ตอนแรกก็ผ่านการรับชมจากน้าๆป้าๆกันไปแล้วนะครับต้องขอขอบคุณป้าๆน้าๆที่ช่วยดันกระทู้ลูกหม้อแท้ๆของห้องกล้องจนได้เป็นกระทู้แนะนำติดชาร์ทอยู่หลายวันทำให้หลายท่านไม่พลาดการชมขอให้ช่วยดันกันเรื่อยๆทุกๆตอนด้วยนะครับ วันนี้ไม่ต้องรอช้าตามผมมาเที่ยวต่อกันเลยครับ
1. จากตอนที่แล้วที่ได้พาเที่ยวชมสวนแห่งทวยเทพในสภาพฟ้าปิดหลังฝนตกทำให้ดูทะมึนๆไม่สดใสเท่าที่ควรแล้วก็มาจบลงในถนนสายหลักกลางเมือง Manitou springs ที่มีร้านอาหารเก่าแก่อาคารสวยโดดเด่นที่สุดภาพนี้
2. ฟ้าใกล้จะมืดแล้วผมเลยขอลาย่านกลางเมืองที่มีคนพลุกพล่านที่สุดไปงีบเพื่อเอาแรงเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น
3. เป้าหมายแรกของเช้านี้ก็คือยอดเขา Pikes Peak ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเล 14,110 ฟุตหรือประมาณ 4.3 กิโลเมตรวัดตามแนวดิ่ง (สูงกว่ายอดอินทนนท์ที่สูงสุดของไทยมากพอสมควร) Pikes Peak นี่จัดเป็นยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาส่วนหน้าของเทือกเขา Rocky ทางเข้าถนนสู่ยอดเขานี้อยู่ไม่ห่างจากต้วเมือง Manitou springs ที่ผมพักเท่าไรประมาณสัก 11 ไมล์จากวงเวียนตรงถนนหลักของเมืองที่นำภาพมาให้ชมในตอน 1ที่เคยกล่าวไว้บ้างเล็กน้อย การขึ้นสูงยอดเขา Pikes Peak แห่งนี้ทำได้สองทางคือทางรถยนต์จากปากทางเข้าไปถึงยอดสูงสุด (summit) และทางรถไฟของบริษัท cog railroad ที่ขึ้นจากในเมือง Manitou springs มาอีกด้านหนึ่งของเขาแต่มาถึงยอดเขา ณ จุดเดียวกันซึ่งตอนแรกผมตั้งใจจะขี้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายในตอนเย็นเพื่อเก็บแสงอาทิตย์ตกดินแต่พอขึ้นเไปถึงทราบว่ารถไฟก็วิ่งมาถึงจุดเดียวกันแถมรถไฟมีกระจกกั้นไม่เหมาะแก่การถ่ายภาพรวมทั้งไม่สามารถจอดถ่ายภาพได้เป็นระยะๆก็เลยยกเลิกไปประหยัดเงินไปคนละ 35 เหรียญและประหยัดเวลาเที่ยวไปอีก 3-4 ช.ม. อ้อ..แต่การใช้รถยนต์ขึ้นมาก็ต้องจ่ายค่าผ่านทางให้ทาง National Park เป็นเงินคนละ 12 เหรียญด้วยนะครับ
4. จากด่านที่ชำระเงินทางเข้ามาประมาณ 6.5 ไมล์ก็เจอเขื่อนเล็กๆมีคนนั่งตกปลาอยู่พอสมควรเพราะอากาศดีท้องฟ้าสดใส
5. อย่างคุณลุงคนนี้นั่งทอดอารมณ์ตกปลาที่ปลายแหลมเล็กๆดูแล้วน่าอิจฉาผลักให้กลิ้งลงไปในน้ำนะครับ....กรั๊กๆๆ
6. ที่จุดนี้มีห้องน้ำให้เข้าและมีร้านขายกิ๊ฟช๊อปเล็กๆพอให้ ผบ.ผมเดินหาที่ระลึกได้ผมเองเลยมีเวลาเอาเลนส์มือหมุนมาส่องพันธ์หญ้าแปลกๆอย่างภาพนี้
7. ดูแล้วน่าจะเป็นไม้สนแบบบอนไซเล็กๆสวยแปลกดีแถวๆบ้านผมไม่เคยเจอ
8. ดอกไม้ป่าสีม่วงๆมีให้ถ่ายเยอะแยะมากมายหลายพันธ์
9.จากเขื่อนขับรถต่อมาสักพักก็เจอด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ยอด Pikes Peak คล้ายๆประมาณ หล่มช้างด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าเทือกเขาพระอุมาในนิยายเรื่องดัง เพชรพระอุมา ของ พนมเทียน ที่อ่านกันกี่รอบก็ไม่เบื่อ
10.นี่ครับสถานีสุดท้ายก่อนขึ้นเขาสูงชันที่มีบริการยอดเยี่ยมขาลงจะมีเจ้าหน้าที่ที่ป้อมใช้เครื่องมือวัด (น่าจะเป็นเครื่องวัดความร้อน) จากบริเวณล้อหน้าของรถว่ารถของคุณจานเบรคและล้อยางร้อนเกินไปจากการลงจากเขาหรือเปล่าถ้าร้อนเกินไปเจ้าหน้าที่ก็จะให้แวะรถพักก่อนเดินทางต่อเพื่อความปลอดภัยของท่านไม่ใช่ตั้งแต่ด่านรีดไถ่เหมือนๆบ้างประเทศ...อ้อมีเสียงกระซิบว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีแย้วว...
11. เตรียมกระโถนเตรียมยาดมพร้อมกันแล้วก็เริ่มการเดินทางสู่ยอดเขาด้วยถนนแคบๆทางสูงชันมีโค้งยูเทรินแบบ 180 องศาหรือมากกว่าอยู่มากมาย
12. อย่างโค้งนี้ก็น่าจะเกิน 180 องศา
13. ทั้งรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ และมนุษย์ยอดทรหดปั่นจักรยานขึ้นก็เห็นอยู่เป็นระยะๆวิ่งตามกันไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดจะแซงเพราะแค่วิ่งตามกันก็เสียวสะดือแล้ว
14. นอกจากทางเล็กขนาดแค่รถพอสวนกันได้และแทบไม่มีไหล่ทางโค้งสุดๆอย่างที่เห็นแล้วยังเพิ่มความหวาดเสียวด้วยการไม่มีที่กั้นตรงทางโค้งคงเกรงว่าจะบังวิวทิวทัศน์สำหรับคนที่ชอบชะโงกชมเหวลึกๆเล่นเอาใครที่ขับด้านติดเหวเสียววาบๆตรงท้องน้อยหดกันไปหมดทั้งตัว
15. พอถึงระดับสูงเทียมเมฆก็จะมีเมฆหมอกบังตาอีกเป็นระยะๆเล่นเอาคนที่ราบสูงโคราชอย่างผมยังต้องเหงื่อตกตาลายแต่ถ้าได้ขับด้านติดหน้าผาก็ค่อยยังชั่วหน่อยและดีก็ตรงที่รถแต่ละคันที่ขับขึ้นไปใช้ความเร็วไม่เกิน 25 ไมล์/ช.ม.กันอย่างเคร่งครัดลดอุบัติเหตุได้มากมายข้างๆทางก็มีดอกไม้สวยๆพันธ์แปลกตาไม่เคยพบให้เห็นเป็นระยะๆแต่ผมก็ได้แค่ชำเลืองมองด้วยหาตาเพราะต้องใช้สมาธิขับรถผ่าเมฆหมอกและทางโค้งอยู่
16.อาศัย ผบ.นั่งอยู่ข้างๆเก็บภาพดอกไม้ริมทางสวยๆมาให้ชมกัน
17. จะมีที่จอดรถให้ผู้ที่รักการเดินไต่เขาฝ่าสายหมอกชมมวลผุปผาชาติกันให้อิ่มแต่ผมประเมินกำลังแล้วคงเดินไม่ไหวแน่ๆเพราะมีแต่ที่ชันๆแถมอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากมาย
18. ใช้เวลาครู่ใหญ่ไต่เขามาอย่างช้าๆแต่หวาดเสียวประมาณร่วม ช.ม.ก็มาถึงบริเวณลานจอดรถ ณ จุดสูงสุดของยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอก
19. ขึ้นมาถึงยอดแล้วผมรู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมากหายใจถี่ขึ้นลงไปเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็หอบแฮกๆเดินไม่ไหวต้องนั่งพักในรถปล่อยให้ ผบ.เดินล่วงหน้าไปก่อน แต่ตอนหลัง ผบ.ก็มาสารภาพว่าเดินไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยแฮกเหมือนกัน..โธ่..คิดว่ายังสาวๆอยู่เหรอ
20. มองไปตรงบริเวณลานจอดรถอีกด้าน
21. นี่แหละครับที่เค้าว่าเขาสูงเทียมฟ้าของจริง
22. สถานีตรวจสภาพอากาศบนยอด Pikes Peak
23. ในเดือน ก.ค. 1893 Katharine Lee Bates ได้แต่งเพลง "America the Beautiful" หลังจากได้ชมความงดงามบนยอดเขา Pikes Peak แห่งนี้เพลงนี้มีทำนองเพลงไพเราะจนเกือบจะทำให้เป็นเพลงชาติของสหรัฐแทนเพลง "The Star-Spangled Banner" ในยุคของประธานาธิบดี John F. Kennedy แต่ก็ได้แค่เกือบเพราะทำไม่สำเร็จประวัติและคำประพันธ์เพลงนี้ได้จารึกไว้บนแผ่นโลหะ ณ ยอดสูงสุดของ Pikes Peak แห่งนี้
24.สถานีสุดท้ายสุดปลายทางที่สวรรค์ ?
25. อย่างที่เกริ่นในตอนแรกๆว่าการขึ้นมาที่ Pikes Peak นี่ทำได้ 2 ทางคือทางรถยนต์และทางรถไฟแต่ก็จะมาสุดปลายทางที่ยอดเขาจุดนี้จุดเดียวกัน
26. รถไฟเที่ยวนี้ผู้โดยสารคงเยอะเพราะเห็นมาการลากตู้รถไฟมาเสริมอีกตู้
27. บรรยากาศที่ชานชลาสถานีแห่งสรวงสรรค์ที่ไม่ยักกะมีข้าวเหนียวไก่ย่าง โอเลี้ยง ยาหม่องยาดมลูกอมหมากฝรั่งขายแบบสถานี ร.ฟ.ท.เลยแหะ
28. เสียงหวูดรถไฟดังเตือนเรียกผู้โดยสารให้กลับมายังรถไฟเป็นครั้งที่ 1 ทำให้คิดถึงเพลงลาสาวแม่กลองของพนม นพพรที่มีท่อนหนึ่งร้องไว้ว่า แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัย สมุทรสงคราม คงละเมอเพ้อพร่ำ ... แหมถ้าสถานีนี้มีเพลงนี้ละก็บรรยากาศคงสมบูรณ์กว่านี้นะ
29.เห็นเจ้าหนุ่มคนนี้ปีนไปก้มๆเงยๆอ่านป้ายทองเหลืองสามเหลี่ยมที่แปะอยู่บนยอดเขาอยู่ก็เลยเก็บภาพไว้
30.ซูมเข้าไปดูใกล้ๆมองเห็นป้ายไม่ถนัดว่าเขียนอะไรไว้ดูแล้วคล้ายๆยันต์ 5 แถวของอาจารย์หนูนะ
31. มองไปด้านล่างภูเขาแล้วอยากจะกลับลงไปด้านล่างกลับไปเป็นคนธรรมดาๆดีกว่าถึงแม้ผมจะเป็นคนที่ตาไม่ได้ดูดาวแต่เท้าผมก็ติดดินนะครับ แต่ก็ต้องนั่งพักให้หายเวียนหัวก่อนซึ่งตอนแรกๆผมยังคิดว่าทำไงจะขับลงเขาไหวเพราะเวียนหัวตาลายไปหมดแต่ได้นั่งพักแล้วดื่มน้ำสักครึ่ง ช.ม.อาการก็จะดีขึ้นพร้อมที่จะเดินทางลงจากยอดเขาได้
32.นี่ครับรถแวนคู่ใจ Honda Odyssey ที่พวกลูกๆผมบอกว่าเป็นรถคนแก่แต่ก็เห็นยืมไปบรรทุกของประจำ มาทริปนี้ทำให้ผมขนคลังแสงมาได้อย่างจุใจแต่ก็ไม่สามารถแบกไปพร้อมกันตัวตอนเดินไหวต้องเลือกบ้างตัวใส่กระเป๋าเป้สะพายหลังไปเท่านั้น
33.หลังจากชมยอดเขาเสร็จแล้วก็เดินทางลงมาใกล้จะถึงพื้นราบปกติเห็นวิวด้านล่างเป็นถนนและมีบ้านเรือนก็เก็บภาพไว้อีก
34.จุดหมายต่อไปก็คือ Cliff Dwellings บ้านแห่งภูผาของชนเผ่าอินเดียแดงยุคโบราณที่ใช้หน้าผามาขุดเจาะทำเป็นที่อยู่อาศัยหลบฝนหลบแดดและลมได้อย่างดีเยี่ยมบ้านแห่งภูผานี่ก็อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง Manitou springs เช่นกันครับ ที่จริงแล้วบ้านแห่งภูผาแห่งนี้เป็นของชนเผ่าAnasazi ที่อาศัยอยู่แถบ Four Corners ที่หมายถึงบริเวณที่รัฐทั้ง 4 ของอเมริกาบรรจบกันคือรัฐ Colorado, New Mexico, Arizona และ Utah ที่ห่างไกลจากเมือง Manitou springs ไปอีกหลายร้อยไมล์แต่ที่นี่เป็นการย้ายยก Cliff Dwellings มาจากถิ่นดั้งเดิมเพื่อดึดดูดนักท่องเที่ยวคล้ายๆกับการย้ายพระที่นั่งวิมานเมฆจากเกาะสีชังมาอยู่ในพระราชวังดุสิตในปัจจุบัน ที่ Cliff Dwellings แห่งนี้เก็บค่าเข้าชมคนละ 9 เหรียญครับ
35.สถานที่แห่งนี้ไม่ใหญ่โตอะไรเท่าไรแต่ผมเห็นในภาพแล้วน่ามาเก็บภาพไว้เพราะสีของหินและรูปทรงของที่อยู่อาศัยดูสวยดี
36.บริเวณนี้เป็นบริเวณเตาไฟสำหรับหุงหาอาหารและให้ความอบอุ่นแก่ผู้อาศัย
37.ที่ชอบมากสำหรับที่นี่ก็มุมนี้ที่ผมเคยเห็นภาพในใบพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวมาถึงสถานที่จริงก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพนี้ไว้
38.มาชมกันตรงด้านหน้าอีกภาพ
39. นอกจากจะมีบ้านแห่งภูผาให้ชมและเก็บภาพกันพอหอมปากหอมคอก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆที่แทรกร้านขายของที่ระลึกไว้ด้านในได้อย่างกลมกลืนสวยงามมาก คงต้องไว้ติดตามชมด้านในตอนหน้านะครับเพราะวันนี้หมดโค้วต้าพิมพ์ได้ไม่เกิน 100000 ตัวอักษร
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม
>>>>>>> [ ทริปโคโลราโด ตอน 2 : ยอดเขา Pikes Peak , บ้านแห่งภูผา ] <<<<<<<
1. จากตอนที่แล้วที่ได้พาเที่ยวชมสวนแห่งทวยเทพในสภาพฟ้าปิดหลังฝนตกทำให้ดูทะมึนๆไม่สดใสเท่าที่ควรแล้วก็มาจบลงในถนนสายหลักกลางเมือง Manitou springs ที่มีร้านอาหารเก่าแก่อาคารสวยโดดเด่นที่สุดภาพนี้
2. ฟ้าใกล้จะมืดแล้วผมเลยขอลาย่านกลางเมืองที่มีคนพลุกพล่านที่สุดไปงีบเพื่อเอาแรงเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น
3. เป้าหมายแรกของเช้านี้ก็คือยอดเขา Pikes Peak ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเล 14,110 ฟุตหรือประมาณ 4.3 กิโลเมตรวัดตามแนวดิ่ง (สูงกว่ายอดอินทนนท์ที่สูงสุดของไทยมากพอสมควร) Pikes Peak นี่จัดเป็นยอดเขาสูงสุดของเทือกเขาส่วนหน้าของเทือกเขา Rocky ทางเข้าถนนสู่ยอดเขานี้อยู่ไม่ห่างจากต้วเมือง Manitou springs ที่ผมพักเท่าไรประมาณสัก 11 ไมล์จากวงเวียนตรงถนนหลักของเมืองที่นำภาพมาให้ชมในตอน 1ที่เคยกล่าวไว้บ้างเล็กน้อย การขึ้นสูงยอดเขา Pikes Peak แห่งนี้ทำได้สองทางคือทางรถยนต์จากปากทางเข้าไปถึงยอดสูงสุด (summit) และทางรถไฟของบริษัท cog railroad ที่ขึ้นจากในเมือง Manitou springs มาอีกด้านหนึ่งของเขาแต่มาถึงยอดเขา ณ จุดเดียวกันซึ่งตอนแรกผมตั้งใจจะขี้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายในตอนเย็นเพื่อเก็บแสงอาทิตย์ตกดินแต่พอขึ้นเไปถึงทราบว่ารถไฟก็วิ่งมาถึงจุดเดียวกันแถมรถไฟมีกระจกกั้นไม่เหมาะแก่การถ่ายภาพรวมทั้งไม่สามารถจอดถ่ายภาพได้เป็นระยะๆก็เลยยกเลิกไปประหยัดเงินไปคนละ 35 เหรียญและประหยัดเวลาเที่ยวไปอีก 3-4 ช.ม. อ้อ..แต่การใช้รถยนต์ขึ้นมาก็ต้องจ่ายค่าผ่านทางให้ทาง National Park เป็นเงินคนละ 12 เหรียญด้วยนะครับ
4. จากด่านที่ชำระเงินทางเข้ามาประมาณ 6.5 ไมล์ก็เจอเขื่อนเล็กๆมีคนนั่งตกปลาอยู่พอสมควรเพราะอากาศดีท้องฟ้าสดใส
5. อย่างคุณลุงคนนี้นั่งทอดอารมณ์ตกปลาที่ปลายแหลมเล็กๆดูแล้วน่าอิจฉาผลักให้กลิ้งลงไปในน้ำนะครับ....กรั๊กๆๆ
6. ที่จุดนี้มีห้องน้ำให้เข้าและมีร้านขายกิ๊ฟช๊อปเล็กๆพอให้ ผบ.ผมเดินหาที่ระลึกได้ผมเองเลยมีเวลาเอาเลนส์มือหมุนมาส่องพันธ์หญ้าแปลกๆอย่างภาพนี้
7. ดูแล้วน่าจะเป็นไม้สนแบบบอนไซเล็กๆสวยแปลกดีแถวๆบ้านผมไม่เคยเจอ
8. ดอกไม้ป่าสีม่วงๆมีให้ถ่ายเยอะแยะมากมายหลายพันธ์
9.จากเขื่อนขับรถต่อมาสักพักก็เจอด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ยอด Pikes Peak คล้ายๆประมาณ หล่มช้างด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าเทือกเขาพระอุมาในนิยายเรื่องดัง เพชรพระอุมา ของ พนมเทียน ที่อ่านกันกี่รอบก็ไม่เบื่อ
10.นี่ครับสถานีสุดท้ายก่อนขึ้นเขาสูงชันที่มีบริการยอดเยี่ยมขาลงจะมีเจ้าหน้าที่ที่ป้อมใช้เครื่องมือวัด (น่าจะเป็นเครื่องวัดความร้อน) จากบริเวณล้อหน้าของรถว่ารถของคุณจานเบรคและล้อยางร้อนเกินไปจากการลงจากเขาหรือเปล่าถ้าร้อนเกินไปเจ้าหน้าที่ก็จะให้แวะรถพักก่อนเดินทางต่อเพื่อความปลอดภัยของท่านไม่ใช่ตั้งแต่ด่านรีดไถ่เหมือนๆบ้างประเทศ...อ้อมีเสียงกระซิบว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีแย้วว...
11. เตรียมกระโถนเตรียมยาดมพร้อมกันแล้วก็เริ่มการเดินทางสู่ยอดเขาด้วยถนนแคบๆทางสูงชันมีโค้งยูเทรินแบบ 180 องศาหรือมากกว่าอยู่มากมาย
12. อย่างโค้งนี้ก็น่าจะเกิน 180 องศา
13. ทั้งรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ และมนุษย์ยอดทรหดปั่นจักรยานขึ้นก็เห็นอยู่เป็นระยะๆวิ่งตามกันไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดจะแซงเพราะแค่วิ่งตามกันก็เสียวสะดือแล้ว
14. นอกจากทางเล็กขนาดแค่รถพอสวนกันได้และแทบไม่มีไหล่ทางโค้งสุดๆอย่างที่เห็นแล้วยังเพิ่มความหวาดเสียวด้วยการไม่มีที่กั้นตรงทางโค้งคงเกรงว่าจะบังวิวทิวทัศน์สำหรับคนที่ชอบชะโงกชมเหวลึกๆเล่นเอาใครที่ขับด้านติดเหวเสียววาบๆตรงท้องน้อยหดกันไปหมดทั้งตัว
15. พอถึงระดับสูงเทียมเมฆก็จะมีเมฆหมอกบังตาอีกเป็นระยะๆเล่นเอาคนที่ราบสูงโคราชอย่างผมยังต้องเหงื่อตกตาลายแต่ถ้าได้ขับด้านติดหน้าผาก็ค่อยยังชั่วหน่อยและดีก็ตรงที่รถแต่ละคันที่ขับขึ้นไปใช้ความเร็วไม่เกิน 25 ไมล์/ช.ม.กันอย่างเคร่งครัดลดอุบัติเหตุได้มากมายข้างๆทางก็มีดอกไม้สวยๆพันธ์แปลกตาไม่เคยพบให้เห็นเป็นระยะๆแต่ผมก็ได้แค่ชำเลืองมองด้วยหาตาเพราะต้องใช้สมาธิขับรถผ่าเมฆหมอกและทางโค้งอยู่
16.อาศัย ผบ.นั่งอยู่ข้างๆเก็บภาพดอกไม้ริมทางสวยๆมาให้ชมกัน
17. จะมีที่จอดรถให้ผู้ที่รักการเดินไต่เขาฝ่าสายหมอกชมมวลผุปผาชาติกันให้อิ่มแต่ผมประเมินกำลังแล้วคงเดินไม่ไหวแน่ๆเพราะมีแต่ที่ชันๆแถมอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากมาย
18. ใช้เวลาครู่ใหญ่ไต่เขามาอย่างช้าๆแต่หวาดเสียวประมาณร่วม ช.ม.ก็มาถึงบริเวณลานจอดรถ ณ จุดสูงสุดของยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอก
19. ขึ้นมาถึงยอดแล้วผมรู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างมากหายใจถี่ขึ้นลงไปเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็หอบแฮกๆเดินไม่ไหวต้องนั่งพักในรถปล่อยให้ ผบ.เดินล่วงหน้าไปก่อน แต่ตอนหลัง ผบ.ก็มาสารภาพว่าเดินไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยแฮกเหมือนกัน..โธ่..คิดว่ายังสาวๆอยู่เหรอ
20. มองไปตรงบริเวณลานจอดรถอีกด้าน
21. นี่แหละครับที่เค้าว่าเขาสูงเทียมฟ้าของจริง
22. สถานีตรวจสภาพอากาศบนยอด Pikes Peak
23. ในเดือน ก.ค. 1893 Katharine Lee Bates ได้แต่งเพลง "America the Beautiful" หลังจากได้ชมความงดงามบนยอดเขา Pikes Peak แห่งนี้เพลงนี้มีทำนองเพลงไพเราะจนเกือบจะทำให้เป็นเพลงชาติของสหรัฐแทนเพลง "The Star-Spangled Banner" ในยุคของประธานาธิบดี John F. Kennedy แต่ก็ได้แค่เกือบเพราะทำไม่สำเร็จประวัติและคำประพันธ์เพลงนี้ได้จารึกไว้บนแผ่นโลหะ ณ ยอดสูงสุดของ Pikes Peak แห่งนี้
24.สถานีสุดท้ายสุดปลายทางที่สวรรค์ ?
25. อย่างที่เกริ่นในตอนแรกๆว่าการขึ้นมาที่ Pikes Peak นี่ทำได้ 2 ทางคือทางรถยนต์และทางรถไฟแต่ก็จะมาสุดปลายทางที่ยอดเขาจุดนี้จุดเดียวกัน
26. รถไฟเที่ยวนี้ผู้โดยสารคงเยอะเพราะเห็นมาการลากตู้รถไฟมาเสริมอีกตู้
27. บรรยากาศที่ชานชลาสถานีแห่งสรวงสรรค์ที่ไม่ยักกะมีข้าวเหนียวไก่ย่าง โอเลี้ยง ยาหม่องยาดมลูกอมหมากฝรั่งขายแบบสถานี ร.ฟ.ท.เลยแหะ
28. เสียงหวูดรถไฟดังเตือนเรียกผู้โดยสารให้กลับมายังรถไฟเป็นครั้งที่ 1 ทำให้คิดถึงเพลงลาสาวแม่กลองของพนม นพพรที่มีท่อนหนึ่งร้องไว้ว่า แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัย สมุทรสงคราม คงละเมอเพ้อพร่ำ ... แหมถ้าสถานีนี้มีเพลงนี้ละก็บรรยากาศคงสมบูรณ์กว่านี้นะ
29.เห็นเจ้าหนุ่มคนนี้ปีนไปก้มๆเงยๆอ่านป้ายทองเหลืองสามเหลี่ยมที่แปะอยู่บนยอดเขาอยู่ก็เลยเก็บภาพไว้
30.ซูมเข้าไปดูใกล้ๆมองเห็นป้ายไม่ถนัดว่าเขียนอะไรไว้ดูแล้วคล้ายๆยันต์ 5 แถวของอาจารย์หนูนะ
31. มองไปด้านล่างภูเขาแล้วอยากจะกลับลงไปด้านล่างกลับไปเป็นคนธรรมดาๆดีกว่าถึงแม้ผมจะเป็นคนที่ตาไม่ได้ดูดาวแต่เท้าผมก็ติดดินนะครับ แต่ก็ต้องนั่งพักให้หายเวียนหัวก่อนซึ่งตอนแรกๆผมยังคิดว่าทำไงจะขับลงเขาไหวเพราะเวียนหัวตาลายไปหมดแต่ได้นั่งพักแล้วดื่มน้ำสักครึ่ง ช.ม.อาการก็จะดีขึ้นพร้อมที่จะเดินทางลงจากยอดเขาได้
32.นี่ครับรถแวนคู่ใจ Honda Odyssey ที่พวกลูกๆผมบอกว่าเป็นรถคนแก่แต่ก็เห็นยืมไปบรรทุกของประจำ มาทริปนี้ทำให้ผมขนคลังแสงมาได้อย่างจุใจแต่ก็ไม่สามารถแบกไปพร้อมกันตัวตอนเดินไหวต้องเลือกบ้างตัวใส่กระเป๋าเป้สะพายหลังไปเท่านั้น
33.หลังจากชมยอดเขาเสร็จแล้วก็เดินทางลงมาใกล้จะถึงพื้นราบปกติเห็นวิวด้านล่างเป็นถนนและมีบ้านเรือนก็เก็บภาพไว้อีก
34.จุดหมายต่อไปก็คือ Cliff Dwellings บ้านแห่งภูผาของชนเผ่าอินเดียแดงยุคโบราณที่ใช้หน้าผามาขุดเจาะทำเป็นที่อยู่อาศัยหลบฝนหลบแดดและลมได้อย่างดีเยี่ยมบ้านแห่งภูผานี่ก็อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง Manitou springs เช่นกันครับ ที่จริงแล้วบ้านแห่งภูผาแห่งนี้เป็นของชนเผ่าAnasazi ที่อาศัยอยู่แถบ Four Corners ที่หมายถึงบริเวณที่รัฐทั้ง 4 ของอเมริกาบรรจบกันคือรัฐ Colorado, New Mexico, Arizona และ Utah ที่ห่างไกลจากเมือง Manitou springs ไปอีกหลายร้อยไมล์แต่ที่นี่เป็นการย้ายยก Cliff Dwellings มาจากถิ่นดั้งเดิมเพื่อดึดดูดนักท่องเที่ยวคล้ายๆกับการย้ายพระที่นั่งวิมานเมฆจากเกาะสีชังมาอยู่ในพระราชวังดุสิตในปัจจุบัน ที่ Cliff Dwellings แห่งนี้เก็บค่าเข้าชมคนละ 9 เหรียญครับ
35.สถานที่แห่งนี้ไม่ใหญ่โตอะไรเท่าไรแต่ผมเห็นในภาพแล้วน่ามาเก็บภาพไว้เพราะสีของหินและรูปทรงของที่อยู่อาศัยดูสวยดี
36.บริเวณนี้เป็นบริเวณเตาไฟสำหรับหุงหาอาหารและให้ความอบอุ่นแก่ผู้อาศัย
37.ที่ชอบมากสำหรับที่นี่ก็มุมนี้ที่ผมเคยเห็นภาพในใบพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวมาถึงสถานที่จริงก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพนี้ไว้
38.มาชมกันตรงด้านหน้าอีกภาพ
39. นอกจากจะมีบ้านแห่งภูผาให้ชมและเก็บภาพกันพอหอมปากหอมคอก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆที่แทรกร้านขายของที่ระลึกไว้ด้านในได้อย่างกลมกลืนสวยงามมาก คงต้องไว้ติดตามชมด้านในตอนหน้านะครับเพราะวันนี้หมดโค้วต้าพิมพ์ได้ไม่เกิน 100000 ตัวอักษร
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชม