รักละไม ไอทะเล บทที่ 6 ปลาดิบมื้อพิเศษ

กระทู้สนทนา
บทที่ 5 ความวุ่นวายในงานอิเวนท์
http://pantip.com/topic/31022210

บทที่ 6 ปลาดิบมื้อพิเศษ

หลังพาช่อแก้วไปส่งที่บ้านแล้ว ร้อยตำรวจเอกสันติย้อนกลับไปที่ทำงาน ซึ่งเมื่อไปถึงเขาก็ตรงดิ่งไปยังห้องประชุม ซึ่งผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องรออยู่ หลังจากรายงานผลการทำงานรวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้างสรรพสินค้าและเบาะแสของผู้ต้องสงสัยแล้ว ที่ประชุมจึงรายงานสถานการณ์อื่นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการพบศพหญิงสาวรายล่าสุดในโรงแรมม่านรูดย่านชานเมือง ที่ปรากฏว่าเป็นอดีตนางแบบสาวที่หายหน้าไปจากวงการเมื่อหลายเดือนก่อน การหายตัวไปอย่างลึกลับของสาวโคโยตี้สามคน แต่ต่างสถานที่ การตรวจพบยาเสพติดชนิดใหม่ที่เริ่มระบาดในหมู่วัยรุ่น และการจับกุมผู้ค้ารายใหญ่ได้ถึงสามราย ซึ่งเมื่อสืบค้นแล้วพบว่าทุกเรื่องโยงไปถึงตัวการสำคัญที่ชื่อ ทรงยศ โพธิ์รัตนะ

การประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เพราะไม่ว่าจะได้เบาะแสมายังไง ก็ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานการจับกุมผู้ต้องสงสัยรายนี้ได้ ผู้ค้าทั้งสามต่างปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักกับนายทรงยศ ซ้ำยังยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ผลิตยา ส่วนศพที่พบในโรงแรมนั้นก็ถูกทำความสะอาดอย่างเกลี้ยงเกลา นอกจากร่างเย็นชืดไร้ลมหายใจแล้ว ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือพอที่จะสาวไปถึงฆาตกรได้เลย

เวลาล่วงไปจนถึงสองทุ่มครึ่ง การประชุมจึงเสร็จสิ้น หลังกำชับแผนการและย้ำให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังแล้ว ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับ นายตำรวจหนุ่มเดินหอบแฟ้มกลับไปยังห้องทำงานและจมอยู่ในนั้นจนถึงเที่ยงคืน จึงรวบรวมงานบางส่วนจัดลงแฟ้มเพื่อนำกลับไปทำต่อ ส่วนที่เหลือเก็บเข้าตู้ ล็อคกุญแจ จากนั้นจึงออกจากห้อง ตรงไปที่รถเพื่อเดินทางกลับบ้าน

ระหว่างขับรถ สันติหวนนึกถึงผู้ต้องสงสัยที่ชื่อทรงยศ เขารู้แค่ว่าผู้ชายคนนี้มีฐานะร่ำรวยจากการเล่นหุ้น รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา แต่งกายสุภาพในแบบนักธุรกิจ ชอบคบหาสมาคมกับคนในสังคมชั้นสูง แต่เบื้องหลังแล้วนายทรงยศเป็นจอมวายร้ายดัวฉกาจ ซึ่งหาเงินจากการค้ายาและผู้หญิง ความจริงแล้วเขาเคยคิดจะหาหลักฐานจับกุมด้วยการสืบค้นประวัติ แต่ปรากฏว่านายทรงยศผู้นี้เป็นบุคคลลึกลับ นอกจากชื่อ นามสกุลและหลักฐานการเงินในส่วนของการซื้อขายหุ้นแล้ว ไม่มีอย่างอื่นอีกเลย ไม่มีชื่อบิดา-มารดา ไม่มีพี่น้อง เชื้อชาติ ศาสนา ไม่มีประวัติอะไรทั้งนั้น ราวกับว่าจู่ๆผู้ชายคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น เหมือนปิศาจที่ก้าวออกมาจากขุมนรก   

เหยื่อส่วนใหญ่ของนายทรงยศเป็นพวกมีหน้ามีตาในสังคม จึงไม่มีใครกล้าโวยวายหรือแจ้งความ ส่วนผู้หญิงที่ถูกหลอกให้ค้าประเวณีมักเป็นกลุ่มนางแบบ หรือนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งเมื่อหลุดเข้าไปในวงจรของจอมวายร้ายคนนี้แล้ว เธอเหล่านั้นก็จะไม่มีโอกาสหลุดรอดออกมาได้เลย ถ้าคนไหนคิดหนีหรือแจ้งตำรวจ โทษที่ได้รับมีเพียงสถานเดียวเท่านั้น คือความตาย

การพบศพของนางแบบสาวที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อหลายเดือนก่อนยิ่งทำให้นายตำรวจหนุ่มมืดแปดด้าน เพราะจากหลักฐานที่พบ ชี้ไปในทางเดียวว่าเธอเสพยาเกินขนาดจนถึงแก่ความตาย ทั้งที่ตำรวจพยายามรื้อทุกอย่าง ค้นห้องทุกซอกทุกมุม ทำแม้กระทั่งใช้มือคุ้ยถังขยะ แต่ก็ไม่มีเบาะแสอะไรที่สามารถสาวไปถึงตัวนายทรงยศได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว

ข้อดีเพียงประการเดียวที่ได้จากการตายของนางแบบคนนี้คือ เหยื่อรายใหม่ สายของตำรวจสืบทราบมาว่า เป้าหมายสำคัญของจอมวายร้ายคนนี้คือมุกมณี วงศ์นาคา นางแบบสาวชื่อดัง ผู้บังคับบัญชาจึงมอบหน้าที่ให้เขาเฝ้าสังเกตการณ์เธอทุกฝีก้าว เพื่อป้องกันไม่ให้นางแบบผู้นี้ตกเป็นเหยื่อของนายทรงยศ และในโอกาสเดียวกันก็คอยหาจังหวะจับกุมกลุ่มค้ามนุษย์

การไปงานอีเวนท์ในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในแผนการของเขา เพราะสันติได้ข่าวว่านายทรงยศจะไปที่นั่นเพื่อมองหาเหยื่อรายใหม่ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นนกรู้ ทั้งที่สั่งให้ลูกน้องปลอมตัวปะปนเข้าไปในฝูงชนแต่กลับไม่มีใครพบอาชญากรตัวร้ายนี่เลยสักคน

ที่น่าโมโหก็คือ หลังออกจากห้างสรรพสินค้า สายก็โทร.มารายงานว่าเห็นรถของทรงยศกำลังวิ่งออกมาจากห้างเช่นเดียวกัน

สันติทุบพวงมาลัยด้วยความเจ็บใจ แต่เมื่อมานึกอีกทีต่อให้จับกุมตัวทรงยศเอาไว้ได้ เขาก็ไม่มีหลักฐานอะไรมัดตัวผู้ชายคนนี้เลยสักชิ้น อย่างมากก็แค่นำตัวไปสอบปากคำซึ่งคนฉลาดเป็นกรดอย่างนายทรงยศย่อมไม่มีทางทำอะไรเป็นพิรุธหรือหลุดปากพูดอะไรอยู่แล้ว หรือถ้าจะขัง ก็กักเอาไว้ได้ไม่นาน พอทนายมา วายร้ายคนนี้ก็เดินปร๋อออกจากห้องขังได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

นายตำรวจหนุ่มหมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไปในซอย วิ่งต่อไปอีกหน่อยก็ถึงบ้าน เมื่อจอดเรียบร้อยเขาจึงหยิบแฟ้มที่ติดมาจากที่ทำงานซึ่งวางไว้บนเบาะด้านข้างและนั่งใช้ความคิดอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่จึงก้าวลงจากรถ เดินเข้าบ้านเพื่อนั่งวางแผนจับคนร้ายขั้นต่อไป

*/*/*/*/*

เสียงโทรศัพท์ปลุกมุกมณีให้ตื่นจากนิทราอันแสนสุข หญิงสาวบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิดพลางเอื้อมมือไปรับขณะเดียวกันก็ชำเลืองตาดูนาฬิกาและนิ่วหน้าเมื่อพบว่าเป็นเวลาบ่ายโมงตรง

“ค่ะ” เธอพูดสั้นๆพร้อมกับปิดเปลือกตาลงอย่างง่วงงุน เสียงเย็นตาโฟดังจนแทบจะทะลุสายโทรศัพท์ออกมา

“อะไรกัน ยังไม่ตื่นอีกเหรอ บ่ายโมงแล้วนะมุก ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว”

คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน

“วันนี้ไม่มีงานนี่คะ”

“ใครว่าละ วันนี้มุกต้องไปถ่ายปฏิทิน ลืมไปแล้วเหรอ”    

มุกมณีนอนทบทวนและนึกขึ้นได้ว่าเธอมีนัดพิเศษกับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าว่าจะถ่ายปฏิทินจำหน่ายเพื่อการกุศล ความจริงมันใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแต่ความอ่อนล้าจากเหตุการณ์เมื่อวานทำให้เธอไม่อยากไปไหนเลย

“เลื่อนไปวันอื่นไม่ได้เหรอ” เธอบ่ายเบี่ยง เย็นตาโฟตอบทันที

“ไม่ได้ มุกว่างแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว อีกครึ่งชั่วโมงพี่ไปรับ”

นางแบบสาวรับคำพลางถอนใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนวางสายและลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดื่มน้ำ พอตาเริ่มสว่างเธอก็เดินไปยืนที่หน้าต่างเพื่อดูทิวทัศน์ในขณะเดียวกันก็หวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่เข้าวงการ ต่อให้ทำงานหนักแค่ไหนเธอก็ไม่เคยเหนื่อยเลยสักครั้ง จึงเป็นเรื่องแปลกที่จู่ๆเธอเกิดอาการอ่อนแรงจนเป็นลมล้มพับกลางงาน มุกมณีแน่ใจว่าสาเหตุไม่ได้มาจากความอ่อนเพลีย แต่เกิดจากอำนาจของอะไรบางอย่างสะกดให้มีอันเป็นไป

อำนาจที่ว่านั้นคือ อาคม และเป็นมนต์จำเพาะซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ สิ่งสำคัญการร่ายอาคมที่ว่านี้จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเท่านั้น จึงไม่ใช่เป็นการกระทำของพวกหมอผีหรือคนทรงแน่  

ใบหน้างามเต็มได้วยความเคร่งเครียด แสดงว่ามีคนรู้ตัวจริงของเธอ แต่จะมันจะเป็นไปได้ยังไง เพราะเผ่าพันธุ์ของเธอมีพลังในการจำแลงกายได้เหมือนมนุษย์มากที่สุด ต่อให้เป็นพวกที่มีอาถาอาคมก็ไม่มีทางมองเห็นกายที่แท้จริงของเธอได้ จะยกเว้นก็แต่ผู้ที่มีสภาวะสูงกว่า ซึ่งหากไม่มีกิจธุระ เขาเหล่านั้นก็ไม่มีทางที่จะลงมายังโลกมนุษย์

มุกมณีคิดพลางมองเรือที่กำลังแล่นฉิวไปตามลำน้ำ ตอนนั้นเองที่เธอฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ทั่วทั้งเรือนกายเกิดอาการขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน หญิงสาวรีบสะบัดหน้าเพื่อไล่ความคิดดังกล่าวทิ้งไป

เป็นไปไม่ได้หรอก

เธอหมุนตัวไปหยิบผ้าเช็ดตัวจากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วก็เดินไปเปิดเครื่องชงกาแฟก่อน แล่วค่อยไปนั่งแต่งหน้า พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พอเปิดออกเย็นตาโฟก็ยิ้มร่าเข้ามา

“รอนานมั้ย พอดีผ่านตลาดนัดเห็นปาท่องโก๋น่ากิน เลยซื้อมาฝาก อ้อ มีน้ำเต้าหู้ด้วยนะ”

ไม่พูดเปล่าเขายังชูถุงขึ้นอวดก่อนจะเดินเข้าครัวและเทปาท่องโก๋ใส่จาน มุกมณีหยิบถ้วยออกจากตู้มาสองใบพร้อมกับถาม

“แล้วกาแฟล่ะ”

“มุกชงไว้แล้วเหรอ” เย็นตาโฟถามพลางมองไปยังเครื่องชงแล้วยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไร กินน้ำเต้าหู้ก่อนแล้วค่อยตบกาแฟตาม”

“กินเยอะขนาดนั้นเดี๋ยวก็ได้วิ่งเข้าห้องน้ำกันทั้งวันหรอก” นางแบบสาวกระเซ้าพลางหยิบปาท่องโก๋ใส่ปากเคี้ยว ช่างแต่งหน้าหนุ่มหัวเราะ

“ช่างพี่เถอะน่า อีกอย่างห้องน้ำที่พีเจน่าเข้าจะตายไป”

มุกมณีชะงักมือและขมวดคิ้ว

“ที่ไหนนะพี่โฟ”

“พี่เจ แอดเวอร์ไทซิ่ง” เย็นตาโฟตอบพลางยกถ้วยน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่ม พอเห็นสีหน้าฉงนของหญิงสาวเขาก็ถาม “อ้าว มุกไม่รู้เหรอว่าเขานัดเราไปถ่ายแบบกันที่นั่น”

มุกมณีสั่นศีรษะ เกย์หนุ่มจึงทำหน้านึกพร้อมกับบ่น

“เอ พี่ไม่ได้บอกมุกเหรอเนี่ย แต่ก็ช่างเถอะ” เขาตัดบทและหยิบปาท่องโก๋ใส่ปากเคี้ยว “จริงสิ คุณจิรายุสเป็นช่างภาพของที่นั่นด้วยนี่นา พี่จะได้ถือโอกาสขอบคุณที่เขาช่วยเมื่อวานนี้ด้วย”

พูดจบก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ

“เขาน่ารักดีนะ หน้าตาดูใสซื่ออย่างกับการ์ตูนญี่ปุ่น อยากรู้จังว่าถ้าไม่มีแว่นแล้วจะเป็นยังไง วันนี้ลองขอให้เขาถอดดูดีกว่า”

“เขาก็เหมือนไก่ตาฟางนะสิพี่โฟ” มุกมณีประชด เย็นตาโฟยกมือขึ้นทาบอก

“ตายแล้ว ทำไมมุกไปเปรียบเขาแบบนั้น”

นางแบบสาวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้พลางยกถ้วยน้ำเต้าหู้ขึ้นพร้อมกับพูด

“ก็แหม คนสายตาสั้น เอาแว่นออกแล้วมันจะไปมองเห็นอะไร”

“พูดอย่างนี้แสดงว่ามุกไม่เข้าใจวิถีของหนุ่มแว่น” เย็นตาโฟพูดด้วยท่าทางราวกับนักวิชาการ “พวกนี้น่ะให้ความรู้สึกได้สองอารมณ์ ตอนใส่แว่นก็ดูน่ารัก น่าหยอก แต่พอถอดก็จะกลายเป็นหนุ่มมาดเข้ม น่าบีบน่าเคล้นไปทั้งตัว”

พูดพลางขยับนิ้วอย่างมันเขี้ยว มุกมณีทำหน้าสยอง

“มุกว่าถ้าเขาเห็นพี่ตอนนี้ คงเผ่นแนบไปไกลเลยละ”

เย็นตาโฟค้อนปะหลับปะเหลือก

“พี่ไม่มีทางให้เขาเห็นหรอกย่ะ”

อาการสะบัดสะบิ้งทำให้มุกมณีต้องนั่งอมยิ้มอย่างนึกขัน แต่ก็ยังคงหาเรื่องกระเซ้า

“เห็นตอนแรกบอกว่าเขาเป็นหมาป่า แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นหนุ่มแว่นน่ารักไปได้”

“เพราะเขามีน้ำใจ เมื่อวานตอนมุกเป็นลม มีแต่คนมุงแต่ไม่มีใครช่วย แต่คุณจิรายุสกลับกล้าฝ่าฝูงนักข่าวเข้าไปอุ้มมุกโดยไม่สนใจอะไร”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่