปต่อคิวเช็ค Passport คนไทยไม่ต้องมีวีซ่า แต่ จนท. ก็ถามครับ ว่ามาทำอะไร อยู่กี่วัน ก็ตอบๆไปครับ ประทับใจ จนท.ครับ เวลาถามนี่สุภาพมากๆ ไม่เหมือนประเทศทางยุโรป หรือออสเตรเลีย ที่ชอบปั้นหน้า เหมือน ตูจะกินเมิง!
รับกระเป๋าเสร็จ ก็ต้องหารถเพิ่อวิ่งเข้า Kyoto ซึ่งสอบถาม จนท.ท่องเที่ยว ให้ข้อมูลว่า มี 2 ทางคือ รถไฟฟ้า กับรถเมล์ ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยว น่าจะเป็นรถเมล์ดีกว่า เพราะต่อเดียว แต่ถ้าเป็นรถไฟฟ้า จะต้องไปต่อรถ ซึ่งจะงงกว่า และมีกระเป่าด้วย
จึงไปที่ท่ารถเบอร์(6 หรือ 8 นี่ล่ะ) จขกท. จำไม่ค่อยแม่นละ เพราะมันหลายวันเกิน ค่ารถเข้าเดียวโต จาก โอซาก้า 2,500Y ซึ่งจะมี จนท.สาวสวย ยืนอยู่ตรงตู้แนะนำเรา ว่าต้องหยอดเงินซื้อตั๋วจากตู้ยังงัย ไม่ยากครับ รถวิ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชม. กว่าๆ มั้งครับ กว่าจะถึง จขกท. หลับๆ ตื่นๆ เพราะในรถโดยสาร มันร้อนครับ เค้าเปิด Heater ไม่ได้เปิดแอร์ จากที่เราเตรียมหนาวเมื่อลงจากเครื่องมา ขึ้นรถปุ๊บ ถอดออกหมดเลย ไม่งั้นเหงื่อท่วมแน่ๆ
(เสียดายที่นั่งอึดอัดเพราะเสื้อกันหนาวที่ถอดออกมากองหน้าตัก เลยถอดเปลี่ยนเป็นเลนส์ 55-250 ไม่ถนัด เลยได้รูป เท่าที่เห็นเองครับ)
เดี่ยวมาต่อละกันครับ อีกยาวเลย วันนี้จะพาไปเที่ยวก่อนเลยครับ 2 วัด คือวัด Kinkakuji กับ Kiyomizsudera เพราะยังว่าง ตั้งครึ่งวัน