ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเข้ามาอ่าน บทความในห้องสีลม อยู่เป็นประจำ
ผมเป็นอีกคนที่ ชอบบทความเกี่ยวการสู้ชีวิตของ หลายๆท่าน ทั้งท่านที่ลาออกจากงานประจำ ไปสู่อาชีพธุรกิจส่วนตัว และท่านที่ทำงานประจำ แล้วก้าวไปสู่บทใหม่ๆ ของชีวิต
ผมจึงอยากเล่าเรื่อง ประสบการณ์ทำงานของผม บทที่หนึ่ง : ชีวิตเหมือนฝัน ออกจากเมืองไทยไปหาประสบการณ์ที่ เซี่ยงไฮ้
ก่อนที่จะเริ่ม ผมขอชี้แจงก่อนว่า การที่ผมนำเรื่องของตัวเองมาเล่า ก็เหมือนกับหลายๆท่าน นั่นก็คือ อยากให้น้องๆ รุ่นใหม่ที่เพิ่งจบมา หรือ น้องๆที่กำลังเหนื่อยกับงานที่ทำ ได้เห็นอีกตัวอย่างของการตั้งใจทำงาน วิ่งเข้าหางาน ไม่ใช่วิ่งหนีแล้วหาข้อแก้ตัว รวมทั้งคิดว่า “เริ่มงาน เจ็ดโมงครึ่ง ก็แค่นั่งเฉยๆ รอเวลากลับบ้าน สำหรับผม มันคือ การหายใจทิ้งไปวันๆ”(ข้อคิดนี้ ได้มาจากพี่หัวหน้า)
ผมจบวิศวะ จากมหาวิทยาลัยรัฐครับ เกรดไม่สูง แต่ก็อยากทำงานกับบริษัทชั้นนำของประเทศ
ผมพยายามนำเสนอตัวเอง ตามแบบฉบับของ ท่านผู้รู้ในห้องนี้ ผิดหวังก็เยอะครับ แต่สุดท้ายก็ได้ ทำงานกับ บริษัทชั้นนำของประเทศสมใจ แต่ต้องไปทำงาน ต่างจังหวัด ซึ่งผม ก็ไม่มีประเด็นอะไร เพราะว่า ไม่ค่อยชื่นชอบ กรุงเทพ เท่าไรนัก(ในตอนแรก)
การไปทำงานที่ต่างจังหวัด ทำให้ผมได้เรียนรู้ สิ่งหนึ่งจาก ท่านผู้อำนวยการโรงงาน นั่นคือ ทำงานห้ามข้ามหัว พี่หัวหน้า ให้รายงานขึ้นไปตามลำดับ
ผมอยู่โรงงานที่ต่างจังหวัดประมาณ ปีหน่อยๆ ยอมรับจริงๆครับว่า ไม่ชอบงานที่ทำเลย เอาหล่ะซิ เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อ จะลาออกดีไหม? เอ๋แต่ถ้าลาออกก็ต้องหางานใหม่อีก แล้วอยากทำอะไรหล่ะ คิดไม่ออก
ดังนั้น ผมคิดใหม่ว่า อยากเปลี่ยนแผนก(อยากได้แผนกที่กลับไปอยู่ กรุงเทพ หรือไม่ก็ใกล้ๆ กรุงเทพก็ยังดี เพราะว่า หลงแสงสี กรุงเทพ รวมทั้งติด พระมารดา ด้วย)!! แต่ เอ๋แล้วจะไปอยู่แผนกไหนได้หล่ะ T_T เพราะว่าประสบการณ์ทำงาน ยังไม่ถึงเกณฑ์ของบริษัทที่จะเปลี่ยนแผนกได้ ดังนั้น จึงคิดว่า งั้นลาออก แล้วไปเรียนต่อดีกว่า จึงทำเขียนใบคำร้อง เรื่องลาออกจากงาน … ยื่นผ่านพี่หัวหน้าแผนก(ตอนแรก แกก็ตกใจ แต่พออธิบาย แกก็เข้าใจ)
แต่ในขณะนั้นเอง ในแผนกที่ผมทำงานอยู่ประสบปัญหา เครื่องจักรเดินไม่เรียบ เครื่องหยุดบ่อยมาก แก้ไม่หาย จึงทำให้มีหน่วยงานอื่นจากกรุงเทพ(ตอนนั้นไม่รู้ว่า หน่วยงานนี้อยู่ชานเมือง)ที่เชี่ยวชาญด้านการแก้ปัญหา มาช่วยแก้ปัญหาให้ ตอนนั้น เหมือนได้เจอ วีรบุรุษ เลยแหละครับ อยากไปทำงานที่หน่วยนี้มากๆ จึงได้ช่วยหน่วยงานนี้ในการแก้ปัญหาเครื่องจักรอย่างจริงจัง จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จในระดับหนึ่ง
หลังจากแก้ปัญหาเสร็จ(ประมาณ สองอาทิตย์) พี่ผู้อำนวยการโรงงาน ก็เรียกพบเพราะว่า แกทราบเรื่องที่ผมจะลาออก ผมก็ได้พูดกับแกตามตรงว่า… “ผมอยากย้ายแผนกครับ แต่ผมก็รู้ดีว่า อายุงานของผมยังไม่ผ่านเกณฑ์ของบริษัท ที่จะสมัครขอย้ายแผนกได้ ดังนั้น ผมเลยคิดว่า ผมกลับไปเรียนต่อดีกว่า”
แกก็เลยบอกผมว่า “เท่าที่ทราบมา เราไม่เคยทำงานข้ามหัวพี่หัวหน้าแผนก และทำงานด้วยความตั้งใจ ดังนั้น สนใจไปอยู่ที่ไหนบ้างหล่ะ เดี๋ยวผมจะดูให้”
ตอนนั้นดีใจมากเลยครับ ก็เลยบอกแกไปว่า อยากไปอยู่กับหน่วยงานที่มาแก้ปัญหาเครื่องให้
สุดท้าย(ผ่านไป สองเดือน) ก็ได้ย้ายมาอยู่ที่แผนกนี้สมใจ
ที่แผนกนี้ ผมทำงานอย่างสุดความสามารถ ตัวอย่างเช่น ถึก(เดินทางไป-กลับ ระยะทางกว่า 1,000 กม วันเดียว โดยวันรุ่งขึ้นมีประชุมตอน แปดโมงเช้า), ศึกษาวิชา สถิติ ที่ซึ่งไม่เคยชอบเลย ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย แต่เพราะ ต้องใช้ในงานที่ทำ จึงไม่มีทางเลือก,…
ผมทำงานอยู่ เกือบสองปี แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็คิดได้ว่า เราคงไม่เหมาะกับสายงานนี้ เพราะว่าเพื่อนที่อยู่ทีมเดียวกัน ประเมินผลงาน ได้ดีกว่าเรา เสียอีก(ไม่ได้อิจฉาน่ะครับ เพราะว่า เพื่อนทำได้ดีจริงๆ ยังชื่นชมเขาอยู่เลย) แต่ครั้น จะไปขอเปลี่ยนสายงานอีกรอบ ก็ละอายใจ เพราะว่า พี่ที่รับเราเข้ามา เขาก็ดีกับเรามากๆ
ดังนั้นจึงตัดสินใจว่า หางานใหม่ดีกว่า แต่ว่า เอาแบบที่เราชอบ(ผมชอบอะไรที่เลอะๆ มันสนุกดี) ก็เลยเลือกสายงาน ซ่อมบำรุง
ความยากมันเริ่มจากตรงนี้แหละครับ เพราะว่า ไม่เคยรู้เรื่องเครื่องจักรอย่างเจาะลึกเลย (ตัวอย่างเช่น ไม่รู้จัก pressure vessel, mechanical seal, …) ดังนั้น ผมอ่านหนังสือ และหาข้อมูลใน Internet เยอะมากเลยครับ และที่สำคัญได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของพี่คนสัมภาษณ์ ในหลายๆบริษัทที่ไปสัมภาษณ์ แล้วไม่ผ่าน(ผมไม่เคยท้อใจเลยน่ะครับ ที่ไม่ผ่านสัมภาษณ์ เพราะผมได้โอกาสที่จะเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ เพื่อเอามาปรับปรุงในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป)
สัมภาษณ์มาหลายที่ จนได้เข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในระยอง โดยพี่ที่รับผมเข้ามา เขาบอกผมว่า หนึ่งในปัจจัยที่รับผมเข้ามา เพราะว่า ผมอึด โดยเขาโทรไปสอบถามจากเพื่อนเขาที่บริษัทเก่าผม โดยเขาอยากรู้ว่า ผมสู้งานไหม อดทนไหม แล้วเขาก็บอกผมว่า เพื่อนเขาบอกว่า ทำงานด้วยหนึ่งงาน น้องเขาพยายามดีมาก ทำงานจบ และอดทนสูง
มาถึงตรงนี้ ผมอยากจะบอกน้องๆ ทุกคนว่า “ทำงานอะไรก็ตาม น้องต้องอดทน บางครั้งเหนื่อยแทบขาดใจ แต่สุดท้าย น้องต้องทำงานให้เสร็จน่ะครับ(แบบทันเวลา ด้วยน่ะครับ) ห้ามเลิกกลางคัน เพราะว่า มันสะท้อนว่า เราอึด และ ทำงานเป็น หรือไม่”
ผมเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ ในฐานะวิศวกรซ่อมบำรุง แต่ว่าต้องไปช่วยงานโครงการก่อน เพราะว่า พี่คนที่รับผมเข้ามา(แกรับผิดชอบงาน ในโครงการนี้) แกต้องไปทำงานเมืองนอก(ตำแหน่งใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม)
ทันทีที่ผมรู้ว่า ผมต้องทำงานโครงการ มันเหมือนฝันเลยครับ เพราะว่าเคยอยากทำมานาน แล้วแต่ว่าไม่เคยได้ทำ(โอกาสมาไม่ถึงครับ) ดังนั้น ผมจึงตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่า ไม่ว่าต้องเหนื่อยซักเท่าไร ผมต้องผ่านไปให้ได้
ระหว่างทำงานโครงการนี้ ผมโดนรับน้องหลายเรื่องเลยครับ แต่ว่าทุกเรื่องที่โดนรับน้อง ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น มองทุกอย่างเป็นระบบขึ้น และที่สำคัญ ไม่กลัวกับความท้าทายใหม่ๆ
เรื่องนี้สำคัญน่ะครับ เพราะว่า ถ้าเราสามารถรับความท้าทายใหม่ๆได้ตลอดเวลา นั่นก็หมายความว่า เราเป็นคนไม่หยุดนิ่ง เจ้านายชอบน่ะครับ
รวมทั้ง ประโยคเด็ด จากฝรั่ง หัวหน้าโครงการ นั่นก็คือ “อย่ามองว่ามันคือ อุปสรรค แต่ให้มองอย่างมีสติว่ามันคือ ความท้าทาย และต้องก้าวข้ามไปให้ได้”
ตอนที่ระหว่างทำงานอยู่นั้น ก็ได้ยินข่าวลือว่า จะมีการสร้างโรงงานแบบเดียวกันที่เมืองจีน ส่วนลึกๆในใจก็คิดว่า ถ้าได้ไป มันก็คงเหมือนฝันเลย เพราะว่า ได้ไปอยู่เมืองนอกด้วย แต่ว่า… เราก็ยังเด็กอยู่(ประสบการณ์ทำงานแค่ปีเดียวเอง T_T)
คิดได้อย่างนั้นแล้วก็ สลด นิดหนึ่ง แต่ก็ยังคงทำงานต่อไปน่ะครับ ไม่เพ้อฝัน จนเกินตัวไปนัก(แต่ก็แอบคิด อยู่บ่อยๆน่ะ ^ ^) รวมทั้ง แสดงความตั้งใจ ว่าจะไปทำงานเมืองนอก ในระหว่างการประเมินผลงาน
อันนี้ก็ค่อนข้างจะสำคัญ(แต่ว่า หลังจากทำงานสำเร็จบางงาน ก่อนน่ะครับ) เพราะว่า พี่หัวหน้า ไม่รู้จิตใจเราครับ ว่าเราอยากจะทำอะไร ต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้น เราต้องบอกให้เขารับรู้ครับ
ทำงานกับพี่ๆ อย่างเป็นทีม(ไม่เด่นอยู่คนเดียว เพราะถ้าทีมล่ม มันก็พังกันทั้งหมดครับ) ต่อกร กับผู้รับเหมาอย่างสุดฝีมือ(รวมถึงการยกมือไหว้ ขอร้องหัวหน้าผู้รับเหมาให้ช่วยพูดกับลูกน้อง ให้มาทำงานในช่วงสงกรานต์กันด้วย T_T,…) และอีกหลายๆสิ่งที่รวมกันทำพร้อมพี่ๆ จนทำให้เดินเครื่อง เริ่มกระบวนการผลิตได้ตามที่ ฝ่ายจัดการได้วางแผนไว้(มันก็ delay น่ะครับ แต่เห็นว่า มันยังพอรับได้)
รวมทั้ง ปัญหาทุกปัญหาต้องแก้อยู่บนพื้นฐานของมาตราฐาน และ/หรือ หลักวิชาการน่ะครับ(ประเภท ที่พูดว่า ผมคิดว่า… แล้วไม่มีมาตราฐาน หรือหลักวิชาการมารองรับ ไม่ควรพูดน่ะครับ เพราะว่า มันอาจแสดงถึง ความไม่รู้ แล้ว เดาเอา)
สุดท้ายของบทที่หนึ่ง(ประสบการณ์ทำงาน 5 ปี) : ผมก็ได้รับโอกาสให้มาทำงาน ที่เมืองจีน โดยหน้าที่ ที่รับผิดชอบเท่าเดิม แต่เป็นความท้าทายใหม่ แต่เหมือนที่บอกไปแล้วว่า “อย่ามองว่ามันคือ อุปสรรค แต่ให้มองอย่างมีสติว่ามันคือ ความท้าทาย และต้องก้าวข้ามไปให้ได้”
สุดท้ายนี้ ผมกำลังจะเข้าสู่บทที่สองของชีวิตครับ(ยังไม่รู้ว่า ชื่อตอนต่อไปจะใช้ชื่อว่าอะไร ^ ^)
และผมมีความเชื่อว่า น้องๆทุกคน สามารถเป็นอย่างผมได้(และเชื่ออย่างสุดใจว่า จะเป็นได้ดีกว่าผมแน่นอน) ขอแค่มี สี่ข้อ ในใจครับ
1. ทำงานห้ามข้ามหัว พี่หัวหน้า ให้รายงานขึ้นไปตามลำดับ เพราะเมื่อพี่หัวหน้าโต เราก็จะโตตามครับ
2. ทำงานอะไรก็ตาม ต้องอดทน บางครั้งเหนื่อยแทบขาดใจ แต่สุดท้ายต้องทำงานให้เสร็จ ห้ามเลิกกลางคัน
3. อย่ามองว่ามันคือ อุปสรรค แต่ให้มองอย่างมีสติว่ามันคือ ความท้าทาย และต้องก้าวข้ามไปให้ได้
4. ปัญหาทุกปัญหาต้องแก้อยู่บนพื้นฐานของมาตราฐาน และ/หรือ หลักวิชาการ
หมายเหตุ : ผมขออนุญาต ไม่ตอบหลังไมค์น่ะครับ
บทที่หนึ่ง : ชีวิตเหมือนฝัน จากเมืองไทย สู่มหานครเซี่ยงไฮ้
ผมเป็นอีกคนที่ ชอบบทความเกี่ยวการสู้ชีวิตของ หลายๆท่าน ทั้งท่านที่ลาออกจากงานประจำ ไปสู่อาชีพธุรกิจส่วนตัว และท่านที่ทำงานประจำ แล้วก้าวไปสู่บทใหม่ๆ ของชีวิต
ผมจึงอยากเล่าเรื่อง ประสบการณ์ทำงานของผม บทที่หนึ่ง : ชีวิตเหมือนฝัน ออกจากเมืองไทยไปหาประสบการณ์ที่ เซี่ยงไฮ้
ก่อนที่จะเริ่ม ผมขอชี้แจงก่อนว่า การที่ผมนำเรื่องของตัวเองมาเล่า ก็เหมือนกับหลายๆท่าน นั่นก็คือ อยากให้น้องๆ รุ่นใหม่ที่เพิ่งจบมา หรือ น้องๆที่กำลังเหนื่อยกับงานที่ทำ ได้เห็นอีกตัวอย่างของการตั้งใจทำงาน วิ่งเข้าหางาน ไม่ใช่วิ่งหนีแล้วหาข้อแก้ตัว รวมทั้งคิดว่า “เริ่มงาน เจ็ดโมงครึ่ง ก็แค่นั่งเฉยๆ รอเวลากลับบ้าน สำหรับผม มันคือ การหายใจทิ้งไปวันๆ”(ข้อคิดนี้ ได้มาจากพี่หัวหน้า)
ผมจบวิศวะ จากมหาวิทยาลัยรัฐครับ เกรดไม่สูง แต่ก็อยากทำงานกับบริษัทชั้นนำของประเทศ
ผมพยายามนำเสนอตัวเอง ตามแบบฉบับของ ท่านผู้รู้ในห้องนี้ ผิดหวังก็เยอะครับ แต่สุดท้ายก็ได้ ทำงานกับ บริษัทชั้นนำของประเทศสมใจ แต่ต้องไปทำงาน ต่างจังหวัด ซึ่งผม ก็ไม่มีประเด็นอะไร เพราะว่า ไม่ค่อยชื่นชอบ กรุงเทพ เท่าไรนัก(ในตอนแรก)
การไปทำงานที่ต่างจังหวัด ทำให้ผมได้เรียนรู้ สิ่งหนึ่งจาก ท่านผู้อำนวยการโรงงาน นั่นคือ ทำงานห้ามข้ามหัว พี่หัวหน้า ให้รายงานขึ้นไปตามลำดับ
ผมอยู่โรงงานที่ต่างจังหวัดประมาณ ปีหน่อยๆ ยอมรับจริงๆครับว่า ไม่ชอบงานที่ทำเลย เอาหล่ะซิ เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อ จะลาออกดีไหม? เอ๋แต่ถ้าลาออกก็ต้องหางานใหม่อีก แล้วอยากทำอะไรหล่ะ คิดไม่ออก
ดังนั้น ผมคิดใหม่ว่า อยากเปลี่ยนแผนก(อยากได้แผนกที่กลับไปอยู่ กรุงเทพ หรือไม่ก็ใกล้ๆ กรุงเทพก็ยังดี เพราะว่า หลงแสงสี กรุงเทพ รวมทั้งติด พระมารดา ด้วย)!! แต่ เอ๋แล้วจะไปอยู่แผนกไหนได้หล่ะ T_T เพราะว่าประสบการณ์ทำงาน ยังไม่ถึงเกณฑ์ของบริษัทที่จะเปลี่ยนแผนกได้ ดังนั้น จึงคิดว่า งั้นลาออก แล้วไปเรียนต่อดีกว่า จึงทำเขียนใบคำร้อง เรื่องลาออกจากงาน … ยื่นผ่านพี่หัวหน้าแผนก(ตอนแรก แกก็ตกใจ แต่พออธิบาย แกก็เข้าใจ)
แต่ในขณะนั้นเอง ในแผนกที่ผมทำงานอยู่ประสบปัญหา เครื่องจักรเดินไม่เรียบ เครื่องหยุดบ่อยมาก แก้ไม่หาย จึงทำให้มีหน่วยงานอื่นจากกรุงเทพ(ตอนนั้นไม่รู้ว่า หน่วยงานนี้อยู่ชานเมือง)ที่เชี่ยวชาญด้านการแก้ปัญหา มาช่วยแก้ปัญหาให้ ตอนนั้น เหมือนได้เจอ วีรบุรุษ เลยแหละครับ อยากไปทำงานที่หน่วยนี้มากๆ จึงได้ช่วยหน่วยงานนี้ในการแก้ปัญหาเครื่องจักรอย่างจริงจัง จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จในระดับหนึ่ง
หลังจากแก้ปัญหาเสร็จ(ประมาณ สองอาทิตย์) พี่ผู้อำนวยการโรงงาน ก็เรียกพบเพราะว่า แกทราบเรื่องที่ผมจะลาออก ผมก็ได้พูดกับแกตามตรงว่า… “ผมอยากย้ายแผนกครับ แต่ผมก็รู้ดีว่า อายุงานของผมยังไม่ผ่านเกณฑ์ของบริษัท ที่จะสมัครขอย้ายแผนกได้ ดังนั้น ผมเลยคิดว่า ผมกลับไปเรียนต่อดีกว่า”
แกก็เลยบอกผมว่า “เท่าที่ทราบมา เราไม่เคยทำงานข้ามหัวพี่หัวหน้าแผนก และทำงานด้วยความตั้งใจ ดังนั้น สนใจไปอยู่ที่ไหนบ้างหล่ะ เดี๋ยวผมจะดูให้”
ตอนนั้นดีใจมากเลยครับ ก็เลยบอกแกไปว่า อยากไปอยู่กับหน่วยงานที่มาแก้ปัญหาเครื่องให้
สุดท้าย(ผ่านไป สองเดือน) ก็ได้ย้ายมาอยู่ที่แผนกนี้สมใจ
ที่แผนกนี้ ผมทำงานอย่างสุดความสามารถ ตัวอย่างเช่น ถึก(เดินทางไป-กลับ ระยะทางกว่า 1,000 กม วันเดียว โดยวันรุ่งขึ้นมีประชุมตอน แปดโมงเช้า), ศึกษาวิชา สถิติ ที่ซึ่งไม่เคยชอบเลย ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย แต่เพราะ ต้องใช้ในงานที่ทำ จึงไม่มีทางเลือก,…
ผมทำงานอยู่ เกือบสองปี แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็คิดได้ว่า เราคงไม่เหมาะกับสายงานนี้ เพราะว่าเพื่อนที่อยู่ทีมเดียวกัน ประเมินผลงาน ได้ดีกว่าเรา เสียอีก(ไม่ได้อิจฉาน่ะครับ เพราะว่า เพื่อนทำได้ดีจริงๆ ยังชื่นชมเขาอยู่เลย) แต่ครั้น จะไปขอเปลี่ยนสายงานอีกรอบ ก็ละอายใจ เพราะว่า พี่ที่รับเราเข้ามา เขาก็ดีกับเรามากๆ
ดังนั้นจึงตัดสินใจว่า หางานใหม่ดีกว่า แต่ว่า เอาแบบที่เราชอบ(ผมชอบอะไรที่เลอะๆ มันสนุกดี) ก็เลยเลือกสายงาน ซ่อมบำรุง
ความยากมันเริ่มจากตรงนี้แหละครับ เพราะว่า ไม่เคยรู้เรื่องเครื่องจักรอย่างเจาะลึกเลย (ตัวอย่างเช่น ไม่รู้จัก pressure vessel, mechanical seal, …) ดังนั้น ผมอ่านหนังสือ และหาข้อมูลใน Internet เยอะมากเลยครับ และที่สำคัญได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของพี่คนสัมภาษณ์ ในหลายๆบริษัทที่ไปสัมภาษณ์ แล้วไม่ผ่าน(ผมไม่เคยท้อใจเลยน่ะครับ ที่ไม่ผ่านสัมภาษณ์ เพราะผมได้โอกาสที่จะเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ เพื่อเอามาปรับปรุงในการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป)
สัมภาษณ์มาหลายที่ จนได้เข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในระยอง โดยพี่ที่รับผมเข้ามา เขาบอกผมว่า หนึ่งในปัจจัยที่รับผมเข้ามา เพราะว่า ผมอึด โดยเขาโทรไปสอบถามจากเพื่อนเขาที่บริษัทเก่าผม โดยเขาอยากรู้ว่า ผมสู้งานไหม อดทนไหม แล้วเขาก็บอกผมว่า เพื่อนเขาบอกว่า ทำงานด้วยหนึ่งงาน น้องเขาพยายามดีมาก ทำงานจบ และอดทนสูง
มาถึงตรงนี้ ผมอยากจะบอกน้องๆ ทุกคนว่า “ทำงานอะไรก็ตาม น้องต้องอดทน บางครั้งเหนื่อยแทบขาดใจ แต่สุดท้าย น้องต้องทำงานให้เสร็จน่ะครับ(แบบทันเวลา ด้วยน่ะครับ) ห้ามเลิกกลางคัน เพราะว่า มันสะท้อนว่า เราอึด และ ทำงานเป็น หรือไม่”
ผมเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ ในฐานะวิศวกรซ่อมบำรุง แต่ว่าต้องไปช่วยงานโครงการก่อน เพราะว่า พี่คนที่รับผมเข้ามา(แกรับผิดชอบงาน ในโครงการนี้) แกต้องไปทำงานเมืองนอก(ตำแหน่งใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม)
ทันทีที่ผมรู้ว่า ผมต้องทำงานโครงการ มันเหมือนฝันเลยครับ เพราะว่าเคยอยากทำมานาน แล้วแต่ว่าไม่เคยได้ทำ(โอกาสมาไม่ถึงครับ) ดังนั้น ผมจึงตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่า ไม่ว่าต้องเหนื่อยซักเท่าไร ผมต้องผ่านไปให้ได้
ระหว่างทำงานโครงการนี้ ผมโดนรับน้องหลายเรื่องเลยครับ แต่ว่าทุกเรื่องที่โดนรับน้อง ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น มองทุกอย่างเป็นระบบขึ้น และที่สำคัญ ไม่กลัวกับความท้าทายใหม่ๆ
เรื่องนี้สำคัญน่ะครับ เพราะว่า ถ้าเราสามารถรับความท้าทายใหม่ๆได้ตลอดเวลา นั่นก็หมายความว่า เราเป็นคนไม่หยุดนิ่ง เจ้านายชอบน่ะครับ
รวมทั้ง ประโยคเด็ด จากฝรั่ง หัวหน้าโครงการ นั่นก็คือ “อย่ามองว่ามันคือ อุปสรรค แต่ให้มองอย่างมีสติว่ามันคือ ความท้าทาย และต้องก้าวข้ามไปให้ได้”
ตอนที่ระหว่างทำงานอยู่นั้น ก็ได้ยินข่าวลือว่า จะมีการสร้างโรงงานแบบเดียวกันที่เมืองจีน ส่วนลึกๆในใจก็คิดว่า ถ้าได้ไป มันก็คงเหมือนฝันเลย เพราะว่า ได้ไปอยู่เมืองนอกด้วย แต่ว่า… เราก็ยังเด็กอยู่(ประสบการณ์ทำงานแค่ปีเดียวเอง T_T)
คิดได้อย่างนั้นแล้วก็ สลด นิดหนึ่ง แต่ก็ยังคงทำงานต่อไปน่ะครับ ไม่เพ้อฝัน จนเกินตัวไปนัก(แต่ก็แอบคิด อยู่บ่อยๆน่ะ ^ ^) รวมทั้ง แสดงความตั้งใจ ว่าจะไปทำงานเมืองนอก ในระหว่างการประเมินผลงาน
อันนี้ก็ค่อนข้างจะสำคัญ(แต่ว่า หลังจากทำงานสำเร็จบางงาน ก่อนน่ะครับ) เพราะว่า พี่หัวหน้า ไม่รู้จิตใจเราครับ ว่าเราอยากจะทำอะไร ต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้น เราต้องบอกให้เขารับรู้ครับ
ทำงานกับพี่ๆ อย่างเป็นทีม(ไม่เด่นอยู่คนเดียว เพราะถ้าทีมล่ม มันก็พังกันทั้งหมดครับ) ต่อกร กับผู้รับเหมาอย่างสุดฝีมือ(รวมถึงการยกมือไหว้ ขอร้องหัวหน้าผู้รับเหมาให้ช่วยพูดกับลูกน้อง ให้มาทำงานในช่วงสงกรานต์กันด้วย T_T,…) และอีกหลายๆสิ่งที่รวมกันทำพร้อมพี่ๆ จนทำให้เดินเครื่อง เริ่มกระบวนการผลิตได้ตามที่ ฝ่ายจัดการได้วางแผนไว้(มันก็ delay น่ะครับ แต่เห็นว่า มันยังพอรับได้)
รวมทั้ง ปัญหาทุกปัญหาต้องแก้อยู่บนพื้นฐานของมาตราฐาน และ/หรือ หลักวิชาการน่ะครับ(ประเภท ที่พูดว่า ผมคิดว่า… แล้วไม่มีมาตราฐาน หรือหลักวิชาการมารองรับ ไม่ควรพูดน่ะครับ เพราะว่า มันอาจแสดงถึง ความไม่รู้ แล้ว เดาเอา)
สุดท้ายของบทที่หนึ่ง(ประสบการณ์ทำงาน 5 ปี) : ผมก็ได้รับโอกาสให้มาทำงาน ที่เมืองจีน โดยหน้าที่ ที่รับผิดชอบเท่าเดิม แต่เป็นความท้าทายใหม่ แต่เหมือนที่บอกไปแล้วว่า “อย่ามองว่ามันคือ อุปสรรค แต่ให้มองอย่างมีสติว่ามันคือ ความท้าทาย และต้องก้าวข้ามไปให้ได้”
สุดท้ายนี้ ผมกำลังจะเข้าสู่บทที่สองของชีวิตครับ(ยังไม่รู้ว่า ชื่อตอนต่อไปจะใช้ชื่อว่าอะไร ^ ^)
และผมมีความเชื่อว่า น้องๆทุกคน สามารถเป็นอย่างผมได้(และเชื่ออย่างสุดใจว่า จะเป็นได้ดีกว่าผมแน่นอน) ขอแค่มี สี่ข้อ ในใจครับ
1. ทำงานห้ามข้ามหัว พี่หัวหน้า ให้รายงานขึ้นไปตามลำดับ เพราะเมื่อพี่หัวหน้าโต เราก็จะโตตามครับ
2. ทำงานอะไรก็ตาม ต้องอดทน บางครั้งเหนื่อยแทบขาดใจ แต่สุดท้ายต้องทำงานให้เสร็จ ห้ามเลิกกลางคัน
3. อย่ามองว่ามันคือ อุปสรรค แต่ให้มองอย่างมีสติว่ามันคือ ความท้าทาย และต้องก้าวข้ามไปให้ได้
4. ปัญหาทุกปัญหาต้องแก้อยู่บนพื้นฐานของมาตราฐาน และ/หรือ หลักวิชาการ
หมายเหตุ : ผมขออนุญาต ไม่ตอบหลังไมค์น่ะครับ