ม่านบังใจ (ชื่อชั่วคราว) ตอนที่ ๓

กระทู้สนทนา
คัทลียานอนไม่หลับ เธอมีปัญหาเรื่องเวลาที่ต่างกันของสองประเทศอย่างไม่ต้องสงสัย หญิงสาวลุกจากเตียง สำรวจความเรียบร้อยในกระจก ใบหน้าเรียวยาวไร้เครื่องประทินโฉม    แต่ก็งามอย่างไร้ที่ติ เธอถอดแบบจากบิดาทุกกระเบียดนิ้ว คัทลียาจ้องเงาตัวเองในกระจก ถ้าเธอหน้าเหมือนแม่คงจะดีไม่น้อย

                     คัทลียาเดินลงบันไดหินอ่อน บ้านไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักนับจากที่เธอเห็นครั้งสุดท้าย เธอน่าจะย้ายไปอยู่คอนโดมิเนียม แต่คิดอีกที จะปล่อยให้คนที่เธอเกลียดขี้หน้าอยู่กันสุขสบายได้อย่างไร ที่ผ่านมาเธอหนีมาพอแล้ว เธอมีสิทธิ์เต็มที่ในบ้านหลังนี้

    “คุณแคลร์ลงมาพอดี น้ากำลังจะให้คนขึ้นไปตาม อาหารพร้อมแล้วค่ะ” อนงค์ยืนยิ้มอยู่เชิงบันได คัทลียาไม่ตอบ เดินผ่านหน้าอนงค์เข้าไปที่ห้องอาหาร อนงค์เรียกเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่แถวนั้น

    “ไปตามคุณคชากับคุณนิจทานข้าวเย็น”

    “ค่ะ คุณนงค์ค์”

    อนงค์เดินไปที่ห้องทำงานของศันต์ เธอเคาะประตูสามครั้งจึงเปิดเข้าไป พบสามีนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ยาว

    “คุณค่ะ อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะ”

    “ยายแคลร์ล่ะ ลงมาหรือยัง”

    “นั่งรออยู่ที่ห้องอาหารแล้วค่ะ”

    ศันต์ลุกขึ้นยืน อนงค์เดินมาหาสามี เธอกุมมือเขาไว้และพูดเสียงเบา

    “ไม่ว่าคุณแคลร์จะพูดหรือทำอะไร คุณต้องใจเย็นนะคะ” ศันต์ได้ฟังก็ถอนหายใจ

    “ผมรู้”

                      เมื่อทั้งสองไปถึงห้องอาหารก็พบลูกๆ นั่งรออยู่แล้ว เด็กรับใช้ต่างยืนตัวเกร็ง แม้บางคนจะเพิ่งมาอยู่ไม่นาน แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์ความเจ้าอารมณ์ของคัทลียา

    “ตักข้าวได้เลย” อนงค์สั่งเด็กที่ยืนรออยู่ข้างโต๊ะ

    “น้าไม่รู้ว่าคุณแคลร์อยากทานอะไร เลยทำอาหารที่คุณแคลร์เคยชอบตอนเด็กๆ ค่ะ”

    “ตอนเด็กชอบ ใช่ว่าตอนนี้ยังชอบอยู่” คัทลียาเขี่ยข้าวในจานเล่น

    “คุณแคลร์อยากทานอะไรบอกน้าได้เลยนะคะ น้าจะทำให้ทาน”

    “มีมาม่าหรือเปล่า”

        ผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารทั้งสี่คนหันมามองเธอเป็นตาเดียว อนงค์ดูจะตกใจกว่าใครเพื่อน

    “มาม่าหรือคะ”

    “ใช่ มาม่ารสต้มยำกุ้งน่ะ มีมั้ย”

    “มีค่ะ”

    “ก็ดี ทำมาม่าให้กินหน่อย ใส่ผัก ใส่ไข่ ใส่กุ้ง ทำรสชาติให้เหมือนต้มยำเลยนะ”

    “ยายแคลร์ อย่าให้มันมากเกินไปนัก คุณนงค์ค์เขาอุตส่าห์ลงมือทำกับข้าวเองกับมือ” ศันต์ปรามลูกสาว คัทลียาหันมามองหน้าบิดา

    “ก็เขาบอกเองว่า แคลร์อยากกินอะไรให้บอก จะทำให้ แคลร์ไม่ได้สั่งแบบไร้เหตุผล” คัทลียาตอบ

    “ได้ค่ะ คุณแคลร์รอหน่อยนะคะ น้าจะไปทำมาให้”

    “คุณนงค์ค์ นั่งลง ไม่ต้องไปตามใจยายแคลร์ กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน” ศันต์พูดเสียงเกรี้ยว

        “คุณแคลร์กลับมาเหนื่อยๆ คงอยากทานอะไรเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ ไม่ได้ลำบากเลยค่ะ” อนงค์ลุกขึ้นเดินเข้าครัว คชาและคะนึงนิจก้มหน้าก้มตากินข้าว ขณะที่ศันต์มองหน้าลูกสาวคนโต     รู้ดีว่าโกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ถึงสิบนาที อาหารที่คัทลียาอยากรับประทานก็มาวางตรงหน้า หญิงสาวใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก อนงค์ยิ้มออกมาได้เล็กน้อย

    “รสชาติถูกปากหรือเปล่าคะ”

    “ก็งั้นๆ แหละ” คัทลียาตอบ อนงค์ได้ยินก็ยิ้มเจื่อนๆ

    “ให้มันน้อยๆ หน่อย เพิ่งจะกลับมาวันแรก” ศันต์วางช้อนส้อมลงบนจาน

    “กินอิ่มแล้ว ไปหาพ่อที่ห้องทำงานด้วย” พูดจบเขาก็วางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะ อนงค์เห็นข้าวในจานพร่องไปนิดเดียวจึงถามว่า

    “อิ่มแล้วหรือคะ”

    “ใช่”

        บรรยากาศในห้องรับประทานเงียบเชียบลงกว่าเดิม คชาและคะนึงนิจกินอิ่มแล้วก็รีบขอตัวกลับห้องของตน เหลือเพียงอนงค์กับคัทลียา

    “คุณแคลร์จะรับอะไรเพิ่มไหมคะ ของหวานหรือผลไม้ดี”

    “เหล้าปั่น” คัทลียาตอบสั้นๆ

    “เหล้าปั่นหรือคะ” อนงค์ทวนคำอย่างงงๆ

    “ใช่ ทำเป็นหรือเปล่า” คัทลียายักคิ้วถาม

    “ไม่เป็นค่ะ” อนงค์ตอบ

        คัทลียานั่งทานบะหมี่ต่อจนหมดชาม หญิงสาวยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม โยนผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะ หญิงสาวลุกจากเก้าอี้ อนงค์มองตามร่างสูงระหงด้วยแววตาอ่อนโยน เธอหันมาสั่งงานเด็กรับใช้ว่า

    “เก็บโต๊ะได้แล้ว และก็นำคอนยัคกับกาแฟไปให้คุณผู้ชายที่ห้องทำงาน ส่วนของคุณแคลร์เป็นชามิ้นท์นะ”

    “ค่ะ” เด็กรับใช้รับคำสั่งก็รีบไปจัดการทันที
    
                    คัทลียาเปิดประตูห้องทำงานของศันต์ เธอพบบิดากำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พอได้ยินเสียงประตูเปิดจึงหันมาดู

    “ไปอยู่เมืองนอกเมืองนามานานจนลืมมารยาท ลูกควรจะเคาะประตูก่อน” ศันต์กล่าวเสียงเรียบ

    “แคลร์จะออกไปใหม่ พ่อจะให้แคลร์เคาะกี่ครั้งคะ” คัทลียถามเสียงหวาน

    “ไม่ต้อง มานั่งนี่” ศันต์ชี้ไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน

                 คัทลียานั่งลงหน้าโต๊ะทำงาน มองบิดา เธอเพิ่งสังเกตว่าพ่อเธอดูแก่ไปเยอะ นับจากที่เจอครั้งล่าสุดเมื่อแปดเดือนก่อน

    “ลูกคงอยากรู้ว่าพ่อเรียกกลับมาทำไม”

    “ค่ะ”

    “วันจันทร์ลูกต้องเข้าบริษัท ไปเรียนรู้งานกับพี่อาร์ม” คำว่า “พี่อาร์ม” หญิงสาวได้ยินครั้งใดรู้สึกอยากจะกรี๊ดแทบอกระเบิด

    “ทำไมหนูต้องไปเรียนรู้งานกับ...” คัทลียายั้งปากทัน ปกติเวลาเรียกอศวรรฒ์ด้วยชื่อเล่น เธอมักจะเติมคำนำหน้าว่า “ไอ้”

    “พี่อาร์ม” เธอแทบจะกัดลิ้นตายเมื่อพูดชื่อนี้

    “ลูกควรจะเป็นคนบริหารบริษัทนี้ ตลอดหลายปีมานี้อาร์มช่วยงานพ่อได้เยอะ ถ้าไม่มีเขาพ่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”

    “พี่อาร์มเขาเก่ง พ่อก็ให้เขาทำไปสิคะ ไม่ต้องเรียกแคลร์กลับมาก็ได้”

    “แกเป็นลูกในไส้ของพ่อ บริษัทนี้ยังไงเสียก็ต้องเป็นของแก”

    “นึกว่าคิดถึงแต่ “ลูกนอกไส้

    “ยายแคลร์” ศันต์ตวาด “เลิกใช้คำพูดบ้าๆ นั่นสักที”

    “ก็มันจริงนี่”

        เสียงเคาะประตูดัง ศันต์สั่งโดยไม่มองว่า

    “เข้ามาได้”

             อนงค์เดินถือถาดเครื่องดื่มหลังอาหารเข้ามา ไม่ต้องบอกเธอก็รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น

    “อาร์มกลับมาหรือยัง” ศันต์ถาม

    “ยังคะ จะให้โทร.ตามหรือเปล่าคะ”

    “ไม่เป็นไร คุณไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

    “ค่ะ” อนงค์หันมาทางคัทลียาซึ่งนั่งเล่นผมตัวเองอยู่ “อยากได้อะไรก็เรียกเด็กได้นะคะ น้าสั่งไว้แล้ว” คัทลียาไม่ตอบ ศันต์เห็นจึงโบกมือให้อนงค์ออกไป เขามองหน้าลูกสาวที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

    “คุณนงค์ค์เขาถาม เขาพูดอะไร แกจะตอบรับเขาสักหน่อยไม่ได้หรือไง” ศันต์ถามลูกสาว เมื่อเห็นยังนั่งเฉย เขาจึงเปลี่ยนเรื่องพูด รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะบ่นอะไรต่อ

    “ช่วงนี้อยู่บ้านแล้วกัน หรือถ้าอยากจะไปไหนก็เรียกคนขับรถ”

    “แคลร์อยากได้รถส่วนตัว”

    “ไม่ได้ วันทำงานนั่งรถไปพร้อมกับอาร์ม ตอนเย็นกลับพร้อมพ่อ ห้ามเถลไถลไปไหนเด็ดขาด”

    “งั้นพ่อก็หารถให้แคลร์พร้อมคนขับส่วนตัว”

    “ทำงานสักสามเดือนก่อน ทำตัวดีพ่อจะซื้อรถให้”

    “มีเรื่องจะคุยเท่านี้ใช่ไหมคะ”

    “คงอยากพักผ่อนแล้วสินะ ไปเถอะ”

                    คัทลียากลับห้องพัก หญิงสาวเปิดประตูห้องนอน เธอรู้สึกว่าตาสว่าง ไม่มีทางนอนหลับแน่ หญิงสาวรื้อของในกระเป๋า เธอสั่งไม่ให้คนรับใช้มายุ่งกับสัมภาระของเธอ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ม่านบังใจ โดย กัณฐมาศ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่