ทัวร์ซักผ้า ณ อิตาลี ช่วงกุมภาพันธ์ (เมืองที่หนึ่ง: @ Roma) :
http://pantip.com/topic/37029344
======================================
วันที่สี่ @ Florence
วันนี้เราตื่นสายกว่าเดิม นั่นคือ เจ็ดโมงเช้า
ข่าวดีคือ เปิดหน้าต่างออกมาพบว่าท้องฟ้าแจ่มใส มีแดดด้วยแหละ (มานอกเมือง วิ่งหาแดดแบบไม่กลัวดำ) แต่รู้สึกเหมือนโดนแดดหลอกตา เพราะอากาศเย็นมาก ยังต้องใส่หมวกปิดหูอยู่ดี ที่แฮปปี้มากเพราะสามวันที่ผ่านมาเหมือนเรามากับฝนกันเลย อยู่ในโรมครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอด
นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเดินทางไปเมืองฟลอเรนซ์ในวันนี้
รถไฟ ออกตอน 11.35 am เวลาเหลือเฟือ เราเลยไปเดินเล่นที่ถานีรถไฟกันค่ะ ในนั้นมีร้านเยอะแยะมากมาย เราเลยเดินเข้าซุปเปอร์ฯ เตรียมหาอะไรฟาดปากเวลาอยู่บนรถไฟกันสักหน่อย สุดท้ายได้แบล็กเบอรี่มากล่องหนึ่ง หน้าตาดูดี แต่รสชาติไม่ได้อร่อยอย่างที่คิด แต่ก็กินๆ เข้าไปเถอะ
รถไฟที่มุ่งหน้าไปยังฟลอเรนซ์ไปถึงน่าจะบ่ายครึ่งด้วยรถไฟด่วนสายหูอื้อของอิตาลี
เรามากันช่วงกลางๆ ปลายๆ หนาว ต้นไม้ยังไม่ค่อยงอก แต่อิตาลีเป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์เป็นเนินๆ เขาๆ ทัศนียภาพจึงเห็นทั่งทุกอณูแบบคนจากที่ราบลุ่มปกติอย่างเราไม่คุ้นนัก แต่มันสวยมากเลยค่ะ
ถึงจะเห็นฟ้ากระจ่างใสในวันนี้ แต่ยังคงหนาว อุณหภูมิที่เลขตัวเดียวอยู่ เพียงแต่ว่าอาจจะอุ่นกว่าในช่วงเวลาฝนตกอย่างสามวันก่อนตอนที่อยู่โรมซึ่งเท่านี้ก็นับว่าดีแล้ว
บ๊ายบายโรม...เราออกเดินทางโดยมีแสงแดดนำทางสู่เมืองฟลอเรนซ์ที่หมายถัดไปของเรา
ฟลอเรนซ์เป็นเมืองหลวงของแคว้น Tuscany ความตั้งใจของเราจะอยู่เมืองนี้กัน 4 วัน 3 คืนค่ะ เป้าหมายคือ 1.) ไปเยือน Duomo (โบสถ์) อันสัญลักษณ์ของเมือง 2.) เข้าพิพิธภัณฑ์ 2 แห่งเพื่อดูรูปปั้นเดวิด และอีกที่มีภาพกำเนิดวีนัส และ 3.) ไปเยือนเมืองเซียน่า (Siena) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากฟลอเรนซ์
พยากรณ์อากาศบอกว่าที่เซียน่าฝนอาจจะตกพรุ่งนี้และมะรืนนี้ ทำให้แผนของเราออกแนวค่อนข้างลังเล สุดท้ายตัดสินใจว่าเย็นนี้เราจะไป Duomo กัน ส่วนพรุ่งนี้เราจะเข้าพิพิธภัณฑ์ แล้วมะรืนนี้รอดูอากาศต่อไปว่าจะเป็นประมาณไหน
ถ้าโอเค เราจะมุ่งไปเซียน่ากันค่ะ (เพี้ยง! ขอให้ได้ไป เพราะเมืองนี้เป็นหนึ่งใน a must ของทริปนี้ที่เราตั้งใจจะไป)
เมื่อตกลงใจกันได้ เราก็เริ่มปฏิบัติการสำรวจเมืองเล็ก (แต่วิถีชีวิตไม่เล็ก) ของฟลอเรนซ์กันเลย!
เริ่มต้นด้วยห้องพักก่อนเลยค่ะ ที่พักเมืองนี้เป็นอพาร์ตเมนต์อยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟตามปณิธานของเราที่จะไม่ยอมลากกระเป๋าไกลเด็ดขาด อย่างที่บอกไปว่าเราเน้นทำอาหารกับซักผ้า การอยู่ที่พักประเภทนี้ช่วยให้ทำครัวได้สะดวก และมีเครื่องซักผ้าให้ด้วย
ห้องที่นี่ขนาด 60 ตารางเมตรได้ เพดานสูงมาก เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นแบบยุคเก่า แม้กระทั่งประตูก็ยังเป็นกุญแจแบบโบราณที่ใหญ่ชนิดก้มลงมองเห็นทะลุไปอีกห้องหนึ่งได้ แต่ห้องกว้างแบบนี้พอนำมาดัดแปลงให้เป็นห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยว มันจะดูโหรงเหรงไปหน่อย (ถ่ายมาแต่เป็นภาพพาโนรามามันดูประหลาดๆ เลยไม่ได้เอามาลงน่ะค่ะ)
อ้อ เจ้าของที่นี่...หล่อแซ่บมากค่ะ อาหารตาอาหารใจล้วนๆ (ฮา)
อาหารกลางวันมื้อแรกของฟลอเรนซ์ เราเข้าไปกินในร้านอาหารค่ะ เรียกว่าเป็นมื้อแรกของทริปเลยที่กินในร้านแบบดีๆ กับเขาบ้าง (มาแบบจนกรอบก็งี้แหละ TvT) ที่เลือกร้านนี้เพราะเห็นเขาวางเครื่องทำพาสต้าสดๆ เดินผ่านเห็นทะลุกระจกเข้าไปในร้าน ดูหน้าตาดีมากมาย (หมายถึงอาหารนะคะ ส่วนคนน่ะ หน้าตาดีอยู่แล้ว ไม่ต้องบอกกล่าวกันอีก) แต่อาหารที่เราเลือกกินกลับเป็นราวิโอลี่แบบซะงั้น (เกี๊ยวอิตาเลียนน่ะค่ะ)
อร่อยอ่ะ อร่อยค่อดๆ อร่อยมั่กๆ ค่ะ
ชีสที่ใช้ทำจากนมแกะ ให้กลิ่นและรสชาติที่ต่างออกไป ไวน์ที่เขามาวางให้ดื่มก่อนมื้ออาหาร จิบคำเดียว ท้องร้องโครก เมื่ออาหารมา เราพยายามวิเคราะห์สิ่งที่กินว่ารสชาติอะไรเป็นอะไร ส่วนผสมยังไง สุดท้าย ถามคุณบริกรซะเลยว่าซอสมะเขือเทศนี้ทำยังไง
เขาตั้งใจช่วยตอบคำถามน่าดู พยายามอธิบาย หยิบมือถือช่วย search ด้วย สรุปคือ นำมะเขือเทศ 3 อย่างมาต้ม เป็นมะเขือเทศใหญ่ มะเขือเทศเชอร์รี่ เรารู้จักเพียงสองอย่าง อีกอย่างหนึ่งเขาช่วย search แบบกระป๋องให้ เซฟเก็บเรียบร้อย และใส่มะเขือเทศกระป๋องส่วนหนึ่งเพื่อเพิ่มเนื้อและรสชาติ (ตอนที่กลับมาไทยพบมะเขือเทศที่เขาบอกไว้ทั้งหมด หลังจากนั้นก็ใช้สูตรนี้ทำพาสต้ากินเองที่บ้านค่ะ ^^)
ทีนี้มีเรื่องตลกนิดๆ ตอนคุยกับบริกรคนนี้ค่ะ
ตอนที่เราเปิดเมนูกวาดตามองหาอาหารสำหรับมื้อนี้ ก็พบกับเมนูหนึ่งเข้า และมันคือ ‘ราวิโอลี่เนื้อกระต่าย’
ประสานตาหน้ากับพี่สาวโลด ง่ะ! กระต่ายเหรอ กระต่ายจริงๆ เหรอ
ว่าแล้วก็ถามคุณบริกรโลด
“Rabbit?”
พี่บริกรพยักหน้าหงึก “Yes. Rabbit”
เพื่อความชัวร์ว่าไม่พลาด ไม่ใช่ชื่อเฉพาะแน่ๆ พี่สาวจึงชูสองนิ้วไปวางข้างหูทั้งสองข้างแทนหูกระต่ายพร้อมกระดิกนิ้วด้วย
“Rabbit?”
คราวนี้พี่บริกรหัวเราะใหญ่ พร้อมย้ำอีกรอบว่าคือเนื้อกระต่ายจริงๆ แล้วหัวเราะต่อ เราเลยแหย่พี่สาวว่าต้องใช้ภาษากายกันขนาดนี้เลยหรือ แต่พี่บริกรก็บอกยิ้มๆ ว่ามันเวิร์กนะ (แปลง่ายๆ ได้ว่า กรูเข้าใจ รับรองว่าไม่เข้าใจผิดกับคำถามแกรแน่ๆ)
แต่ก็ไม่ได้สั่งหรอกนะคะ ปกติเราเป็นมนุษย์ไม่กินเนื้อสัตว์สักเท่าไรอยู่แล้ว เนื้อไก่เนื้อหมูยังไม่ค่อยจะยอมกินเลย นับประสาอะไรกับเนื้อกระต่าย
สุดท้าย สนนราคาค่าประสบการณ์มื้อนี้ที่ 37 ยูโรค่ะ กระเด็นกลับบ้านไปทำกินเองแทบไม่ทัน (ทำเองไม่เกิน 10 ยูโรต่อคน)
ออกจากร้านเข้าซุปเปอร์ฯ ต่อ คือ ที่จริงก็มีร้านขายผัก ขายเนื้ออยู่เหมือนกัน แต่เพราะมันเป็นร้านขายแยกก็เลยคิดว่าไปซุปเปอร์ฯ ทีเดียวเลยดีกว่า ซึ่งถือว่าพลาดโอกาสในการพูดคุยกับคนพื้นเมืองไป แต่เอาความสะดวกเป็นที่ตั้งละกันนะ
เราซื้อของกินตอนเย็นจนถึงเช้าพรุ่งนี้ทีเดียว มองหาโยเกิร์ตแบบดื่มได้เรียบร้อยก็หาเหยื่อแถวๆ นั้นถามว่านมยี่ห้อไหนอร่อย เฮียอิตาเลียนก็ชี้ๆ ว่านมช็อกโกแลตอร่อยนะ เราก็เชื่อเขาไว้ก่อน อะ เอามาด้วยละกัน รสชาติก็โอเคนะ เพียงแต่ว่าไม่ได้กินนมช็อกโกแลตมานานเลยรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าคนที่ชอบนมช็อคโกแลตคงแฮปปี้แหละค่ะ
และแล้วก็ได้เวลาลุย Duomo
ในตรอกซอกซอยแสนแคบของเมืองซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างด้วยหินก้อนมหึมาตั้งแต่พื้นถนนยันกำแพงตึก เมืองนี้ดูจะเล็กนิดเดียว ทุกอย่างถูกบดบังไปหมดเพราะความแคบดังกล่าว
แต่พริบตาที่หลุดจากตรอกแคบก็พบกับสิ่งปลูกสร้างอลังการตรงหน้า ทำให้พบว่า Duomo ช่างยิ่งใหญ่นัก
นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมน่าสนใจนะคะ ปกติจะเห็นแต่แบบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ที่นี่ไม่ใช่ ต้องถามว่ามีกี่เหลี่ยมเหอะ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในเรื่องศิลปะที่ผสานกับภูมิปัญญาในเชิงคณิตศาสตร์ รวมทั้งแรงศรัทธาแห่งศาสนาก่อให้เกิดที่แห่งนี้ขึ้น
จ๊อด! มันเจ๋งค่อดๆ วนมันไปค่ะ วนเวียนชื่นชมโบสถ์นี้เข้าไป
นอกจากโบสถ์แล้ว ตรงพื้นที่รอบๆ ก็เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย รวมทั้งร้านแบรนด์เนมต่างๆ เหมาะกับขาช้อปมากค่ะ คือ ได้ชื่นชมทั้งสถาปัตยกรรมแถมได้เลือกซื้อของที่ถูกใจอีก ถือเป็นเมืองที่ตอบโจทย์ให้กับคนเที่ยวในรูปแบบต่างๆ กันนะคะ
อากาศตอนใกล้ค่ำยิ่งเย็นขึ้นไปอีก ยังไม่ถึงหนึ่งทุ่มพระจันทร์ก็โผล่แล้ว เนื่องจาก Duomo มีตรอกเล็กๆ มาถึงได้หลายตรอก งานหลงทางก็มาค่ะ ยิ่งเดินยิ่งหลงเพราะ google พามาผิดทาง แต่เมืองนี้ให้ความรู้สึกปลอดภัยเลยไม่ค่อยกลัวเท่าไร ไม่เหมือนตอนอยู่โรม สุดท้ายเลยใช้มือถือของเราเปิดแผนที่ช่วยอีกแรง ผลปรากฏว่า google เหมือนกัน แต่เครื่องของเราชี้ไปยังฟากตรงข้ามกับทางที่เดินอยู่ พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเรายังคงทู่ซี้เดินต่อไป เราจะยิ่งห่างจากตัวโรงแรมไปเรื่อยๆ แบบกู่ไม่กลับ
สุดท้ายก็กลับถึงห้องโดยสวัสดิภาพ
เย้! Q(^ ^ Q )
ปล. สุดท้ายแม้จะเหนื่อยแค่ไหน เราก็ปฏิบิติการซักผ้ากันต่อไป ห้องหับที่นี่มีให้แม้กระทั่งที่ตากผ้าค่ะ มีไม้หนีบให้ด้วย แต่เราเอาไม้แขวนเสื้อไปอยู่แล้วก็นับว่าพอค่ะ หวังแค่ว่าฝนจะไม่ตกจนทำให้อากาศชื้นแล้วผ้าไม่แห้งก็พอ
ทัวร์ซักผ้า ณ อิตาลี ช่วงกุมภาพันธ์ (เมืองที่สอง: @ Florence)
======================================
วันที่สี่ @ Florence
วันนี้เราตื่นสายกว่าเดิม นั่นคือ เจ็ดโมงเช้า
ข่าวดีคือ เปิดหน้าต่างออกมาพบว่าท้องฟ้าแจ่มใส มีแดดด้วยแหละ (มานอกเมือง วิ่งหาแดดแบบไม่กลัวดำ) แต่รู้สึกเหมือนโดนแดดหลอกตา เพราะอากาศเย็นมาก ยังต้องใส่หมวกปิดหูอยู่ดี ที่แฮปปี้มากเพราะสามวันที่ผ่านมาเหมือนเรามากับฝนกันเลย อยู่ในโรมครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอด
นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเดินทางไปเมืองฟลอเรนซ์ในวันนี้
รถไฟ ออกตอน 11.35 am เวลาเหลือเฟือ เราเลยไปเดินเล่นที่ถานีรถไฟกันค่ะ ในนั้นมีร้านเยอะแยะมากมาย เราเลยเดินเข้าซุปเปอร์ฯ เตรียมหาอะไรฟาดปากเวลาอยู่บนรถไฟกันสักหน่อย สุดท้ายได้แบล็กเบอรี่มากล่องหนึ่ง หน้าตาดูดี แต่รสชาติไม่ได้อร่อยอย่างที่คิด แต่ก็กินๆ เข้าไปเถอะ
รถไฟที่มุ่งหน้าไปยังฟลอเรนซ์ไปถึงน่าจะบ่ายครึ่งด้วยรถไฟด่วนสายหูอื้อของอิตาลี
เรามากันช่วงกลางๆ ปลายๆ หนาว ต้นไม้ยังไม่ค่อยงอก แต่อิตาลีเป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์เป็นเนินๆ เขาๆ ทัศนียภาพจึงเห็นทั่งทุกอณูแบบคนจากที่ราบลุ่มปกติอย่างเราไม่คุ้นนัก แต่มันสวยมากเลยค่ะ
ถึงจะเห็นฟ้ากระจ่างใสในวันนี้ แต่ยังคงหนาว อุณหภูมิที่เลขตัวเดียวอยู่ เพียงแต่ว่าอาจจะอุ่นกว่าในช่วงเวลาฝนตกอย่างสามวันก่อนตอนที่อยู่โรมซึ่งเท่านี้ก็นับว่าดีแล้ว
บ๊ายบายโรม...เราออกเดินทางโดยมีแสงแดดนำทางสู่เมืองฟลอเรนซ์ที่หมายถัดไปของเรา
ฟลอเรนซ์เป็นเมืองหลวงของแคว้น Tuscany ความตั้งใจของเราจะอยู่เมืองนี้กัน 4 วัน 3 คืนค่ะ เป้าหมายคือ 1.) ไปเยือน Duomo (โบสถ์) อันสัญลักษณ์ของเมือง 2.) เข้าพิพิธภัณฑ์ 2 แห่งเพื่อดูรูปปั้นเดวิด และอีกที่มีภาพกำเนิดวีนัส และ 3.) ไปเยือนเมืองเซียน่า (Siena) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากฟลอเรนซ์
พยากรณ์อากาศบอกว่าที่เซียน่าฝนอาจจะตกพรุ่งนี้และมะรืนนี้ ทำให้แผนของเราออกแนวค่อนข้างลังเล สุดท้ายตัดสินใจว่าเย็นนี้เราจะไป Duomo กัน ส่วนพรุ่งนี้เราจะเข้าพิพิธภัณฑ์ แล้วมะรืนนี้รอดูอากาศต่อไปว่าจะเป็นประมาณไหน
ถ้าโอเค เราจะมุ่งไปเซียน่ากันค่ะ (เพี้ยง! ขอให้ได้ไป เพราะเมืองนี้เป็นหนึ่งใน a must ของทริปนี้ที่เราตั้งใจจะไป)
เมื่อตกลงใจกันได้ เราก็เริ่มปฏิบัติการสำรวจเมืองเล็ก (แต่วิถีชีวิตไม่เล็ก) ของฟลอเรนซ์กันเลย!
เริ่มต้นด้วยห้องพักก่อนเลยค่ะ ที่พักเมืองนี้เป็นอพาร์ตเมนต์อยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟตามปณิธานของเราที่จะไม่ยอมลากกระเป๋าไกลเด็ดขาด อย่างที่บอกไปว่าเราเน้นทำอาหารกับซักผ้า การอยู่ที่พักประเภทนี้ช่วยให้ทำครัวได้สะดวก และมีเครื่องซักผ้าให้ด้วย
ห้องที่นี่ขนาด 60 ตารางเมตรได้ เพดานสูงมาก เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นแบบยุคเก่า แม้กระทั่งประตูก็ยังเป็นกุญแจแบบโบราณที่ใหญ่ชนิดก้มลงมองเห็นทะลุไปอีกห้องหนึ่งได้ แต่ห้องกว้างแบบนี้พอนำมาดัดแปลงให้เป็นห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยว มันจะดูโหรงเหรงไปหน่อย (ถ่ายมาแต่เป็นภาพพาโนรามามันดูประหลาดๆ เลยไม่ได้เอามาลงน่ะค่ะ)
อ้อ เจ้าของที่นี่...หล่อแซ่บมากค่ะ อาหารตาอาหารใจล้วนๆ (ฮา)
อาหารกลางวันมื้อแรกของฟลอเรนซ์ เราเข้าไปกินในร้านอาหารค่ะ เรียกว่าเป็นมื้อแรกของทริปเลยที่กินในร้านแบบดีๆ กับเขาบ้าง (มาแบบจนกรอบก็งี้แหละ TvT) ที่เลือกร้านนี้เพราะเห็นเขาวางเครื่องทำพาสต้าสดๆ เดินผ่านเห็นทะลุกระจกเข้าไปในร้าน ดูหน้าตาดีมากมาย (หมายถึงอาหารนะคะ ส่วนคนน่ะ หน้าตาดีอยู่แล้ว ไม่ต้องบอกกล่าวกันอีก) แต่อาหารที่เราเลือกกินกลับเป็นราวิโอลี่แบบซะงั้น (เกี๊ยวอิตาเลียนน่ะค่ะ)
อร่อยอ่ะ อร่อยค่อดๆ อร่อยมั่กๆ ค่ะ
ชีสที่ใช้ทำจากนมแกะ ให้กลิ่นและรสชาติที่ต่างออกไป ไวน์ที่เขามาวางให้ดื่มก่อนมื้ออาหาร จิบคำเดียว ท้องร้องโครก เมื่ออาหารมา เราพยายามวิเคราะห์สิ่งที่กินว่ารสชาติอะไรเป็นอะไร ส่วนผสมยังไง สุดท้าย ถามคุณบริกรซะเลยว่าซอสมะเขือเทศนี้ทำยังไง
เขาตั้งใจช่วยตอบคำถามน่าดู พยายามอธิบาย หยิบมือถือช่วย search ด้วย สรุปคือ นำมะเขือเทศ 3 อย่างมาต้ม เป็นมะเขือเทศใหญ่ มะเขือเทศเชอร์รี่ เรารู้จักเพียงสองอย่าง อีกอย่างหนึ่งเขาช่วย search แบบกระป๋องให้ เซฟเก็บเรียบร้อย และใส่มะเขือเทศกระป๋องส่วนหนึ่งเพื่อเพิ่มเนื้อและรสชาติ (ตอนที่กลับมาไทยพบมะเขือเทศที่เขาบอกไว้ทั้งหมด หลังจากนั้นก็ใช้สูตรนี้ทำพาสต้ากินเองที่บ้านค่ะ ^^)
ทีนี้มีเรื่องตลกนิดๆ ตอนคุยกับบริกรคนนี้ค่ะ
ตอนที่เราเปิดเมนูกวาดตามองหาอาหารสำหรับมื้อนี้ ก็พบกับเมนูหนึ่งเข้า และมันคือ ‘ราวิโอลี่เนื้อกระต่าย’
ประสานตาหน้ากับพี่สาวโลด ง่ะ! กระต่ายเหรอ กระต่ายจริงๆ เหรอ
ว่าแล้วก็ถามคุณบริกรโลด
“Rabbit?”
พี่บริกรพยักหน้าหงึก “Yes. Rabbit”
เพื่อความชัวร์ว่าไม่พลาด ไม่ใช่ชื่อเฉพาะแน่ๆ พี่สาวจึงชูสองนิ้วไปวางข้างหูทั้งสองข้างแทนหูกระต่ายพร้อมกระดิกนิ้วด้วย
“Rabbit?”
คราวนี้พี่บริกรหัวเราะใหญ่ พร้อมย้ำอีกรอบว่าคือเนื้อกระต่ายจริงๆ แล้วหัวเราะต่อ เราเลยแหย่พี่สาวว่าต้องใช้ภาษากายกันขนาดนี้เลยหรือ แต่พี่บริกรก็บอกยิ้มๆ ว่ามันเวิร์กนะ (แปลง่ายๆ ได้ว่า กรูเข้าใจ รับรองว่าไม่เข้าใจผิดกับคำถามแกรแน่ๆ)
แต่ก็ไม่ได้สั่งหรอกนะคะ ปกติเราเป็นมนุษย์ไม่กินเนื้อสัตว์สักเท่าไรอยู่แล้ว เนื้อไก่เนื้อหมูยังไม่ค่อยจะยอมกินเลย นับประสาอะไรกับเนื้อกระต่าย
สุดท้าย สนนราคาค่าประสบการณ์มื้อนี้ที่ 37 ยูโรค่ะ กระเด็นกลับบ้านไปทำกินเองแทบไม่ทัน (ทำเองไม่เกิน 10 ยูโรต่อคน)
ออกจากร้านเข้าซุปเปอร์ฯ ต่อ คือ ที่จริงก็มีร้านขายผัก ขายเนื้ออยู่เหมือนกัน แต่เพราะมันเป็นร้านขายแยกก็เลยคิดว่าไปซุปเปอร์ฯ ทีเดียวเลยดีกว่า ซึ่งถือว่าพลาดโอกาสในการพูดคุยกับคนพื้นเมืองไป แต่เอาความสะดวกเป็นที่ตั้งละกันนะ
เราซื้อของกินตอนเย็นจนถึงเช้าพรุ่งนี้ทีเดียว มองหาโยเกิร์ตแบบดื่มได้เรียบร้อยก็หาเหยื่อแถวๆ นั้นถามว่านมยี่ห้อไหนอร่อย เฮียอิตาเลียนก็ชี้ๆ ว่านมช็อกโกแลตอร่อยนะ เราก็เชื่อเขาไว้ก่อน อะ เอามาด้วยละกัน รสชาติก็โอเคนะ เพียงแต่ว่าไม่ได้กินนมช็อกโกแลตมานานเลยรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าคนที่ชอบนมช็อคโกแลตคงแฮปปี้แหละค่ะ
และแล้วก็ได้เวลาลุย Duomo
ในตรอกซอกซอยแสนแคบของเมืองซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างด้วยหินก้อนมหึมาตั้งแต่พื้นถนนยันกำแพงตึก เมืองนี้ดูจะเล็กนิดเดียว ทุกอย่างถูกบดบังไปหมดเพราะความแคบดังกล่าว
แต่พริบตาที่หลุดจากตรอกแคบก็พบกับสิ่งปลูกสร้างอลังการตรงหน้า ทำให้พบว่า Duomo ช่างยิ่งใหญ่นัก
นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมน่าสนใจนะคะ ปกติจะเห็นแต่แบบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ที่นี่ไม่ใช่ ต้องถามว่ามีกี่เหลี่ยมเหอะ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในเรื่องศิลปะที่ผสานกับภูมิปัญญาในเชิงคณิตศาสตร์ รวมทั้งแรงศรัทธาแห่งศาสนาก่อให้เกิดที่แห่งนี้ขึ้น
จ๊อด! มันเจ๋งค่อดๆ วนมันไปค่ะ วนเวียนชื่นชมโบสถ์นี้เข้าไป
นอกจากโบสถ์แล้ว ตรงพื้นที่รอบๆ ก็เต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย รวมทั้งร้านแบรนด์เนมต่างๆ เหมาะกับขาช้อปมากค่ะ คือ ได้ชื่นชมทั้งสถาปัตยกรรมแถมได้เลือกซื้อของที่ถูกใจอีก ถือเป็นเมืองที่ตอบโจทย์ให้กับคนเที่ยวในรูปแบบต่างๆ กันนะคะ
อากาศตอนใกล้ค่ำยิ่งเย็นขึ้นไปอีก ยังไม่ถึงหนึ่งทุ่มพระจันทร์ก็โผล่แล้ว เนื่องจาก Duomo มีตรอกเล็กๆ มาถึงได้หลายตรอก งานหลงทางก็มาค่ะ ยิ่งเดินยิ่งหลงเพราะ google พามาผิดทาง แต่เมืองนี้ให้ความรู้สึกปลอดภัยเลยไม่ค่อยกลัวเท่าไร ไม่เหมือนตอนอยู่โรม สุดท้ายเลยใช้มือถือของเราเปิดแผนที่ช่วยอีกแรง ผลปรากฏว่า google เหมือนกัน แต่เครื่องของเราชี้ไปยังฟากตรงข้ามกับทางที่เดินอยู่ พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเรายังคงทู่ซี้เดินต่อไป เราจะยิ่งห่างจากตัวโรงแรมไปเรื่อยๆ แบบกู่ไม่กลับ
สุดท้ายก็กลับถึงห้องโดยสวัสดิภาพ
เย้! Q(^ ^ Q )
ปล. สุดท้ายแม้จะเหนื่อยแค่ไหน เราก็ปฏิบิติการซักผ้ากันต่อไป ห้องหับที่นี่มีให้แม้กระทั่งที่ตากผ้าค่ะ มีไม้หนีบให้ด้วย แต่เราเอาไม้แขวนเสื้อไปอยู่แล้วก็นับว่าพอค่ะ หวังแค่ว่าฝนจะไม่ตกจนทำให้อากาศชื้นแล้วผ้าไม่แห้งก็พอ