เรื่องอาจจะยาวสักหน่อยนะค่ะ
ดิฉันแยกทางกับแฟนเก่ามาได้ประมาณ 10 ปีแล้วค่ะ รู้จักกันที่เชียงราย แฟนของดิฉันเป็นทหาร ตอนที่อยู่ด้วยกันที่เชียงรายก็อยู่กัน 2 คน มีความสุขดีค่ะ ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง มีแค่งอนกันตามประสา หลังจากคบกันไป ดิฉันก็รู้ว่าเขากับแม่มีเรื่องเข้าใจผิด ดิฉันก็ขอร้องเขาหลายครั้ง ให้เขาโทรหาแม่บ้าง จนในที่สุดเขาใจอ่อนค่ะ ตอนนั้นแฟนเก่าเพิ่งซื้อโทรศัพท์โนเกียยอดฮิต 3310 ก็เลยบอกให้เขาโทรหาแม่ และแล้วเขาก็ยอมโทรหา ดิฉันรับรู้ว่าแม่เขาดีใจมาก แล้วก็รีบบินมาหาที่เชียงราย หลังจากนั้นก็ตามใจลูกทุกอย่าง ลูกอยากได้รถ ก็โอนเงินมาให้ซื้อเลย
แต่ประมาณปี 2545 แฟนเก่าของดิฉัน ขอย้ายกลับเข้ามาประจำที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นดิฉันเองก็ยังเรียนไม่จบด้วย ก็เลยต้องอยู่ห่างกัน คิดเอาไว้ว่าพอเรียนจบก็จะลาออกแล้วมาหางานทำที่ กรุงเทพฯ อีกทั้งแม่แฟนเก่าก็บอกให้ไปอยู่ด้วยกัน ดิฉันก็เลยตัดสินใจลาออกจากงานเก่า มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ทันทีที่เรียนจบค่ะ
ลืมบอกไปค่ะ แฟนเก่าของดิฉันมีอาการแบบคนเป็นโรคจิตเวช หูแว่ว ประสาทหลอน ได้ยินเสียง นั่น นู่น นี่ บางทีก็ตะโกนด่าเสียงที่ได้ยิน แล้วก็ชอบดูหนัง AV เป็นชีวิตจิตใจ จนถึงทุกวันนี้ดิฉันยอมรับว่าเกลียดหนังพวกนี้มาก เพราะเห็นแฟนนั่งดูทั้งวันทั้งคืน ราวกับซีรี่ย์เกาหลีรักโรแมนติค
นิสัยอีกอย่างของแฟนเก่าคือ ชอบแอบดูคนอื่น ๆ แม้ดิฉันจะเตือนว่าอย่าทำ เขาก็ไม่ฟัง เพราะหน้าที่การงานก็ไม่ใช่เล็กๆ โดนจับได้ขึ้นมา คงได้เอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี จนในที่สุดก็เลยต้องทนทำไม่รู้ไม่เห็น แต่ดิฉันก็แอบเก็บความตะขิดตะขวงใจไว้ลึกๆ
หลังจากมาอยู่ กทม. ได้ ประมาณ 1 เดือนดิฉันก็หางานได้ โดยอยู่ที่บ้านแม่แฟนเก่าค่ะ ดิฉันเรียกท่านว่าแม่นะค่ะ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นคนจีน ไม่ได้เรียก “ม๊า” ตามที่ลูกชายเรียก ถึงแม้พ่อดิฉันจะมีเชื้อสายจีน แต่เลือดไทยในตัวดิฉันเกินครึ่งจึงเรียกว่าแม่ค่ะ
ท่านดีกับดิฉันมาก ดูแลทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้า หน้า ผม รวมถึงอาหารการกิน จนแฟนเก่าดิฉันชมว่าดิฉันสวยขึ้นมาก ทุกเย็นหลังจากเลิกงานกลับมาถึงบ้าน ดิฉันจะเห็นแม่สามียืนชะเง้อคอรอ พอเห็นดิฉันปุ๊บ ท่านก็ผลุบเข้าไปในบ้าน ยกสำรับกับข้าว มาตั้งบนโต๊ะ ก็ประมาณว่าดิฉันไม่ต้องทำอะไรค่ะ กลับมาถึงบ้านก็มีข้าวกินเลย ทำแค่ล้างจานอย่างเดียวเท่านั้น
แต่บางทีมันทำให้ดิฉันอึดอัดมาก ปกติดิฉันทานมื้อเย็นไม่ค่อยเยอะ แต่ท่านจะบอกให้ดิฉันทานนั่นสิ นี่สิ นั่นสิ ทั้งๆ ที่ดิฉันอิ่มจนล้นคอหอย ท่านก็ยังใช้ตะเกียบคีบมาใส่จาน ทำให้ดิฉันต้องกินให้หมด ผลก็คือนอกจากน้ำหนักขึ้นจนคนทักอ้วนแล้ว มันทำให้ดิฉันปวดท้องแทบทุกวัน เพราะกินเยอะ กินแล้วนอนจนทำให้กรดไหลย้อน ปวดแสบปวดร้อนแทบทุกวัน ยิ่งเวลาแฟนเข้าใกล้ไม่เคยจะมีอารมณ์ร่วม เพราะปวดท้องบ่อยๆ จนวันหนึ่งแฟนเก่าถามดิฉันว่า “จะทำยังไงให้ดิฉันกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิม”
ดิฉันเก็บกดค่ะ ขาดอิสระ ต้องกลับบ้านตรงเวลา ต้องกินข้าวพร้อมหน้า ต้องเนี้ยบตลอดเวลา ไม่อยากให้ใส่กางเกงขาสั้นเพราะดูไม่สวย ให้แต่งตัวดีๆ อย่าทำเหมือนคนบ้านนอก ซื้อเสื้อตัวไหนมาก็ติว่าบ้านนอก มันอัดอยู่ในอกดิฉันจนเก็บไปฝัน
มีครั้งหนึ่งดิฉันต้องอยู่ทำงานล่วงเวลา เจ้านายให้เวลาอาทิตย์เดียว ให้ทำงานให้เสร็จ ทำให้ต้องอยู่ทำงานจนดึก กว่าจะกลับถึงบ้านก็ประมาณ 4 ทุ่ม ดิฉันทำล่วงเวลาได้ 3 วัน พอวันที่ 3 กลับเข้าบ้านจะขึ้นห้องก็ต้องเดินผ่านห้องท่าน เห็นท่านเปิดประตู แล้วนั่งตรงหน้าประตูน แล้วท่านก็หน้าหงิก แหวใส่ดิฉันทันทีว่า ใจคอไม่คิดจะมาทำงานบ้านงานช่องบ้างเหรอ
วันรุ่งขึ้นดิฉันก็ทราบจากพี่ที่ทำงานโอเปอเรเตอร์ว่าน่าจะเป็นแม่แฟนเก่าโทรมาสอบถามว่าดิฉันทำงานล่วงเวลาจริงหรือเปล่า วันนั้นดิฉันเลยต้องหอบงานกลับไปทำที่บ้าน เหนื่อยก็เหนื่อย ค่าล่วงเวลาก็ไม่ได้ แถมแฟนเก่าดิฉันยังโดนเป่าหูว่าดิฉันไปกับใครหรือเปล่า พอดีมีวันหนึ่ง ผู้จัดการนั่งรถแท็กซี่มาส่ง แต่ว่าขอโทษนะผู้จัดการนะใกล้จะ 70 แล้ว แต่แฟนเก่าก็ทำเหมือนไม่เชื่อ พูดว่า “ใครจะไปรู้”
หลังจากนั้นดิฉันกับแฟนก็เริ่มมีเรื่องระหองระแหงกันบ่อยขึ้น เพราะแม่ที่แสนดีชอบไปด่าดิฉันให้ลูกชายฟัง อีกทั้งช่วงหลังๆ แฟนเก่าดิฉันก้าวร้าว อารมณ์รุนแรงขึ้น ดิฉันก็เก็บความอึดอัดไว้จนแน่นอก บางครั้งก็แอบไปร้องไห้กับเพื่อน แฟนของดิฉันก้าวร้าวกับแม่จนถึงขึ้นพูด “” “กู” ขว้างปาข้าวของ
ดิฉันเริ่มมีเรื่องไม่เข้าใจกับแฟนเก่าบ่อยขึ้น จนเกือบจะเลิกกันหลายครั้ง แต่แม่กับอาเจ๊กขอร้องไว้อย่าเลิก เพราะอายคน (อาเจ๊กคือสามีใหม่ของแม่ค่ะ)
วันที่อาเจ๊กตายแฟนเก่าของดิฉันโผล่ไปงานศพแค่วันเดียว พระยังไม่เริ่มสวดก็หนีกลับแล้วค่ะ แล้วไปอีกทีก็วันเผา ตอนที่อาเจ๊กมีชีวิตอยู่ ก็พยายามขับไสให้อาเจ๊กไปอยู่ที่อื่น ทั้งๆ ที่ขอเงินอาเจ๊กใช้ประจำ ดูความใจดำของแฟนเก่าดิฉันสิค่ะ
ดิฉันหมดรักแฟนเก่าเมื่อไหร่ไม่รู้ ได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ ดิฉันจึงแอบไปซื้อคอนโด ระหว่างที่ทำเรื่องกู้ ดิฉันก็คิดว่า ดิฉันกู้ผ่านเมื่อไหร่ ดิฉันจะเลิกกับเค้าทันที อารมณ์เดียวกับตอนที่เรียนจบเมื่อไหร่จะลาออกทันทีประมาณนั้นแหละค่ะ
แต่ผิดแผนไปหน่อยค่ะ จู่ๆ แฟนเก่าดิฉันไม่รู้บ้าอะไรขึ้นมา โพล่งมาด่าดิฉันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ดิฉันก็งงว่าด่าดิฉันเรื่องอะไร ทั้งๆ ที่เพิ่งคุยกันเสร็จว่าจะไปดูหนังไม่ถึง 5 นาที ตอนนั้นความอดทนของดิฉันขาดผลึงค่ะ ดิฉันใช้คำหยาบที่สุดในชีวิต เป็นครั้งแรกที่พูดภาษาพ่อขุนรามกับเขา แล้วก็ขอเลิก โทรเรียกน้องชายมาขนของออกจากบ้านนั้นคืนนั้นเลยค่ะ
หลังจากที่ออกมาจากบ้านนั้น ดิฉันไม่เคยมีน้ำตาสักหยด โล่งใจ สบายใจ ทั้งแม่บังเกิดเกล้า และพี่ๆ ต่างก็ให้กำลังใจ ไม่มีใครเลยที่ตำหนิดิฉัน
ดิฉันเคยกลับไปบ้านนั้น 2 ครั้ง ไปเอาของที่ลืมไว้ แม่แฟนเก่าขนของมากองไว้หลังบ้าน ดิฉันไปไม่เจอใครก็เลยขนของแล้วกลับออกไป ครั้งที่ 2 ไปเอาทะเบียนบ้านเพื่อแจ้งย้าย แม่แฟนก็ให้ดิฉันเดินไปหยิบเอาบนโต๊ะในห้องนอนมืดๆ โดยคิดว่าเธอคงจะนอนอยู่บนเตียง เพราะได้ยินแต่เสียง ไม่ยอมเจอดิฉัน เวลาดิฉันโทรหาพูดได้คำเดียวก็กดวางๆๆ ทำให้ดิฉันต้องกดใหม่ตลอด เพราะธุระไม่เสร็จ ดิฉันมารู้ทีหลังว่าเธอกลัวลูกชาย เพราะลูกชายสั่งห้ามคุยหรือติดต่อกับดิฉัน
เดี๋ยวมาต่อนะคะ........
เครียดกับเรื่องของแม่สามีเก่ามากเลยค่ะ
ดิฉันแยกทางกับแฟนเก่ามาได้ประมาณ 10 ปีแล้วค่ะ รู้จักกันที่เชียงราย แฟนของดิฉันเป็นทหาร ตอนที่อยู่ด้วยกันที่เชียงรายก็อยู่กัน 2 คน มีความสุขดีค่ะ ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง มีแค่งอนกันตามประสา หลังจากคบกันไป ดิฉันก็รู้ว่าเขากับแม่มีเรื่องเข้าใจผิด ดิฉันก็ขอร้องเขาหลายครั้ง ให้เขาโทรหาแม่บ้าง จนในที่สุดเขาใจอ่อนค่ะ ตอนนั้นแฟนเก่าเพิ่งซื้อโทรศัพท์โนเกียยอดฮิต 3310 ก็เลยบอกให้เขาโทรหาแม่ และแล้วเขาก็ยอมโทรหา ดิฉันรับรู้ว่าแม่เขาดีใจมาก แล้วก็รีบบินมาหาที่เชียงราย หลังจากนั้นก็ตามใจลูกทุกอย่าง ลูกอยากได้รถ ก็โอนเงินมาให้ซื้อเลย
แต่ประมาณปี 2545 แฟนเก่าของดิฉัน ขอย้ายกลับเข้ามาประจำที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นดิฉันเองก็ยังเรียนไม่จบด้วย ก็เลยต้องอยู่ห่างกัน คิดเอาไว้ว่าพอเรียนจบก็จะลาออกแล้วมาหางานทำที่ กรุงเทพฯ อีกทั้งแม่แฟนเก่าก็บอกให้ไปอยู่ด้วยกัน ดิฉันก็เลยตัดสินใจลาออกจากงานเก่า มุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ทันทีที่เรียนจบค่ะ
ลืมบอกไปค่ะ แฟนเก่าของดิฉันมีอาการแบบคนเป็นโรคจิตเวช หูแว่ว ประสาทหลอน ได้ยินเสียง นั่น นู่น นี่ บางทีก็ตะโกนด่าเสียงที่ได้ยิน แล้วก็ชอบดูหนัง AV เป็นชีวิตจิตใจ จนถึงทุกวันนี้ดิฉันยอมรับว่าเกลียดหนังพวกนี้มาก เพราะเห็นแฟนนั่งดูทั้งวันทั้งคืน ราวกับซีรี่ย์เกาหลีรักโรแมนติค
นิสัยอีกอย่างของแฟนเก่าคือ ชอบแอบดูคนอื่น ๆ แม้ดิฉันจะเตือนว่าอย่าทำ เขาก็ไม่ฟัง เพราะหน้าที่การงานก็ไม่ใช่เล็กๆ โดนจับได้ขึ้นมา คงได้เอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี จนในที่สุดก็เลยต้องทนทำไม่รู้ไม่เห็น แต่ดิฉันก็แอบเก็บความตะขิดตะขวงใจไว้ลึกๆ
หลังจากมาอยู่ กทม. ได้ ประมาณ 1 เดือนดิฉันก็หางานได้ โดยอยู่ที่บ้านแม่แฟนเก่าค่ะ ดิฉันเรียกท่านว่าแม่นะค่ะ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นคนจีน ไม่ได้เรียก “ม๊า” ตามที่ลูกชายเรียก ถึงแม้พ่อดิฉันจะมีเชื้อสายจีน แต่เลือดไทยในตัวดิฉันเกินครึ่งจึงเรียกว่าแม่ค่ะ
ท่านดีกับดิฉันมาก ดูแลทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้า หน้า ผม รวมถึงอาหารการกิน จนแฟนเก่าดิฉันชมว่าดิฉันสวยขึ้นมาก ทุกเย็นหลังจากเลิกงานกลับมาถึงบ้าน ดิฉันจะเห็นแม่สามียืนชะเง้อคอรอ พอเห็นดิฉันปุ๊บ ท่านก็ผลุบเข้าไปในบ้าน ยกสำรับกับข้าว มาตั้งบนโต๊ะ ก็ประมาณว่าดิฉันไม่ต้องทำอะไรค่ะ กลับมาถึงบ้านก็มีข้าวกินเลย ทำแค่ล้างจานอย่างเดียวเท่านั้น
แต่บางทีมันทำให้ดิฉันอึดอัดมาก ปกติดิฉันทานมื้อเย็นไม่ค่อยเยอะ แต่ท่านจะบอกให้ดิฉันทานนั่นสิ นี่สิ นั่นสิ ทั้งๆ ที่ดิฉันอิ่มจนล้นคอหอย ท่านก็ยังใช้ตะเกียบคีบมาใส่จาน ทำให้ดิฉันต้องกินให้หมด ผลก็คือนอกจากน้ำหนักขึ้นจนคนทักอ้วนแล้ว มันทำให้ดิฉันปวดท้องแทบทุกวัน เพราะกินเยอะ กินแล้วนอนจนทำให้กรดไหลย้อน ปวดแสบปวดร้อนแทบทุกวัน ยิ่งเวลาแฟนเข้าใกล้ไม่เคยจะมีอารมณ์ร่วม เพราะปวดท้องบ่อยๆ จนวันหนึ่งแฟนเก่าถามดิฉันว่า “จะทำยังไงให้ดิฉันกลับมาสดใสร่าเริงเหมือนเดิม”
ดิฉันเก็บกดค่ะ ขาดอิสระ ต้องกลับบ้านตรงเวลา ต้องกินข้าวพร้อมหน้า ต้องเนี้ยบตลอดเวลา ไม่อยากให้ใส่กางเกงขาสั้นเพราะดูไม่สวย ให้แต่งตัวดีๆ อย่าทำเหมือนคนบ้านนอก ซื้อเสื้อตัวไหนมาก็ติว่าบ้านนอก มันอัดอยู่ในอกดิฉันจนเก็บไปฝัน
มีครั้งหนึ่งดิฉันต้องอยู่ทำงานล่วงเวลา เจ้านายให้เวลาอาทิตย์เดียว ให้ทำงานให้เสร็จ ทำให้ต้องอยู่ทำงานจนดึก กว่าจะกลับถึงบ้านก็ประมาณ 4 ทุ่ม ดิฉันทำล่วงเวลาได้ 3 วัน พอวันที่ 3 กลับเข้าบ้านจะขึ้นห้องก็ต้องเดินผ่านห้องท่าน เห็นท่านเปิดประตู แล้วนั่งตรงหน้าประตูน แล้วท่านก็หน้าหงิก แหวใส่ดิฉันทันทีว่า ใจคอไม่คิดจะมาทำงานบ้านงานช่องบ้างเหรอ
วันรุ่งขึ้นดิฉันก็ทราบจากพี่ที่ทำงานโอเปอเรเตอร์ว่าน่าจะเป็นแม่แฟนเก่าโทรมาสอบถามว่าดิฉันทำงานล่วงเวลาจริงหรือเปล่า วันนั้นดิฉันเลยต้องหอบงานกลับไปทำที่บ้าน เหนื่อยก็เหนื่อย ค่าล่วงเวลาก็ไม่ได้ แถมแฟนเก่าดิฉันยังโดนเป่าหูว่าดิฉันไปกับใครหรือเปล่า พอดีมีวันหนึ่ง ผู้จัดการนั่งรถแท็กซี่มาส่ง แต่ว่าขอโทษนะผู้จัดการนะใกล้จะ 70 แล้ว แต่แฟนเก่าก็ทำเหมือนไม่เชื่อ พูดว่า “ใครจะไปรู้”
หลังจากนั้นดิฉันกับแฟนก็เริ่มมีเรื่องระหองระแหงกันบ่อยขึ้น เพราะแม่ที่แสนดีชอบไปด่าดิฉันให้ลูกชายฟัง อีกทั้งช่วงหลังๆ แฟนเก่าดิฉันก้าวร้าว อารมณ์รุนแรงขึ้น ดิฉันก็เก็บความอึดอัดไว้จนแน่นอก บางครั้งก็แอบไปร้องไห้กับเพื่อน แฟนของดิฉันก้าวร้าวกับแม่จนถึงขึ้นพูด “” “กู” ขว้างปาข้าวของ
ดิฉันเริ่มมีเรื่องไม่เข้าใจกับแฟนเก่าบ่อยขึ้น จนเกือบจะเลิกกันหลายครั้ง แต่แม่กับอาเจ๊กขอร้องไว้อย่าเลิก เพราะอายคน (อาเจ๊กคือสามีใหม่ของแม่ค่ะ)
วันที่อาเจ๊กตายแฟนเก่าของดิฉันโผล่ไปงานศพแค่วันเดียว พระยังไม่เริ่มสวดก็หนีกลับแล้วค่ะ แล้วไปอีกทีก็วันเผา ตอนที่อาเจ๊กมีชีวิตอยู่ ก็พยายามขับไสให้อาเจ๊กไปอยู่ที่อื่น ทั้งๆ ที่ขอเงินอาเจ๊กใช้ประจำ ดูความใจดำของแฟนเก่าดิฉันสิค่ะ
ดิฉันหมดรักแฟนเก่าเมื่อไหร่ไม่รู้ ได้แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้ ดิฉันจึงแอบไปซื้อคอนโด ระหว่างที่ทำเรื่องกู้ ดิฉันก็คิดว่า ดิฉันกู้ผ่านเมื่อไหร่ ดิฉันจะเลิกกับเค้าทันที อารมณ์เดียวกับตอนที่เรียนจบเมื่อไหร่จะลาออกทันทีประมาณนั้นแหละค่ะ
แต่ผิดแผนไปหน่อยค่ะ จู่ๆ แฟนเก่าดิฉันไม่รู้บ้าอะไรขึ้นมา โพล่งมาด่าดิฉันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ดิฉันก็งงว่าด่าดิฉันเรื่องอะไร ทั้งๆ ที่เพิ่งคุยกันเสร็จว่าจะไปดูหนังไม่ถึง 5 นาที ตอนนั้นความอดทนของดิฉันขาดผลึงค่ะ ดิฉันใช้คำหยาบที่สุดในชีวิต เป็นครั้งแรกที่พูดภาษาพ่อขุนรามกับเขา แล้วก็ขอเลิก โทรเรียกน้องชายมาขนของออกจากบ้านนั้นคืนนั้นเลยค่ะ
หลังจากที่ออกมาจากบ้านนั้น ดิฉันไม่เคยมีน้ำตาสักหยด โล่งใจ สบายใจ ทั้งแม่บังเกิดเกล้า และพี่ๆ ต่างก็ให้กำลังใจ ไม่มีใครเลยที่ตำหนิดิฉัน
ดิฉันเคยกลับไปบ้านนั้น 2 ครั้ง ไปเอาของที่ลืมไว้ แม่แฟนเก่าขนของมากองไว้หลังบ้าน ดิฉันไปไม่เจอใครก็เลยขนของแล้วกลับออกไป ครั้งที่ 2 ไปเอาทะเบียนบ้านเพื่อแจ้งย้าย แม่แฟนก็ให้ดิฉันเดินไปหยิบเอาบนโต๊ะในห้องนอนมืดๆ โดยคิดว่าเธอคงจะนอนอยู่บนเตียง เพราะได้ยินแต่เสียง ไม่ยอมเจอดิฉัน เวลาดิฉันโทรหาพูดได้คำเดียวก็กดวางๆๆ ทำให้ดิฉันต้องกดใหม่ตลอด เพราะธุระไม่เสร็จ ดิฉันมารู้ทีหลังว่าเธอกลัวลูกชาย เพราะลูกชายสั่งห้ามคุยหรือติดต่อกับดิฉัน
เดี๋ยวมาต่อนะคะ........