มีสาวๆหลายท่านมาถาม ว่าผู้เขียนมีวิธีการออมเงินอย่างไร ถึงได้มีเงินเก็บเยอะ พอที่จะนำมาลงทุน ทั้งๆที่ผู้เขียนทำงานมาแค่ 2 ปี ไม่ซื้อของ ไปเที่ยว บ้างหรอ ...
ซื้อค่ะ เยอะซะด้วยแต่ไม่บ่อย
ผู้เขียนโชคดีที่ ครอบครัว ที่บ้านมีนิสัยประหยัดอดออม ถึงได้มีเงินเก็บ เก็บเงินเก่ง แต่ผู้เขียนต่างจากที่บ้านตรงที่ชอบลงทุนด้วย ทีนี้เรามาดูวิธีการของทายาทนักออมดีกว่า
1. เก็บก่อน ใช้ทีหลัง
ทุกครั้งที่มีเงินเดือน ผู้เขียนจะกันเงินมา 50% เพื่อออม คนอื่นจะออมน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ มีวินัย โดยแยกบัญชีรายรับ(บัญชีที่เงินเดือนเข้า) และบัญชีรายจ่าย(บัญชีกดเงินมาใช้ หรือบัตรเดบิต/เครดิต) อย่างชัดเจน และไม่แตะต้องเงินในบัญชีรายรับเลย ทำให้การจ่ายเงินจากบัญชีออมทำได้ยาก ไม่ผูกบัตรเครดิตกับบัญชีออมเด็ดขาด อนุญาติให้ทำได้เฉพาะธุรกรรมออนไลน์ เช่น โอนเงิน เข้าบัญชี กองทุน หุ้น ได้สะดวก
2. ลดความอยาก ตั้งเป้าท้าทายตัวเอง
เมื่อเงินในบัญชีรายจ่ายเหลือน้อย พึงตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก ลดการใช้จ่าย ไม่สปอยตัวเองด้วยการเพิ่มเงินจากบัญชีรายรับเขามา (ให้คิดซะว่าเดือนนี้ เราลิมิตการใช้จ่ายไว้เท่านี้) งดการเดินห้าง ซื้อของเซลล์ ดูเว็บขายของออนไลน์เพิ่มกิเลสความอยากให้ตัวเอง ลดการทานอาหารนอกบ้านซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาสูงมาก(เงินเฟ้อ)
จากที่เคยกิน starbuck ก็เหลือกาแฟอาตี๋ และหันมาวางแผนการลงทุนเพื่อให้เงินออมเพิ่มมูลค่าไปตามเงินเฟ้อดีกว่า
ก่อนอื่นเราต้องตั้งเป้าหมายเพื่อ challenge ตัวเอง เช่นถ้าเดือนนี้ตั้งเป้ารายจ่ายไว้ที่ 12,000 บาท และเราใช้เงินเหลือ สมมติ 2000 บาท ใช้จ่ายไปจริงๆแค่ 10,000บาทเพราะประหยัด มีวินัยมา ให้คุณให้รางวัลตัวเองด้วยการเอาเงินที่เหลือไปเป็นค่าใช้จ่าย shopping กินของอร่อยในอีกเดือนได้ การทำแบบนี้ก็จะทำให้ชีวิตคุณไม่อึดอัด เก็บเงินได้และมีความสุข
3.บริหารจัดการเงินโบนัส
ใกล้จะปลายปีแล้ว หลายๆคนคงตั้งตารอเงินโบนัสปลายปี ผู้เขียนจะบอกว่าเงินโบนัสนี่แหละคือเงินที่เป็นเงินออมได้ดีที่สุด เพราะไม่ใช่เงินที่เราต้องประหยัด ต้องฝืน ต้องลดความอยากเพื่อที่จะได้มา เราสามารถบริหารจัดการเงินตรงนี้ได้ง่ายที่สุด ส่วนใหญ่เรามักจะเอาเงินส่วนนี้ไปเที่ยงต่างประเทศ หาประสบการณ์ชีวิตซึ่งมันก็มักจะหมดไปอย่างง่ายดาย นี่คือสาเหตุที่เราไม่มีเงินเก็บซะที เรื่องเที่ยวก็สำคัญแต่เรื่องเงินสำคัญกว่า เพราะยิ่งเราออมก่อน ลงทุนก่อน เงินส่วนนี้จะทบต้นแบบเหลือเชื่อ (เพราะตลาดหุ้นให้ผลตอบแทน 10กว่า % ทุกปีจากสถิติ) ดังนั้นช่วงเวลา 3 ปีแรกที่เริ่มทำงานจึงเป็นช่วงเวลาที่เงินต้นคุณจะงอกเงยได้อย่างง่ายดาย เพราะคุณมีภาระค่าใช้จ่ายน้อยกว่า พอคุณมีเงินเก็บที่ทำงานให้คุณในจำนวนหนึ่งแล้ว (เงินที่สร้างpassive incomeมากกว่าเงินฝาก)คุณค่อยหาเงินไปเที่ยวทีหลังก็ได้ ยิ่งอายุมากเท่าไร ภาระค่าใช้จ่ายยิ่งมาก คุณยิ่งเก็บเงินได้ยากขึ้นเท่านั้น
4.การทำบัตรเครดิต ไม่ได้เสียหาย
มีคนบอกว่าการมีบัตรเครดิตเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ ทำให้เสี่ยงที่จะเป็นหน้ ใช้จ่ายเกินตัว แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วย เพราะการทำบัตรเครดิตให้เกิดประโยชน์ก็มี ถ้ารู้จักใช้ ยกตัวอย่างเช่น วันหนึ่งคุณเจ็บป่วย/ประสบอุบัติเหตุกระทันหันขึ้นมาต้องไปโรงพยาบาล สมัยนี้ใครจะรักษาให้คุณถ้าคุณไม่มีประกันที่วงเกินดีๆ หรือ มีบัตรเครดิต เพราะฉะนั้นมันช่วยชีวิตคุณได้เลย อีกกรณีหนึ่งคือการมีบัตรเครดิตเพื่อรับส่วนลดร้านค้าร่วมบริการ ก็นับว่ามีประโยชน์มากเพราะได้ซื้อของถูกลง แต่ทั้งที่ทั้งนั้นบริหารรายจ่ายกันด้วยนะจ๊ะ
5.เมือมีเงินเก็บ อย่ารีรอที่จะนำมาลงทุน เริ่มจากกองทุน ดัชนีก่อน หาจังหวะซื้อช่วงหุ้นต่ำ หรือจะลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ปันผลดีก็ได้ แต่ต้องไม่ตกใจหายตอนหุ้นตกนะจ๊ะ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นมุมมองง่ายๆ ที่อยากแชร์ค่ะ มีอะไรพูดคุยกันได้ค่ะ ผู้เขียนกำลังจะเขียนบล็อคการลงทุนค่ะ
วิธีออมเงิน สำหรับสาวออฟฟิศ
ซื้อค่ะ เยอะซะด้วยแต่ไม่บ่อย
ผู้เขียนโชคดีที่ ครอบครัว ที่บ้านมีนิสัยประหยัดอดออม ถึงได้มีเงินเก็บ เก็บเงินเก่ง แต่ผู้เขียนต่างจากที่บ้านตรงที่ชอบลงทุนด้วย ทีนี้เรามาดูวิธีการของทายาทนักออมดีกว่า
1. เก็บก่อน ใช้ทีหลัง
ทุกครั้งที่มีเงินเดือน ผู้เขียนจะกันเงินมา 50% เพื่อออม คนอื่นจะออมน้อยกว่านี้ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ มีวินัย โดยแยกบัญชีรายรับ(บัญชีที่เงินเดือนเข้า) และบัญชีรายจ่าย(บัญชีกดเงินมาใช้ หรือบัตรเดบิต/เครดิต) อย่างชัดเจน และไม่แตะต้องเงินในบัญชีรายรับเลย ทำให้การจ่ายเงินจากบัญชีออมทำได้ยาก ไม่ผูกบัตรเครดิตกับบัญชีออมเด็ดขาด อนุญาติให้ทำได้เฉพาะธุรกรรมออนไลน์ เช่น โอนเงิน เข้าบัญชี กองทุน หุ้น ได้สะดวก
2. ลดความอยาก ตั้งเป้าท้าทายตัวเอง
เมื่อเงินในบัญชีรายจ่ายเหลือน้อย พึงตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก ลดการใช้จ่าย ไม่สปอยตัวเองด้วยการเพิ่มเงินจากบัญชีรายรับเขามา (ให้คิดซะว่าเดือนนี้ เราลิมิตการใช้จ่ายไว้เท่านี้) งดการเดินห้าง ซื้อของเซลล์ ดูเว็บขายของออนไลน์เพิ่มกิเลสความอยากให้ตัวเอง ลดการทานอาหารนอกบ้านซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาสูงมาก(เงินเฟ้อ)
จากที่เคยกิน starbuck ก็เหลือกาแฟอาตี๋ และหันมาวางแผนการลงทุนเพื่อให้เงินออมเพิ่มมูลค่าไปตามเงินเฟ้อดีกว่า
ก่อนอื่นเราต้องตั้งเป้าหมายเพื่อ challenge ตัวเอง เช่นถ้าเดือนนี้ตั้งเป้ารายจ่ายไว้ที่ 12,000 บาท และเราใช้เงินเหลือ สมมติ 2000 บาท ใช้จ่ายไปจริงๆแค่ 10,000บาทเพราะประหยัด มีวินัยมา ให้คุณให้รางวัลตัวเองด้วยการเอาเงินที่เหลือไปเป็นค่าใช้จ่าย shopping กินของอร่อยในอีกเดือนได้ การทำแบบนี้ก็จะทำให้ชีวิตคุณไม่อึดอัด เก็บเงินได้และมีความสุข
3.บริหารจัดการเงินโบนัส
ใกล้จะปลายปีแล้ว หลายๆคนคงตั้งตารอเงินโบนัสปลายปี ผู้เขียนจะบอกว่าเงินโบนัสนี่แหละคือเงินที่เป็นเงินออมได้ดีที่สุด เพราะไม่ใช่เงินที่เราต้องประหยัด ต้องฝืน ต้องลดความอยากเพื่อที่จะได้มา เราสามารถบริหารจัดการเงินตรงนี้ได้ง่ายที่สุด ส่วนใหญ่เรามักจะเอาเงินส่วนนี้ไปเที่ยงต่างประเทศ หาประสบการณ์ชีวิตซึ่งมันก็มักจะหมดไปอย่างง่ายดาย นี่คือสาเหตุที่เราไม่มีเงินเก็บซะที เรื่องเที่ยวก็สำคัญแต่เรื่องเงินสำคัญกว่า เพราะยิ่งเราออมก่อน ลงทุนก่อน เงินส่วนนี้จะทบต้นแบบเหลือเชื่อ (เพราะตลาดหุ้นให้ผลตอบแทน 10กว่า % ทุกปีจากสถิติ) ดังนั้นช่วงเวลา 3 ปีแรกที่เริ่มทำงานจึงเป็นช่วงเวลาที่เงินต้นคุณจะงอกเงยได้อย่างง่ายดาย เพราะคุณมีภาระค่าใช้จ่ายน้อยกว่า พอคุณมีเงินเก็บที่ทำงานให้คุณในจำนวนหนึ่งแล้ว (เงินที่สร้างpassive incomeมากกว่าเงินฝาก)คุณค่อยหาเงินไปเที่ยวทีหลังก็ได้ ยิ่งอายุมากเท่าไร ภาระค่าใช้จ่ายยิ่งมาก คุณยิ่งเก็บเงินได้ยากขึ้นเท่านั้น
4.การทำบัตรเครดิต ไม่ได้เสียหาย
มีคนบอกว่าการมีบัตรเครดิตเป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ ทำให้เสี่ยงที่จะเป็นหน้ ใช้จ่ายเกินตัว แต่ผู้เขียนไม่เห็นด้วย เพราะการทำบัตรเครดิตให้เกิดประโยชน์ก็มี ถ้ารู้จักใช้ ยกตัวอย่างเช่น วันหนึ่งคุณเจ็บป่วย/ประสบอุบัติเหตุกระทันหันขึ้นมาต้องไปโรงพยาบาล สมัยนี้ใครจะรักษาให้คุณถ้าคุณไม่มีประกันที่วงเกินดีๆ หรือ มีบัตรเครดิต เพราะฉะนั้นมันช่วยชีวิตคุณได้เลย อีกกรณีหนึ่งคือการมีบัตรเครดิตเพื่อรับส่วนลดร้านค้าร่วมบริการ ก็นับว่ามีประโยชน์มากเพราะได้ซื้อของถูกลง แต่ทั้งที่ทั้งนั้นบริหารรายจ่ายกันด้วยนะจ๊ะ
5.เมือมีเงินเก็บ อย่ารีรอที่จะนำมาลงทุน เริ่มจากกองทุน ดัชนีก่อน หาจังหวะซื้อช่วงหุ้นต่ำ หรือจะลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ปันผลดีก็ได้ แต่ต้องไม่ตกใจหายตอนหุ้นตกนะจ๊ะ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นมุมมองง่ายๆ ที่อยากแชร์ค่ะ มีอะไรพูดคุยกันได้ค่ะ ผู้เขียนกำลังจะเขียนบล็อคการลงทุนค่ะ