เรื่องเล่าจากชีวิตจริง : ความรัก กับหน้าที่การงาน เส้นบางๆที่กั้นกันอยู่

กระทู้สนทนา
ออกตัวก่อนว่านี้ไม่ใช่เรื่องของผมนนะครับ แต่ผมอ่านแล้วเห็นว่าน่ารักดีและมันสามารถทำให้คนยิ้มยากอย่างผมยิ้มได้เมื่อได้อ่าน เลยอยากมาแบ่งปันครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่าไว้ในเว็บบอร์ดหนึ่ง ที่เค้าแชร์เรื่องราวดีๆที่เค้าได้เจอมา(และกำลังเจอตอนเล่าเืรื่อง) โดยตอนที่เค้าเริ่มแชร์เรื่องนี้แล้วนั้น ยังเป็นช่วงที่บทสรุปของเรื่องราวความรักยังไม่มีตอนจบ ซึ่งเรื่องที่เล่านั้นก็กำลังวิ่งขนานไปกับชีวิตจริงของเค้าไปจนถึงตอนสุดท้าย

เนื่องจากมีสมาชิกแนะนำให้เปลี่ยนชื่อของตัวละครหลักสองตัว ผมจึงขออนุญาติเปลี่ยนแปลงชื่อตัวละครตามที่หลายๆคนแนะนำมานะครับ หัวเราะ
---------------------------------------------------------------
AuToToPโพสเมื่อ 2013-3-23 17:01

อนุทินฉบับนี้ที่ผมเขียนขึ้น เป็นเรื่องที่ผมประสบพบเจอมาในชีวิต และคิดว่าน่าจะเป็น
เรื่องที่วัยรุ่น วัยแรกแย้มได้หยิบยกเอาไปเป็นกรณีศึกษาครับ แม้เรื่องราวตอนนี้มันยังไม่
จบและผมยังไม่รู้บทสรุปมันจะออกมาเป็นแบบใด แต่ขอเรียบเรียงให้อ่านกันก่อนครับผม

ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนผม ผมชื่อ บอลครับ อายุ 29 ปี ทำงานอยู่บริษัท AJ สาขาขอน
แก่น ทำหน้าที่การตลาดให้กับบริษัทนี้มาตั้งแต่เรียนจบ เมื่อกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ทางบริษัทได้ส่งผมไปดุแลงานให้กับบริษัทในเคลื่อเดียวกันที่จังหวัด กระบี่ครับ
ขอเริ่มเรื่อง ณ บัดนี้

...................................................................................................

                            บริษัทที่ผมเข้ามาดูแลเรื่องการตลาดให้คือ บริษัท  CPS จำกัด เป็นศูนย์ร่วมอุปกรณ์ไอทีชื่อดังที่น่าจะใหญ่ที่สุดของจังหวัด กระ
บี่ครับ ลักษณะการทำงานของที่นี้ไม่ได้แตกต่างจากที่ทำการรัฐทั่วไปนัก โดย
หน้าที่และโต๊ะทำงานจัดกันเป็นหมวดหมู่ในตัวอาคาร มีเจ้าหน้าฝ่ายขาย เจ้าหน้าที่
การตลาด ฝ่ายบัญชี พนักงานต้อนรับ ลากยาวไปถึงเด็กยกของ

                            โต๊ะทำงานของตัวผมเองนั้นอยู่ชั้นสองครับ อันที่จริงแล้ว
จะเรียกว่าโต๊ะทำงานก็ไม่น่าจะถูกนัก เพราะรูปแบบการทำงานของผมจะไม่ได้
นั่งประจำที่เก้าอี้เหมือนเจ้าหน้าที่แผนกอื่นๆ วันๆผมต้องเดินทางออกไปเช็คเป้า
สินค้าตามร้านหุ้นส่วนต่างๆ ช่วงหลังเวลาอาหารเที่ยง กับช่วงเย็นๆใกล้จะเลิก
งานกัน ผมถึงได้กลับมานั่งหายใจเล่นที่โต๊ะทำงานเฉพาะกิจตัวนี้

                            บ่ายวันหนึ่งของเดือน กุมภาพันธ์ 2556 หลังจากที่ผมเอา
ท้องไปฝากกับร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าบริษัท ผมกลับเข้าที่ทำงาน เพื่อเอาข้อมูลลูกค้า
มาคีย์เข้าคอมส์เหมือนเช่นที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน

                            ผมนั่งคีย์งานไปซักระยะ ก็รู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งกำลัง
จ้องมองมาที่โต๊ะทำงานของผม ครับ จริงๆแล้วผมรู้สึกตัวมาซักพักได้แล้วว่าสาย
ตาที่กำลังมองมาคือพนักงานสาวนางหนึ่งของบริษัทนี้ ที่เพ่งมองผมมาจากโต๊ะทำ
งานของเธอซึ่งอยู่ห่างจากโต๊ะทำงานของผมประมาณ 3-4 เมตร (โต๊ะทำงานของ
เธอหันหน้าเข้าหาโต๊ะทำงานผม โดยช่องที่ตัดตรงกลางเป็นทางเดิน) ผมคิดในใจ
ว่า เดี่ยวคีย์งานล็อตนี้เสร็จตอนไหนผมจะแหงนหน้าขึ้นไปมองเจ้าของสายตาปริศ
นาที่อยู่ข้างหน้า ว่า สิ่งที่ผมคิดว่า

                             "เธอกำลังจ้องมองเราอยู่"                        
                                          มันคือความจริงหรือไม่

                             ผมตัดสินใจแหงนหน้าขึ้นมา แล้วพบคำตอบว่า มีดวงตาคู่
หนึ่ง กำลังจ้องมองมาที่ผมเหมือนดังที่ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิด เจ้าของดวงตาคู่นี้ เป็น
ผู้หญิงนางหนึ่ง อายุราวๆ 23-25 ปี ตัวเล็กผมยาว ผิวขาว และที่สำคัญ ดันทะลึ่ง
น่ารัก เสียอีก !

                             ในขณะที่เราทั้งคู่กำลังเล่นสงครามทางสายตากันอยู่นั้น ผม
นิ่งไปชั่วขณะ เกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่า 1) เธอมองเราเพราะอะไร. 2) หรือเธอไม่
ได้มองเรา แต่กำลังมองไปนอกหน้าต่าง ที่อยู่ข้างหลังเราพอดี !



AuToToPโพสเมื่อ 2013-3-23 17:07
ในระหว่างที่เกิดคำถามสองข้อเข้ามาอยู่ในสมอง และในระ
หว่างที่ผมกำลังพยายามหาคำตอบอยู่ ผมก็ได้รับคำเฉลยเรียบร้อยโดยที่ผมไม่ต้อง
เสียเวลาหาคำตอบเอง เจ้าของดวงตาคู่นั้นยิ้มเบาๆที่ริมฝีปาก โดยที่ผมไม่ลืมมารยา
ทของผู้มาใหม่ ผมได้ยิ้มตอบรับกลับไปเช่นเดียวกัน

                               หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา้เหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ
วันและวันละหลายๆครั้ง คือ เธอมองมา ผมมองกลับ เธอยิ้มมา ผมยิ้มตอบรับ โดย
ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน เราคุยกันโดยใช้สายตา ไม่เคยเลยซักครั้งที่จะเจรจากัน
ด้วยคำพูด .. ผมมานั่งคิดว่า เรื่องมันนี้มันก็สามารถเกิดขึ้นจริงได้นะ ไม่ต้องไปนั่ง
เสพความรู้สึกนี้จากภาพยนต์ หรือ นวนิยายดีๆซักเรื่องเพื่อทำให้หัวใจเราพองโต
ความรู้สึกนี้มันผ่านเข้ามาในชีวิตผมแล้ว ความรู้สึกที่เปรียมไปด้วยความสุขจากการ
มองโดยไม่ต้องรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ผมมีความสุขครับ แม้ผมจะไม่คิดว่านี้
คือความรัก แม้ผมจะไม่รู้เลยว่า ที่เธอมองผมเธอมองด้วยเหตุผลอันใด แม้ผมจะไม่
รู้เลยว่าเธอชื่ออะไร

                                แม้ ...แม้.....แม้ ....แม้ ..... ฯลฯ

                                แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า มันคือความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันระหว่าง
คนสองคนโดยไม่ต้องหาเหตุผลอันใดมาอธิบาย ขอแค่นี้แหละ แค่มองตากันครั้งไหน
แล้วได้ยิ้มให้กัน เหตุผลผมไม่ต้องการ ตอนนั้นผมคิดแบบนี้  

                                เข้าสู่เดือน มีนาคม 2556 เป็นเดือนสุดท้ายที่ผมจะหมดสัญ
ญาการว่าจ้างกับบริษัทนี้เสียที (วันที่ 27 มีนาคม 2556 คือวันที่ผมจะเดินทางกลับ)
ความปรารถนาของผมที่ต้องการกลับสู่วิมาณอันเป็นที่รัก ใกล้เป็นคามจริงเข้ามาทุกวัน

                                แต่ในความดีใจนั้น ก็มีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจเช่นเดียวกัน อย่าง
ที่ผมได้เล่าเรื่องราวข้างต้นให้พี่น้องฟังครับ จากวันนั้นจวบจนวันนี้ ระหว่างผมและเธอ
ไม่เคยได้คุยกันเลย แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จัก แต่จะต้องจบละครจากชีวิตจริงเรื่องนี้ลงเสีย
แล้ว ถามว่าทำใจได้ไหม ! ลูกผู้ชายอกสามศอก เรื่องแค่นี้ ...  

                               ทำใจไม่ได้อยู่แล้ว .. (อ้าว)


AuToToPโพสเมื่อ 2013-3-23 17:11
ผมจะต้องรวบรวมความกล้า ความหน้าด้าน ความหยาบ ความ
มึน(พอก่อน)อะไรก็แล้วแต่ที่ผมมีอยู่ พุดคุยกับเธอดูซักครั้ง อย่างน้อย ก่อนจากกันได้
รู้ว่าเจ้าของสายตาที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกฟุ้งซ่านนั้น มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร แค่นั้น
ก็ยังดี

                                ไม่แน่ว่าเป็นเช้าของวันที่ 7 หรือ 8 มีนาคมที่ผ่านมา วันนั้นเอง
คือวันที่ผมคิดเอาไว้ว่า ผมต้องเริ่มต้นคุยกับเธอ ...แต่จะเริ่มต้นยังไงดี ?

                                "สวัสดีครับ เรามองกันมาตั้งนานแล้ว หนีตามผมไปขอนแก่น
ได้ไหมครับ" ! ... ทรุ๊ยยย ! จะบร้าาา เหรอ

                                "ไง.. เพื่อนร่วมงานคนเก่ง วันนี้วันหยุดเหรอครับ" มรืงงก็เห็นว่า
เขานั่งอยู่ที่ทำงาน เฮ้ออ

                                 เอาอันไหนดี ....เอาคำพูดคำไหนดี......

                  ................................


AuToToPโพสเมื่อ 2013-3-23 17:15

ร้อยแปดบทสนทนาแรกที่ผมคิดเอาไว้ในใจ ผมต้องเลือกที่มัน
ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดออกมา 1 ประโยค ผมเข้าไปทำธุระในห้องน้ำ ในใจวิตกกังวล
ตลอดเวลาว่า คำพูดนี้จะเวิร์คไหม ถ้าเอาคำพูดนี้ผลตอบรับจากเธอมันจะเป็นอย่างไร ผม
เสร็จธุระจากในห้องน้ำและพลักประตูออกมา สิ่งมีชีวิตที่ผมเรียกว่า "ความสุขทางใจ" อยู่
ไม่ห่างจากผม ! เธอกำลังเลือกเอกสารอะไรซักอย่างที่อยู่หน้าห้องน้ำ (ห้องน้ำบนชั้น2จะ
มีตู้เอกสารวางอยู่ด้านหน้า)

                                  นี้เป็นครั้งแรกที่ผมอยู่ใกล้เธอมากที่สุด อากาศในออฟฟิตช่าง
หนาวเย็นเกินห้ามใจ แต่นาทีนั้นเหงื่อที่หลังเสื้อของผม พลุดออกมาปานเขื่อนแตกจนไม่
รู้จะกั้นความแรงของน้ำยังไง แล้วเธอก็หันหน้ามา นาทีนั้น เป็น หกสิบวินาทีที่ยาวนานเป็น
บ้า เธอคิดอะไรระหว่างที่จ้องมองหน้าผม ผมไม่รู้ แต่ระหว่างที่ผมกำลังมองหน้าเธออยู่นี้
หัวสมองผมคิดไปร้อยแปดพันเรื่อง แล้วผมก็คัดกรองคำพูดที่ดีที่สุดของผมออกไปว่า....

                                   "...."
                                   "เออ ...ห้องน้ำอยู่ไหนครับ" !

                                    ..

                                   "ไอ้สลัดดดดดด มรืงเพิ่งออกมาจากห้องน้ำเขาก็เห็น แล้วมรืงเสีอก
ไปถามเขาว่า ห้องน้ำไปทางไหน ไอ้$#$@^%$#%@%^#"

                                    ในใจผมอายแทบพลิกแผ่นดินหนี นี้ผมพูดอะไรลงไป จะด้วย
ความเขิลอายมันก็น่าจะหาคำพูดแรกที่ดีกว่านี้ ผมก้มหน้าลงต่ำรอกริยาที่เธอจะแสดงออก
มาแล้วเธอก็ ..... ใช้รอยยิ้มแทนคำพูด เฉกเช่นที่เธอเคยทำมาโดยตลอด ผมยิ้มรับเช่นเคย
แล้วจ้ำอ้าวเดินผ่านเธอกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน วันนั้นผมเครียดทั้งวัน งานการทำไม่รู้เรื่องแล้ว
ครับ

                                              ใจผมไม่อยู่ที่งานแล้ว ใจของผมอยู่ที่ ครั้งต่อไปจะแก้
ตัวอย่างไรดี ที่สำคัญคือให้ทันก่อนที่ผมจะลาจาก จังหวัดกระบี่..

                                   ................................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่