สืบเนื่องจาก กระทู้ เมื่อ คันโตนาซี หาสวรรค์ไม่พบ และ หานรกไม่เจอ (ซะงั้น)
http://pantip.com/topic/30669015
จะด้วยความลนลาน หรืออะไรก็ตามที ปรากฏว่า นายคันโตนาซี เริ่มออกการ "แต๋วแตก" ขึ้นมาอีกจนได้
ขอให้สังเกตด้วยว่า ไอ้หมอนี่ มันพูดพล่ามได้สารพัดเรื่อง ยกเว้น "เรื่องที่ถูกถาม" ........... (ฮา)
ในเมื่อมันอยากเล่าเรื่องเก่า ผมก็ยินดีที่จะนำเรื่องเก่ามา ฉายซ้ำ ให้ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสดูซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
ตอนที่ ๑ เรื่องของเหตุผล
ประการแรก นายคันโตนาซี ได้กล่าวเอาไว้ ดังนี้ว่า .................
จากข้อความตรงนี้ เท่ากับ นายคันโตนาซี กล่าวปฏิเสธว่า ดาวดึงส์ มิได้เป็น ภพภูมิทางใจ (ถูกต้องไหมครับ ?)
มิหนำซ้ำ นายคันโตนาซี ยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
ดาวดึงส์ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จ นั้นจะต้องหมายถึง ภพภูมิทางเนื้อหนัง
ซึ่งจากการที่ผมทำการสอบถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า นายคนนี้ ก็ยังพยายามยืนยันอยู่อย่างเดิมว่า ภพภูมิทางเนื้อหนัง ที่เขาพูดถึง
มีความหมายว่า ภพภูมิหลังจากตาย(แล้วไปเกิด) เท่านั้น มิได้หมายถึงอย่างอื่น
คำถาม ก็คือ คันโตนาซี กำลังกล่าวว่า การที่พระพุทธเจ้าเสด็จดาวดึงส์ ตามที่อ้างถึงนั้น มีความหมายว่า
พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จไปสู่ ภพภูมิหลังความตาย(แล้วไปเกิด) จากนั้นก็เสด็จมาจาก ภพภูมิหลังการตายอันนั้น
เพื่อกลับมาสู่โลกนี้ ที่หมายถึง ภพภูมิก่อนการตาย ซึ่งย่อมมีความหมายเท่ากับการกล่าวว่า
พระพุทธเจ้าทรง เกิดและตาย ซ้ำไปซ้ำมา อย่างนั้นหรือครับ ?
ทั้งนี้ สิ่งที่พึงระลึก ก็คือ มิใช่มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับ ที่ได้ไปดาวดึงส์ (หรือ นรกสวรรค์ เทวโลก พรหมโลก ฯลฯ)
แต่ยังมีกรณีอื่นอีก เช่น กรณีท่านพระนันทะ ที่ได้ตามเสด็จไปดาวดึงส์ ในขณะที่ท่านมิได้เป็นผู้ทรงอภิญญาใดๆ ทั้งสิ้น
ก็ถ้า ดาวดึงส์ หมายถึง ภพภูมิหลังตาย(แล้วไปเกิด) เท่านั้น การที่ท่านพระนันทะ จะสามารถไปสู่ภพภูมิหลังความตาย
ตามคำนิยามของ คันโตนาซี ย่อมหมายความว่า ท่านพระนันทะ ต้องตายไปเสียก่อน มิใช่หรือ ?
แต่แล้วกลับปรากฏว่า ท่านพระนันทะสามารถกลับมาสู่โลกนี้ได้โดยสวัสดิภาพ
โดยไม่มีความกระทบกระเทือน ต่อชีวิตความเป็นมนุษย์ แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ท่านพระนันทะ ไม่ได้ตาย แล้วไปเกิดในดาวดึงส์ ซึ่งคันโตนาซี อ้างว่า เป็นภพภูมิหลังความตาย(เท่านั้น) นี่ครับ
ก็ถ้า นายคันโตนาซี มีความมั่นใจว่า การเสด็จดาวดึงส์ของพระพุทธเจ้า
มิได้เป็นอำนาจอภิญญา ที่เกิดจาก "ฤทธิ์ทางใจ"
และภพดาวดึงส์ ที่ท่านพระนันทะตามเสด็จไปด้วยนั้น
มิใช่ ภพภูมิทางใจ ที่เกิดจาก อภิญญา อันเป็นอำนาจทางใจของพระพุทธเจ้า
นายคันโตนาซี ก็คงต้องรับภาระในการอธิบายให้ได้ว่า
เหตุใด ท่านพระนันทะจึงสามารถไปสู่ภพภูมิหลังความตาย และกลับมาได้โดยที่ท่าน "ไม่ตาย"
เข้าใจ "คำถาม" แล้วใช่ไหมครับ ?
ทั้งหมดนี้ เป็นการแปลความ ตามที่ คันโตนาซี ระบุว่า
ภพภูมิทางเนื้อหนัง ต้องหมายถึง ภพภูมิหลังความตาย(แล้วไปเกิด) เท่านั้น
โดยมิได้หมายถึง ภพภูมิ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เจตนาสูตร นะครับ
ประการที่ ๒ ที่จำต้อง "กล่าวแย้ง" นายคันโตนาซี ก็คือ การที่นายคนนี้ระบุว่า ...............
"ถ้าบอกนรกสวรรค์เป็นเรื่องทางใจ งั้นก็แปลว่าตอนที่พระพุทธเจ้าไปดาวดึงส์ ก็มีกามสุขแบบเทวดานะสิ"
การพูดอย่างนี้ของ นายคันโตนาซี ผมเห็นว่าเป็นการพูดเหมือน "คนบ้า"
ไม่ต้องไปคิดอะไรให้ยุ่งยากซับซ้อน หรอกนะครับ พิจารณาง่ายๆ แค่ว่า หลังจากบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว
หากว่าท่านเหล่านั้น มิได้ดับขันธปรินิพพาน ท่านก็ยังคงมีชีวิตอยู่ร่วมกันกับสัตว์ทั้งหลายใน กามาวจรภูมิ มิใช่หรือ ?
แล้วมีใครเห็นว่า พระอรหันต์เหล่านั้น เสพกาม บ้างหรือไม่ ผมไม่เห็นว่ามีนี่ครับ และยังเห็นอีกด้วยว่า มันไม่เกี่ยวอะไรกันเลย
ประเด็นปัญหา ก็คือ ผมยังไม่เห็นความเชื่อมโยงทางเหตุผลใดๆ เลยว่า การที่พระพุทธเจ้าเสด็จดาวดึงส์ จะมีความหมายว่า
ต้องทรงเสพกามแบบเทวดา ไปด้วย เพราะหาก ตรรกะเหตุผล แบบนี้ใช้การได้จริง การที่พระอรหันต์ทั้งหลายยังอยู่ในโลกมนุษย์
ก็ต้องหมายความว่า ท่านเสพกามแบบพวกมนุษย์ ไปด้วยน่ะสิ ซึ่งผมเห็นว่า ถ้าหากใครก็ตาม ที่สามารถคิดโง่ๆ ได้ขนาดนั้น
ต้องถือว่ามัน ตรรกะบกพร่อง เต็มทีแล้ว นะครับ หรือมิใช่ ?
สำหรับ คำถามนี้ คันโตนาซี จะตอบก็ได้นะครับ หากว่า สามารถ ทำได้ !
ตอนที่ ๒ เรื่องของหลักฐาน
ประการแรก จะด้วยความ "ตาลีตาเหลือก" หรืออะไร ก็มิอาจทราบได้
แต่ นายคันโตนาซี ก็ได้ทำการ "กล่าวตู่" ท่านพระสารีบุตร เขาให้แล้ว นะครับ !
อยู่ดีๆ ไประบุว่า ท่านพระสารีบุตร เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์โดยทาง "บันได" ได้อย่างไรกัน ?
เมื่อพิจารณาหลักฐานที่มันนำมาอ้าง ก็ย่อมทราบได้โดยไม่ยากว่า นั่นมิใช่คำของท่านพระสารีบุตร
แต่เป็นมติ หรือคำอธิบายขยายความ ของพระเถระรุ่นหลัง เพราะแม้จะเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า
คัมภีร์มหานิทเทส เป็นภาษิตของท่านพระสารีบุตร ก็จริง แต่ก็มิได้หมายความว่า ข้อความทั้งหมด
ในคัมภีร์นี้ จะต้องเป็นภาษิตของท่านพระสารีบุตรไปเสียหมด
ท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่า หลักฐานที่ คันโตนาซี ยกขึ้นอ้างโดยเข้าใจ(ผิด)ว่าเป็นคำของท่านพระสารีบุตรนั้น
แท้ที่จริง กลับกลายเป็นว่า พระเถระรุ่นหลัง ได้ยกภาษิตของท่านพระสารีบุตร มาอธิบาย(อีกที)ต่างหาก
แม้หากเราถือว่า ภาษิตของท่านพระสารีบุตร มีค่าเทียบเท่าพุทธพจน์ คำอธิบายจากหลักฐาน ดังกล่าว
ก็มีค่าเพียงแค่ มติในชั้นอรรถกถา เท่านั้น แปลความได้ว่า ผู้ที่ระบุถึง "บันได" จึงไม่ใช่ท่านพระสารีบุตร
ดังนั้น การอ้างของ คันโตนาซี จึงเท่ากับเป็นการ "กล่าวตู่" ท่านพระสารีบุตร อย่างชัดเจน
เรื่องการอ้างอิงหลักฐานนั้น ท่านปยุตโต ได้ย้ำนักย้ำหนาว่า สิ่งที่พึงระวังในการอ้างหลักฐาน ก็คือ
จะต้องบอกข้อมูลให้ตรงกับความเป็นจริง เวลาที่ผู้อื่นนำมาตรวจสอบ(อย่างละเอียด) จะได้ไม่ "เงิบ"
และที่สำคัญไปกว่านั้น ก็คือ หากใครอยากจะอ้างเรื่อง บันไดสวรรค์ ซึ่งเป็นหลักฐานชั้นหลัง(อรรถกถา)
ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก แต่จะมาบังคับว่าผู้อื่นต้องเชื่อตามไปด้วยนั้น เห็นจะไม่ได้หรอกนะครับ
เพราะพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ให้ถือเอาพระบาลีพุทธพจน์เป็นข้อยุติ
มิใช่ ให้เชื่อ "มติ" ของพระเถระรุ่นหลัง แบบไร้สติ ไม่ลืมหูลืมตา
หรือมิใช่ ?
ประการที่ ๒ การที่นายคันโตนาซี ยกหลักฐานจาก ชาดก เพื่ออ้างอิงว่า นรกสวรรค์เป็นภพภูมิทางเนื้อหนัง
เพราะมีข้อความจากชาดกที่ระบุถึง "หนัง" ของสัตว์ในภพภูมินรก นับว่าเป็นความปัญญาอ่อนอย่างหาที่เปรียบมิได้
สิ่งที่พึงรับทราบ ก็คือ ชาดก เป็นคัมภีร์ชั้นหลัง ที่แต่งขึ้น โดยใครก็ไม่ทราบ เพราะมีเนื้อหาที่ ซ้ำซ้อนกันไปหมด
ในทุกๆ ความเชื่อทางศาสนาในชมพูทวีป ซึ่งถ้าหาก คันโตนาซี จะไม่เห็นว่ามันเป็นเพียงแค่ วรรณคดีสอนจริยธรรม
นั่นมันก็เป็นเรื่องของ คันโตนาซี นะครับ แต่ปัญหา ก็คือ การที่ข้อความในชาดกระบุว่า สัตว์ในภพภูมิ(นรก) มีหนัง
มันก็แปลความว่า นั่นเป็นภพภูมิทางเนื้อหนังจริงๆ อย่างนั้นหรือครับ ?
อย่าพึ่งลืม พุทธพจน์ที่ตรัสถึง โอปปาติกะกำเนิด ที่หมายถึง สัตว์ผุดเกิด ซึ่งเมื่อตายไป
ไม่มีเศษซากเนื้อหนังอะไรหลงเหลืออยู่เลย ดังนั้น หาก คันโตนาซี อยากจะเชื่อว่า ไอ้ตัวสัตว์ที่อ้างถึง
มันมีหนัง ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ก็ควรทราบเอาไว้ด้วยสิครับว่า มันมิใช่ เนื้อหนังจริงๆ จังๆ เสียหน่อย
ก็มันเป็น โอปปาติกสัตว์ นี่ครับ
หรือมิใช่ ?
แต่ที่น่า สมเพช ยิ่งกว่า ก็คือ ถ้าหากผมและชาวพุทธทั่วไป จะต้องเชื่อตาม
ความเห็นโง่ๆ ของคันโตนาซีว่า สัตว์พวกนั้น มันมีเนื้อหนังจริงๆ
แล้วผมจะต้องเชื่อตามไปด้วยไหมว่า ในนรก ก็มี ตะขอเหล็ก(ข้อ ๕๖๒) ?
หรือ มีนั้นมีนี่ ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้ว มันก็เหมือนกับสิ่งที่มีอยู่แล้วในโลกมนุษย์
ผมยังสงสัยไปอีกว่า ทำไม มาตลีเทพบุตร จึงได้แต่ ขับขี่ม้าเทียมรถ แต่ไม่มีปัญญาขับเฟอร์รารี(ข้อ ๕๖๓)
หรือว่าจริงๆ แล้ว รถของเทวดา มันเป็นแค่เพียง "ความคิดปรุงแต่ง" ของคนจดคัมภีร์
ซึ่งในขณะนั้น ไม่มีปัญญาทราบได้เลยว่า ต่อไปในอนาคต โลกมนุษย์ จะมียานพาหนะ
ที่ "พิสดารพันลึก" ยิ่งไปกว่า ม้าเทียมรถ ที่พวกเขาได้พบเห็นในยุคสมัยของพวกเขาเองเสียอีก !
และที่น่าสงสัย มากที่สุด ก็คือ ...........
ชาวพุทธเถรวาท เขาจะต้องเชื่อด้วยไหมครับว่า ในนรก ก็มี "แมลงวัน" ?
เพราะถ้าสามารถเชื่อข้อความไร้สาระแบบนี้ได้ ยังจะมีอะไรที่เชื่อไม่ได้อีกเล่าครับ ?
ผมเห็นว่า มันก็คงสามารถรับเชื่อได้หมดทุกเรื่องแล้วหละ
ถ้าหากโง่งมงายได้มากมายถึงขนาดนี้ ก็หวานคอแร้ง(๑๘มงกุฏ)เท่านั้นเอง
นี่ถ้าหากมีใครมาบอกมันว่า บนสวรรค์ ก็มียาจก มีขอทาน มีเกษตรกร ทำนาเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่บนสวรรค์
ข้าวเปลือกสวรรค์ ได้ราคาเกวียนละไม่ถึง หมื่นห้า มันก็คงเชื่อได้เช่นกัน ใช่ไหมล่ะ ?
ก็มันโง่งมงาย เสียจนสามารถเชื่อในสิ่งที่มัน ไม่รู้แจ้งเห็นจริง ได้อย่างหน้าตาเฉย อยู่แล้วนี่ จริงไหม ?
คริคริ
จาก บันได(สวรรค์) ถึง แมลงวัน(นรก)
จะด้วยความลนลาน หรืออะไรก็ตามที ปรากฏว่า นายคันโตนาซี เริ่มออกการ "แต๋วแตก" ขึ้นมาอีกจนได้
ขอให้สังเกตด้วยว่า ไอ้หมอนี่ มันพูดพล่ามได้สารพัดเรื่อง ยกเว้น "เรื่องที่ถูกถาม" ........... (ฮา)
ในเมื่อมันอยากเล่าเรื่องเก่า ผมก็ยินดีที่จะนำเรื่องเก่ามา ฉายซ้ำ ให้ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสดูซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
ตอนที่ ๑ เรื่องของเหตุผล
ประการแรก นายคันโตนาซี ได้กล่าวเอาไว้ ดังนี้ว่า .................
จากข้อความตรงนี้ เท่ากับ นายคันโตนาซี กล่าวปฏิเสธว่า ดาวดึงส์ มิได้เป็น ภพภูมิทางใจ (ถูกต้องไหมครับ ?)
มิหนำซ้ำ นายคันโตนาซี ยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นว่า
ดาวดึงส์ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จ นั้นจะต้องหมายถึง ภพภูมิทางเนื้อหนัง
ซึ่งจากการที่ผมทำการสอบถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า นายคนนี้ ก็ยังพยายามยืนยันอยู่อย่างเดิมว่า ภพภูมิทางเนื้อหนัง ที่เขาพูดถึง
มีความหมายว่า ภพภูมิหลังจากตาย(แล้วไปเกิด) เท่านั้น มิได้หมายถึงอย่างอื่น
คำถาม ก็คือ คันโตนาซี กำลังกล่าวว่า การที่พระพุทธเจ้าเสด็จดาวดึงส์ ตามที่อ้างถึงนั้น มีความหมายว่า
พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จไปสู่ ภพภูมิหลังความตาย(แล้วไปเกิด) จากนั้นก็เสด็จมาจาก ภพภูมิหลังการตายอันนั้น
เพื่อกลับมาสู่โลกนี้ ที่หมายถึง ภพภูมิก่อนการตาย ซึ่งย่อมมีความหมายเท่ากับการกล่าวว่า
พระพุทธเจ้าทรง เกิดและตาย ซ้ำไปซ้ำมา อย่างนั้นหรือครับ ?
ทั้งนี้ สิ่งที่พึงระลึก ก็คือ มิใช่มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นนะครับ ที่ได้ไปดาวดึงส์ (หรือ นรกสวรรค์ เทวโลก พรหมโลก ฯลฯ)
แต่ยังมีกรณีอื่นอีก เช่น กรณีท่านพระนันทะ ที่ได้ตามเสด็จไปดาวดึงส์ ในขณะที่ท่านมิได้เป็นผู้ทรงอภิญญาใดๆ ทั้งสิ้น
ก็ถ้า ดาวดึงส์ หมายถึง ภพภูมิหลังตาย(แล้วไปเกิด) เท่านั้น การที่ท่านพระนันทะ จะสามารถไปสู่ภพภูมิหลังความตาย
ตามคำนิยามของ คันโตนาซี ย่อมหมายความว่า ท่านพระนันทะ ต้องตายไปเสียก่อน มิใช่หรือ ?
แต่แล้วกลับปรากฏว่า ท่านพระนันทะสามารถกลับมาสู่โลกนี้ได้โดยสวัสดิภาพ
โดยไม่มีความกระทบกระเทือน ต่อชีวิตความเป็นมนุษย์ แต่อย่างใดทั้งสิ้น
ท่านพระนันทะ ไม่ได้ตาย แล้วไปเกิดในดาวดึงส์ ซึ่งคันโตนาซี อ้างว่า เป็นภพภูมิหลังความตาย(เท่านั้น) นี่ครับ
ก็ถ้า นายคันโตนาซี มีความมั่นใจว่า การเสด็จดาวดึงส์ของพระพุทธเจ้า
มิได้เป็นอำนาจอภิญญา ที่เกิดจาก "ฤทธิ์ทางใจ"
และภพดาวดึงส์ ที่ท่านพระนันทะตามเสด็จไปด้วยนั้น
มิใช่ ภพภูมิทางใจ ที่เกิดจาก อภิญญา อันเป็นอำนาจทางใจของพระพุทธเจ้า
นายคันโตนาซี ก็คงต้องรับภาระในการอธิบายให้ได้ว่า
เหตุใด ท่านพระนันทะจึงสามารถไปสู่ภพภูมิหลังความตาย และกลับมาได้โดยที่ท่าน "ไม่ตาย"
เข้าใจ "คำถาม" แล้วใช่ไหมครับ ?
ทั้งหมดนี้ เป็นการแปลความ ตามที่ คันโตนาซี ระบุว่า
ภพภูมิทางเนื้อหนัง ต้องหมายถึง ภพภูมิหลังความตาย(แล้วไปเกิด) เท่านั้น
โดยมิได้หมายถึง ภพภูมิ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน เจตนาสูตร นะครับ
ประการที่ ๒ ที่จำต้อง "กล่าวแย้ง" นายคันโตนาซี ก็คือ การที่นายคนนี้ระบุว่า ...............
"ถ้าบอกนรกสวรรค์เป็นเรื่องทางใจ งั้นก็แปลว่าตอนที่พระพุทธเจ้าไปดาวดึงส์ ก็มีกามสุขแบบเทวดานะสิ"
การพูดอย่างนี้ของ นายคันโตนาซี ผมเห็นว่าเป็นการพูดเหมือน "คนบ้า"
ไม่ต้องไปคิดอะไรให้ยุ่งยากซับซ้อน หรอกนะครับ พิจารณาง่ายๆ แค่ว่า หลังจากบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว
หากว่าท่านเหล่านั้น มิได้ดับขันธปรินิพพาน ท่านก็ยังคงมีชีวิตอยู่ร่วมกันกับสัตว์ทั้งหลายใน กามาวจรภูมิ มิใช่หรือ ?
แล้วมีใครเห็นว่า พระอรหันต์เหล่านั้น เสพกาม บ้างหรือไม่ ผมไม่เห็นว่ามีนี่ครับ และยังเห็นอีกด้วยว่า มันไม่เกี่ยวอะไรกันเลย
ประเด็นปัญหา ก็คือ ผมยังไม่เห็นความเชื่อมโยงทางเหตุผลใดๆ เลยว่า การที่พระพุทธเจ้าเสด็จดาวดึงส์ จะมีความหมายว่า
ต้องทรงเสพกามแบบเทวดา ไปด้วย เพราะหาก ตรรกะเหตุผล แบบนี้ใช้การได้จริง การที่พระอรหันต์ทั้งหลายยังอยู่ในโลกมนุษย์
ก็ต้องหมายความว่า ท่านเสพกามแบบพวกมนุษย์ ไปด้วยน่ะสิ ซึ่งผมเห็นว่า ถ้าหากใครก็ตาม ที่สามารถคิดโง่ๆ ได้ขนาดนั้น
ต้องถือว่ามัน ตรรกะบกพร่อง เต็มทีแล้ว นะครับ หรือมิใช่ ?
สำหรับ คำถามนี้ คันโตนาซี จะตอบก็ได้นะครับ หากว่า สามารถ ทำได้ !
ตอนที่ ๒ เรื่องของหลักฐาน
ประการแรก จะด้วยความ "ตาลีตาเหลือก" หรืออะไร ก็มิอาจทราบได้
แต่ นายคันโตนาซี ก็ได้ทำการ "กล่าวตู่" ท่านพระสารีบุตร เขาให้แล้ว นะครับ !
อยู่ดีๆ ไประบุว่า ท่านพระสารีบุตร เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์โดยทาง "บันได" ได้อย่างไรกัน ?
เมื่อพิจารณาหลักฐานที่มันนำมาอ้าง ก็ย่อมทราบได้โดยไม่ยากว่า นั่นมิใช่คำของท่านพระสารีบุตร
แต่เป็นมติ หรือคำอธิบายขยายความ ของพระเถระรุ่นหลัง เพราะแม้จะเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า
คัมภีร์มหานิทเทส เป็นภาษิตของท่านพระสารีบุตร ก็จริง แต่ก็มิได้หมายความว่า ข้อความทั้งหมด
ในคัมภีร์นี้ จะต้องเป็นภาษิตของท่านพระสารีบุตรไปเสียหมด
ท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่า หลักฐานที่ คันโตนาซี ยกขึ้นอ้างโดยเข้าใจ(ผิด)ว่าเป็นคำของท่านพระสารีบุตรนั้น
แท้ที่จริง กลับกลายเป็นว่า พระเถระรุ่นหลัง ได้ยกภาษิตของท่านพระสารีบุตร มาอธิบาย(อีกที)ต่างหาก
แม้หากเราถือว่า ภาษิตของท่านพระสารีบุตร มีค่าเทียบเท่าพุทธพจน์ คำอธิบายจากหลักฐาน ดังกล่าว
ก็มีค่าเพียงแค่ มติในชั้นอรรถกถา เท่านั้น แปลความได้ว่า ผู้ที่ระบุถึง "บันได" จึงไม่ใช่ท่านพระสารีบุตร
ดังนั้น การอ้างของ คันโตนาซี จึงเท่ากับเป็นการ "กล่าวตู่" ท่านพระสารีบุตร อย่างชัดเจน
เรื่องการอ้างอิงหลักฐานนั้น ท่านปยุตโต ได้ย้ำนักย้ำหนาว่า สิ่งที่พึงระวังในการอ้างหลักฐาน ก็คือ
จะต้องบอกข้อมูลให้ตรงกับความเป็นจริง เวลาที่ผู้อื่นนำมาตรวจสอบ(อย่างละเอียด) จะได้ไม่ "เงิบ"
และที่สำคัญไปกว่านั้น ก็คือ หากใครอยากจะอ้างเรื่อง บันไดสวรรค์ ซึ่งเป็นหลักฐานชั้นหลัง(อรรถกถา)
ก็ไม่เป็นปัญหาหรอก แต่จะมาบังคับว่าผู้อื่นต้องเชื่อตามไปด้วยนั้น เห็นจะไม่ได้หรอกนะครับ
เพราะพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ให้ถือเอาพระบาลีพุทธพจน์เป็นข้อยุติ
มิใช่ ให้เชื่อ "มติ" ของพระเถระรุ่นหลัง แบบไร้สติ ไม่ลืมหูลืมตา
หรือมิใช่ ?
ประการที่ ๒ การที่นายคันโตนาซี ยกหลักฐานจาก ชาดก เพื่ออ้างอิงว่า นรกสวรรค์เป็นภพภูมิทางเนื้อหนัง
เพราะมีข้อความจากชาดกที่ระบุถึง "หนัง" ของสัตว์ในภพภูมินรก นับว่าเป็นความปัญญาอ่อนอย่างหาที่เปรียบมิได้
สิ่งที่พึงรับทราบ ก็คือ ชาดก เป็นคัมภีร์ชั้นหลัง ที่แต่งขึ้น โดยใครก็ไม่ทราบ เพราะมีเนื้อหาที่ ซ้ำซ้อนกันไปหมด
ในทุกๆ ความเชื่อทางศาสนาในชมพูทวีป ซึ่งถ้าหาก คันโตนาซี จะไม่เห็นว่ามันเป็นเพียงแค่ วรรณคดีสอนจริยธรรม
นั่นมันก็เป็นเรื่องของ คันโตนาซี นะครับ แต่ปัญหา ก็คือ การที่ข้อความในชาดกระบุว่า สัตว์ในภพภูมิ(นรก) มีหนัง
มันก็แปลความว่า นั่นเป็นภพภูมิทางเนื้อหนังจริงๆ อย่างนั้นหรือครับ ?
อย่าพึ่งลืม พุทธพจน์ที่ตรัสถึง โอปปาติกะกำเนิด ที่หมายถึง สัตว์ผุดเกิด ซึ่งเมื่อตายไป
ไม่มีเศษซากเนื้อหนังอะไรหลงเหลืออยู่เลย ดังนั้น หาก คันโตนาซี อยากจะเชื่อว่า ไอ้ตัวสัตว์ที่อ้างถึง
มันมีหนัง ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ก็ควรทราบเอาไว้ด้วยสิครับว่า มันมิใช่ เนื้อหนังจริงๆ จังๆ เสียหน่อย
ก็มันเป็น โอปปาติกสัตว์ นี่ครับ
หรือมิใช่ ?
แต่ที่น่า สมเพช ยิ่งกว่า ก็คือ ถ้าหากผมและชาวพุทธทั่วไป จะต้องเชื่อตาม
ความเห็นโง่ๆ ของคันโตนาซีว่า สัตว์พวกนั้น มันมีเนื้อหนังจริงๆ
แล้วผมจะต้องเชื่อตามไปด้วยไหมว่า ในนรก ก็มี ตะขอเหล็ก(ข้อ ๕๖๒) ?
หรือ มีนั้นมีนี่ ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้ว มันก็เหมือนกับสิ่งที่มีอยู่แล้วในโลกมนุษย์
ผมยังสงสัยไปอีกว่า ทำไม มาตลีเทพบุตร จึงได้แต่ ขับขี่ม้าเทียมรถ แต่ไม่มีปัญญาขับเฟอร์รารี(ข้อ ๕๖๓)
หรือว่าจริงๆ แล้ว รถของเทวดา มันเป็นแค่เพียง "ความคิดปรุงแต่ง" ของคนจดคัมภีร์
ซึ่งในขณะนั้น ไม่มีปัญญาทราบได้เลยว่า ต่อไปในอนาคต โลกมนุษย์ จะมียานพาหนะ
ที่ "พิสดารพันลึก" ยิ่งไปกว่า ม้าเทียมรถ ที่พวกเขาได้พบเห็นในยุคสมัยของพวกเขาเองเสียอีก !
และที่น่าสงสัย มากที่สุด ก็คือ ...........
ชาวพุทธเถรวาท เขาจะต้องเชื่อด้วยไหมครับว่า ในนรก ก็มี "แมลงวัน" ?
เพราะถ้าสามารถเชื่อข้อความไร้สาระแบบนี้ได้ ยังจะมีอะไรที่เชื่อไม่ได้อีกเล่าครับ ?
ผมเห็นว่า มันก็คงสามารถรับเชื่อได้หมดทุกเรื่องแล้วหละ
ถ้าหากโง่งมงายได้มากมายถึงขนาดนี้ ก็หวานคอแร้ง(๑๘มงกุฏ)เท่านั้นเอง
นี่ถ้าหากมีใครมาบอกมันว่า บนสวรรค์ ก็มียาจก มีขอทาน มีเกษตรกร ทำนาเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่บนสวรรค์
ข้าวเปลือกสวรรค์ ได้ราคาเกวียนละไม่ถึง หมื่นห้า มันก็คงเชื่อได้เช่นกัน ใช่ไหมล่ะ ?
ก็มันโง่งมงาย เสียจนสามารถเชื่อในสิ่งที่มัน ไม่รู้แจ้งเห็นจริง ได้อย่างหน้าตาเฉย อยู่แล้วนี่ จริงไหม ?
คริคริ