Life of Pi เป็นผลงานเรื่องล่าสุดของ อัง ลี ผู้กำกับที่ชอบสร้างหนังแหวกกระแสมาแล้วหลายครั้ง อย่างเช่น Sense and Sensibility ในปี 1995 หรือผลงานปี 2005 ที่คว้าออสการ์ผู้กำกับยอดเยี่ยมอย่าง Brokeback Mountain การมาในครั้งใหม่ของลี ได้หยิบยกเอาเรื่องราวจากนวนิยายขายดีของ ยาน มาร์เทล มาขึ้นจอใหญ่ โดยได้นักแสดงอินเดียมากหน้าหลายตา ตามตัวละครหลักในฉบับหนังสือ ในครั้งนี้ ความยอดเยี่ยมของลี ไม่เพียงแต่เล่าเรื่องราวที่ให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต แต่ลีได้สร้างความมหัศจรรย์ให้คนดูได้เห็น จากการใส่สีสันของฉากต่างๆ ทั้งสีสันจากตัวละคร และสีสันแห่งท้องทะเล ทำให้แฟนๆที่ชื่นชอบเรื่องราวในนวนิยาย รู้สึกหลงรักความมหัศจรรย์ของพาย พาร์เทลอีกครั้ง เมื่อมันกลายมาเป็นหนังจอใหญ่
Life of Pi เล่าเรื่องราวชีวิตตั้งแต่วัยเด็กของเด็กหนุ่มอินเดียอย่าง พาย พาร์เทล โดยเป็นการเล่าเรื่องราวย้อนกลับจากตัวละครพายในวัยผู้ใหญ่ เริ่มตั้งแต่แหล่งที่มาของชื่อ ที่ทำไมถึงชื่อ “พาย” เรื่องราวครอบครัวอินเดีย เจ้าของสวนสัตว์ยักษ์ใหญ่ในเมืองพอนดิเชอร์รี่ และการตัดสินใจของครอบครัวขึ้นเรือขนส่งของบริษัทญี่ปุ่น เพื่อการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในแคนาดา
ความสามารถในการเล่าเรื่องราวที่ดีของลีก็คือ ถึงแม้ว่าเรื่องราวโดยส่วนใหญ่ของ Life of Pi จะเกิดขึ้นหลังจากอุบัติเหตุทางทะเลของเรือขนส่งญี่ปุ่น ที่ทำให้ชีวิตของพาย ต้องพลัดพรากจากครอบครัว มาดำเนินชีวิตด้วยตัวคนเดียวพร้อมกับสัตว์ป่าที่หนีตายจากเรือยักษ์ลำนั้น ซึ่งน่าจะทำให้การเล่าเรื่องในช่วงนี้เกิดอาการน่าเบื่อได้ แต่ลีก็ใส่ความสนุกสนานมาให้คนดูได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเอาชีวิตรอดของพายต่างๆนานา ที่คนทั่วไปคงทำอย่างนี้ไม่ได้ เรื่องมหัศจรรย์ทั้งหลาย ทั้งฝูงปลาบินได้ เหล่าแมงกะพรุนสะท้อนแสง ปลาวาฬตัวใหญ่ยักษ์ที่โผล่ขึ้นมาทักทายพาย หรือเกาะเมียร์แคทมหัศจรรย์ ที่เมื่อมองไกลๆ คล้ายกับรูปผู้หญิงนอนหงาย สิ่งต่างๆที่ใส่เข้ามานี้ นอกจากจะเป็นความมหัศจรรย์ที่พายได้พบ แต่ยังทำให้คนดูและตัวพายเองรู้สึกว่า ความหวังในการเอาชีวิตรอดยังมีอยู่เสมอ
สิ่งที่พายเป็นและสิ่งที่พายคิด มาจากการสั่งสอนที่มีเหตุมีผลของครอบครัวของพายเอง ซึ่งเห็นได้จากบทสนทนาในระหว่างการรับประทานอาหารของครอบครัวที่บ้าน พ่อและแม่ของพาย เปิดโอกาสให้ลูกได้คิดและทำในสิ่งที่อยากจะเป็น ไม่ ว่าจะรับฟังหรือเชื่อถือในคำสอนของศาสนาใดก็ตาม มันจะเกิดผลก็ต่อเมื่อเรา "เชื่อ" ว่าคำสอนเหล่านั้น สามารถยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับตัวเราได้ การที่จะเชื่อถือในหลายศาสนาก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะทุกศาสนาล้วนสอนให้มนุษย์เป็นคนดีทั้งนั้น ซึ่งจากความคิดนี้ ได้ทำให้พายเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ อุปสรรคต่างๆในท้องทะเลที่ได้พบ ได้ทำให้พายฮึดสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งก็ยังผลให้พายได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์หลายสิ่ง ทั้งที่เกิดขึ้นในเรือลำเล็กๆลำนั้น และชีวิตใหม่ที่ได้กลับคืนมาหลังจากเรือถึงฝั่ง
จากคำบอกเล่าของพายวัยผู้ใหญ่ ที่เล่าเรื่องให้กับนักเขียนเพื่อนำไปตีพิมพ์ พายกล่าวว่า ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาได้พบในการเดินทางมหัศจรรย์ครั้งนั้น แต่เมื่อเขาเล่าเรื่องในอีกแบบหนึ่งซึ่งต่างจากความจริง คนเหล่านั้นกลับคิดว่าเรื่องหลังนี้ ดูสมจริงกว่าเรื่องแรกที่เล่าไปมากนัก แต่ไม่ว่าเรื่องราวการเดินทางที่แท้จริงของพายจะเป็นเช่นไร ตัวพายเองหรือแม้กระทั่งคนดูอย่างเราได้สนุกสนานไปกับ ‘ชีวิตอัศจรรย์ของพาย’ อย่างสุดหัวใจแล้ว…
B+ 
Movie Review ---- Life of Pi ---- ชีวิตนี้มีทางออกเสมอ (เปิดเผยเนื้อหาเล็กน้อย)
Life of Pi เป็นผลงานเรื่องล่าสุดของ อัง ลี ผู้กำกับที่ชอบสร้างหนังแหวกกระแสมาแล้วหลายครั้ง อย่างเช่น Sense and Sensibility ในปี 1995 หรือผลงานปี 2005 ที่คว้าออสการ์ผู้กำกับยอดเยี่ยมอย่าง Brokeback Mountain การมาในครั้งใหม่ของลี ได้หยิบยกเอาเรื่องราวจากนวนิยายขายดีของ ยาน มาร์เทล มาขึ้นจอใหญ่ โดยได้นักแสดงอินเดียมากหน้าหลายตา ตามตัวละครหลักในฉบับหนังสือ ในครั้งนี้ ความยอดเยี่ยมของลี ไม่เพียงแต่เล่าเรื่องราวที่ให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิต แต่ลีได้สร้างความมหัศจรรย์ให้คนดูได้เห็น จากการใส่สีสันของฉากต่างๆ ทั้งสีสันจากตัวละคร และสีสันแห่งท้องทะเล ทำให้แฟนๆที่ชื่นชอบเรื่องราวในนวนิยาย รู้สึกหลงรักความมหัศจรรย์ของพาย พาร์เทลอีกครั้ง เมื่อมันกลายมาเป็นหนังจอใหญ่
Life of Pi เล่าเรื่องราวชีวิตตั้งแต่วัยเด็กของเด็กหนุ่มอินเดียอย่าง พาย พาร์เทล โดยเป็นการเล่าเรื่องราวย้อนกลับจากตัวละครพายในวัยผู้ใหญ่ เริ่มตั้งแต่แหล่งที่มาของชื่อ ที่ทำไมถึงชื่อ “พาย” เรื่องราวครอบครัวอินเดีย เจ้าของสวนสัตว์ยักษ์ใหญ่ในเมืองพอนดิเชอร์รี่ และการตัดสินใจของครอบครัวขึ้นเรือขนส่งของบริษัทญี่ปุ่น เพื่อการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในแคนาดา
ความสามารถในการเล่าเรื่องราวที่ดีของลีก็คือ ถึงแม้ว่าเรื่องราวโดยส่วนใหญ่ของ Life of Pi จะเกิดขึ้นหลังจากอุบัติเหตุทางทะเลของเรือขนส่งญี่ปุ่น ที่ทำให้ชีวิตของพาย ต้องพลัดพรากจากครอบครัว มาดำเนินชีวิตด้วยตัวคนเดียวพร้อมกับสัตว์ป่าที่หนีตายจากเรือยักษ์ลำนั้น ซึ่งน่าจะทำให้การเล่าเรื่องในช่วงนี้เกิดอาการน่าเบื่อได้ แต่ลีก็ใส่ความสนุกสนานมาให้คนดูได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเอาชีวิตรอดของพายต่างๆนานา ที่คนทั่วไปคงทำอย่างนี้ไม่ได้ เรื่องมหัศจรรย์ทั้งหลาย ทั้งฝูงปลาบินได้ เหล่าแมงกะพรุนสะท้อนแสง ปลาวาฬตัวใหญ่ยักษ์ที่โผล่ขึ้นมาทักทายพาย หรือเกาะเมียร์แคทมหัศจรรย์ ที่เมื่อมองไกลๆ คล้ายกับรูปผู้หญิงนอนหงาย สิ่งต่างๆที่ใส่เข้ามานี้ นอกจากจะเป็นความมหัศจรรย์ที่พายได้พบ แต่ยังทำให้คนดูและตัวพายเองรู้สึกว่า ความหวังในการเอาชีวิตรอดยังมีอยู่เสมอ
สิ่งที่พายเป็นและสิ่งที่พายคิด มาจากการสั่งสอนที่มีเหตุมีผลของครอบครัวของพายเอง ซึ่งเห็นได้จากบทสนทนาในระหว่างการรับประทานอาหารของครอบครัวที่บ้าน พ่อและแม่ของพาย เปิดโอกาสให้ลูกได้คิดและทำในสิ่งที่อยากจะเป็น ไม่ ว่าจะรับฟังหรือเชื่อถือในคำสอนของศาสนาใดก็ตาม มันจะเกิดผลก็ต่อเมื่อเรา "เชื่อ" ว่าคำสอนเหล่านั้น สามารถยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับตัวเราได้ การที่จะเชื่อถือในหลายศาสนาก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะทุกศาสนาล้วนสอนให้มนุษย์เป็นคนดีทั้งนั้น ซึ่งจากความคิดนี้ ได้ทำให้พายเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ อุปสรรคต่างๆในท้องทะเลที่ได้พบ ได้ทำให้พายฮึดสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งก็ยังผลให้พายได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์หลายสิ่ง ทั้งที่เกิดขึ้นในเรือลำเล็กๆลำนั้น และชีวิตใหม่ที่ได้กลับคืนมาหลังจากเรือถึงฝั่ง
จากคำบอกเล่าของพายวัยผู้ใหญ่ ที่เล่าเรื่องให้กับนักเขียนเพื่อนำไปตีพิมพ์ พายกล่าวว่า ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาได้พบในการเดินทางมหัศจรรย์ครั้งนั้น แต่เมื่อเขาเล่าเรื่องในอีกแบบหนึ่งซึ่งต่างจากความจริง คนเหล่านั้นกลับคิดว่าเรื่องหลังนี้ ดูสมจริงกว่าเรื่องแรกที่เล่าไปมากนัก แต่ไม่ว่าเรื่องราวการเดินทางที่แท้จริงของพายจะเป็นเช่นไร ตัวพายเองหรือแม้กระทั่งคนดูอย่างเราได้สนุกสนานไปกับ ‘ชีวิตอัศจรรย์ของพาย’ อย่างสุดหัวใจแล้ว…